ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ผีปอบมีจริง ที่สะหวันนะเขต


สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่สอง ระหว่างมุกดาหาร-สะหวันนะเขต กำลังก่อสร้างจวนแล้วเสร็จ คาดว่าจะเปิดใช้ได้ในต้นปี 2550 นี้แน่นอน ขณะเขียนต้นฉบับเรื่องนี้ สะพานสร้างเกือบเสร็จสมบูรณ์ 100% แล้ว ยังเหลือแต่การ วางสายโยงขึงสะพานเป็นช่วงๆ (ด้านบนตัวสะพาน) คาดว่าอีกไม่กี่เดือนก็คงจะ แล้วเสร็จ ผู้เขียนเป็นคนจังหวัดนครพนมโดยกำเนิด แต่มีญาติพี่น้องอยู่ที่ฝั่ง สปป.ลาว ตำแหน่งก็ใหญ่โตพอสมควร คือเป็นตำรวจระดับผู้กำกับการ เมื่อเทียบยศกับทางฝ่ายไทย

ปี พ.ศ. 2504 ญาติผู้ใหญ่ที่เป็นนายตำรวจอยู่เมืองสะหวันนะเขต ได้เรียกตัวผมให้ไปทำงานอยู่ที่แขวงสะหวันนะเขต ผมจึงตัดสินใจเดินทางไปทันที พร้อมครอบครัว มีภรรยา 1 คน บุตรอีก 3 คน อายุ 7-9-10 ขวบ ไล่เลี่ยกัน เนื่องจากเมืองสะหวันนะเขต เป็นเมืองใหญ่ระดับแขวง จึงมีประชากร อยู่กันหนาแน่น เทียบได้กับจังหวัดใหญ่ๆ ในภาคอีสานเรา เช่น โคราช อุดรธานี หรืออุบลราชธานี ใกล้เคียงกัน และสมัยนั้นเงินกีบยังไม่เฟ้อและตกต่ำเหมือน ทุกวันนี้ สมัยนั้น 100 กีบ แลกได้ถึง 27-28 บาท แต่ในปัจจุบัน 250 กีบ เท่ากับ 1 บาท... 1,000 กีบแลกได้ 4-5 บาท เท่านั้นเอง

สะหวันนะเขตได้ชื่อว่าเป็นเมืองเอกทางภาคใต้ของลาว ซึ่งสมัยนั้นเป็นเมืองใหญ่ ประชากรหนาแน่น มีสนามบิน มีสถานีวิทยุกระจายเสียง 2-3 สถานี มีค่ายทหารขนาดใหญ่ ย่านการค้าก็หนา-แน่น คึกคัก มีกงสุลชาติต่างๆ หลายชาติ มีวิทยาลัยและโรงเรียนมัธยม มีโรงพิมพ์ มีวังของกษัตริย์ ฯลฯ ถือได้ว่ามีความเจริญอยู่แล้วพอประมาณในยุคนั้น ว่างั้นเถอะ เมื่อไปถึงใหม่ๆ เนื่องจากผู้เขียน มีครอบครัวแล้ว ทางญาติแนะให้ไปเช่าห้องแถวอยู่ ซึ่งเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นล่างปล่อยโล่ง ยังไม่ได้เทพื้นคอนกรีต เทเฉพาะห้องครัวซึ่งอยู่ด้านหลังของอาคารเท่านั้น ตัวอาคารหันหน้าไปทาง ทิศตะวันตก เรียกกันว่าหมู่บ้านศรีบุญ-เรือง มีพ่อบ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) ชื่อวันทอง อายุ 70 ปีแล้ว ผมไปอยู่ได้ไม่นานทางญาติก็ฝากงานให้ทำในหน่วยงานองค์กรยูเสด (USED) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งทางฝั่งไทยเราเรียก USOM นั่นเอง

เหตุการณ์ผ่านไปแล้วเกือบ 2 ปี ที่ผู้เขียนและครอบครัวอาศัยอยู่ใน ห้องแถวดังกล่าว ซึ่งมีอยู่ 4 ห้อง โดยมี ผู้อาศัยอยู่เต็มทุกห้อง แรกๆ ก็ยังไม่รู้จักและสนิทสนมกันนัก ต่างคนต่างอยู่ ครั้นต่อมาไม่นาน ก็รู้จัก สนิทสนมกันเป็นอย่างดี มีอะไรก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จนเป็นเสมือนญาติสนิทก็ไม่ปาน ห้องที่ 1 มีตาแก่คนหนึ่ง ลักษณะเตี้ย ผิวขาว หลังค่อม มาอาศัยอยู่กับหลานสาว พื้นเพเป็นคนทางเมืองปากเซ แขวงจำปาศักดิ์ ห้องที่ 2 มีสองผัว-เมีย แต่ไม่มีบุตร มีอาชีพตักน้ำใส่รถเข็นขาย อายุประมาณ 60 ปีแล้ว
ส่วนผู้เขียนอยู่ห้องที่ 3 กับภรรยาและบุตรอีก 3 คน เป็นหญิงหนึ่งคน ชายสองคน ลูกยังไม่ได้เข้าโรงเรียน ตอนนั้นผู้เขียนอายุ 37 ปี ส่วนภรรยาอายุ 38 มีอาชีพเป็นแม่ค้า ขายของอยู่ที่ตลาดสะหวันนะเขต และทำหน้าที่แม่บ้านด้วย ห้องที่ 4 เป็นชาวเวียดนาม แต่มีลูกเขยเป็นคนลาวและเป็นทหารมีแม่น้องสาวและบุตรอีก 2 คน อาศัยอยู่รวมกัน 4 คน

เย็นวันหนึ่ง หลังจากที่ผู้เขียน เลิกงาน กลับถึงบ้านประมาณ 16.30 น. ลูกสาวคนโตของผู้เขียนได้ไปเล่นอยู่กับยาย ซึ่งพักอยู่ในห้องที่ 2 ปรากฏว่า ยายคนดังกล่าวรู้สึกเจ็บที่หัวแม่เท้า เจ็บอยู่นาน ไม่หายสักที ซ้ำยังปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงบริเวณหัวเข่า ญาติจึงไปตามหมอมา บ้านพักหมออยู่ห่างประมาณ 100 เมตรเท่านั้นเอง หมอชื่อ “จ่าวันทอง” เป็นทหารบก อายุเพียง 40 ปี ยังหนุ่มแน่น แข็งแรงแบบทหาร มีความชำนาญเฉพาะทางด้านไสยศาสตร์และคาถาอาคม หมอมาถึงห้องพักโดยไม่ได้ถืออะไรมา มามือเปล่า คนที่อยู่ในห้องแถวจึงเล่าอาการของยายให้ฟัง ฟังแล้วหมอได้เข้าไปนั่งอยู่ข้างๆ คนเจ็บ แล้วพิจารณาดู พร้อมบริกรรมคาถาพึมพำ ตามวิชาที่เล่า-เรียนมา จากนั้นก็ยกฝ่ามือทั้งสองข้าง กางออกอยู่ใกล้ๆ ผู้ป่วย (ลักษณะเหมือนเครื่องตรวจวัตถุระเบิดนั่นแหละ)

หมอเคลื่อนมือไปจนทั่วลำตัวของ ผู้ป่วยแล้วบอกว่า ไม่พบอะไร และไม่มีอะไร เขาสงสัยแต่ว่าคงเป็นผีบรรพบุรุษ มาสิงสู่เพื่อตามหาญาติพี่น้อง แต่ผู้เขียนยังไม่แน่ใจ จึงบอกว่า ขอให้ลองตรวจดู อีกที หมอก็ตกลงทำตามที่แนะนำ หมอจึงบริกรรมคาถาใหม่ พึมพำนานประมาณ 1 นาที แล้วบ้วนน้ำลายลงบนฝ่ามือทั้งสองข้าง จากนั้นก็เอาฝ่ามือ ไปวางใกล้ๆ คนไข้อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ คนป่วยสะดุ้งตกใจ! และลุกเดินเข้าไปในห้อง บอกว่าจะเข้าไปนอน แล้วเอาผ้าห่มมาคลุมตัว หมอเห็นดังนั้นก็บอกว่า

“ใช่แล้ว!”

ผู้เขียนจึงถามว่า

“คนปราบผีปอบอยู่ที่ไหน?”

มีคนหนึ่งที่มานั่งดูเหตุการณ์อยู่ด้วยกัน ตอบว่า

“มีอยู่คนหนึ่ง เป็นตำรวจ แต่ผมไม่รู้ว่าบ้านหมอปราบผีปอบคนนั้นอยู่ ที่ไหน..”

ผู้เขียนจึงไปถามที่ป้อมตำรวจ ซึ่งอยู่ในตลาดสะหวันนะเขตนั่นเอง มีคนบอกว่าหมอคนนี้ชื่อ “จ่าบุญมี” แต่ขณะ-นั้นกำลังเข้าเวรยามอยู่ที่สถานีตำรวจ ผู้เขียนจึงตามไปจนพบตัว และพามาที่บ้านคนป่วยทันที
พอขึ้นมาถึงห้องพัก จ่าบุญมี ก็พิจารณาดูผู้ป่วย และทำคล้ายๆ กับหมอคนแรก แต่จ่าบุญมีมีสมุนไพรติดมาด้วย 1 ชิ้น ลักษณะคล้าย “ว่าน” เขาบอกให้ผู้เขียนหาขันน้ำมาพร้อมกับใส่น้ำ ครึ่งขัน และหินฝน แล้วฝนว่านสมุนไพรลงไปในขัน จนน้ำมีลักษณะขุ่นๆ แล้วเขาก็บอกให้ผู้เขียนเอาไปรดหัวผู้ป่วย

ผู้เขียนไม่ได้คิดอะไร และไม่เชื่อ ในเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ก็ทำตามหน้าที่ ที่หมอบอกเท่านั้น ใจหนึ่งก็อยากทดสอบดูเหมือนกันว่ามันจะเป็นอย่างไร จึงดึง ผ้าห่มที่คลุมร่างผู้ป่วยออกแล้วเอาขันน้ำใบนั้นเทราดรดหัวผู้ป่วย พร้อมทั้งคว่ำขันครอบหัวเอาไว้ด้วยเมื่อผู้ป่วยถูกรดด้วยน้ำยาสมุนไพรก็สะดุ้งเฮือก แล้วปึงปังลุกขึ้นมา ตั้งท่าวางมวยทั้งๆ ที่ผู้ป่วยเป็นหญิงผอม ตัวดำและอายุมากแล้ว จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนอีก หมอได้เอาฝ่ามือคลำไปทั่ว ร่างกาย ลักษณะเหมือนมีอะไรอยู่ใต้ผิว-หนัง แต่เคลื่อนไหว วิ่งไปวิ่งมาทั่วร่างกาย ลักษณะเหมือนเราจับปลาในอ่างหรือ งมปลาในแหในอวน ในที่สุดสิ่งนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่สีข้างด้านซ้าย จากนั้น “หมอ- บุญมี” จึงกำเอาสิ่งนั้นไว้ในกำมือ

หมอบุญมียังเงยหน้าขึ้นมาถาม ผู้เขียนว่า

“จะให้บีบไหม? ถ้าบีบ ผีปอบจะตายนะ!”

ผู้เขียนตอบหมอว่า

“หยุดก่อน อย่าเพิ่งทำ เพราะอยากรู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน?”

ในที่สุด คนป่วยก็พูดขึ้นว่า

“อยู่ใกล้ๆ นี่แหละ!”

พูดจบก็ลุกขึ้นขอตัวลงไปปัสสาวะ ที่ห้องน้ำข้างล่าง หมายความว่า “ปอบ” ตนนั้นได้ออกจากร่างผู้ป่วยไป ขณะที่ปัสสาวะแล้ว (อันนี้หมอบุญมีบอก ตอนหลัง)หมอบุญมียังได้บอกอีกว่า ลักษณะของผีปอบนั้น ถ้ามันกินคนไม่ได้ เจอหมอดีๆ มันจะออกไป แต่ถ้าเจอหมอไม่ดี คนป่วยก็จะตายจากนั้นผู้เขียนก็ลงมายังชั้นล่างของบ้านเช่า แล้วพูดเสียงดังว่า “โปรดทราบ! คนไหนเป็นผีปอบให้มารายงานตัวด่วน!”จากนั้นไม่ถึง 10 นาทีตาแก่ หลังค่อมที่เช่าอยู่ห้องที่ 1 ได้เข้ามาสารภาพกับผู้เขียน เขาเองที่เป็นผีปอบ พอทราบดังนั้นจึงไปตามตำรวจ ที่ป้อม และนายบ้าน (เหมือนตำแหน่ง ผู้ใหญ่บ้านของไทยเรา ชื่อ “วันทอง” ส่วนกำนัน เขาเรียก “ตาแสง”) 

มาเจรจากัน “คุณผู้เป็นผีปอบจะยอมหนี จากห้องแถวนี้รึเปล่า? โดยให้หนีในค่ำวันนี้เลย”มีการทำสัญญากันระหว่างนาย-บ้านกับผู้เป็นผีปอบและผู้เขียน โดยมี ชาวห้องแถวเป็นพยาน และเมื่อยินยอม ก็จะไม่เอาโทษผิด ตำรวจจึงรับตัวไปอยู่ ที่ป้อม พร้อมสิ่งของเครื่องใช้ประจำตัวอื่นๆ ตั้งแต่วันนั้นมา ก็ไม่เคยเจอ ผีปอบตนนั้นอีกเลย!

ขอบคุณ : ประนม กงพันธุ์ราช นครพนม

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ