ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ห้องปิดตาย!! “ทำไมมึงไม่ช่วยกูออกไป กูทรมาน กูไม่อยากอยู่ มึงอยากมาอยู่เป็นเพื่อนกูมั้ย”


เรื่องนี้ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อสถานที่นะคะ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 12-13 ปีมาแล้ว ตอนนั้นเราเรียนอยู่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระดับปวส. สาขาการโรงแรม ดังนั้นก่อนจบ เราจึงมีการฝึกงานในเทอมสุดท้าย

ก่อนฝึกงานเราจะมีวิชาเกี่ยวกับโครงงานสร้างอาชีพ เราเลือกทำร้านน้ำชาหุ้นกับเพื่อน เสร็จแล้วต้องทำพรีเซนต์ เนื่องจากร้านยังมีผลตอบรับดี จึงเปิดร้านต่อเนื่อง กลุ่มเราจึงไปเลือกโรงแรมที่จะฝึกงานไม่ทัน เหลือโรงแรมสุดท้ายที่ไม่มีใครเลือก อาจารย์เลยจับกลุ่มเรา 4 คน ลงแผนกห้องอาหาร และเพื่อนอีกกลุ่ม 3 คน ลงแผนกครัว...ช่วงเดือนแรกๆ เราลงกะบ่าย ประกบรุ่นพี่พนักงานอีก 2 คน ส่วนเพื่อนๆ โดนจับแยกไปอยู่คนละห้องอาหาร คนละกะ บรรยากาศห้องอาหารที่เราอยู่ กลางวันจะคึกคัก เนื่องจากอยู่ริมสระว่ายน้ำ แต่ตกค่ำเป็นต้นไป บรรยากาศจะเงียบ วังเวง เหมือนห้องอาหารร้าง เพราะโรงแรมนี้อยู่บนเนิน ด้านหน้ามีห้องอาหารรอบดินเนอร์ติดถนน ห้องอาหารที่เราอยู่ อยู่จุดสูงสุด เรียกว่ารับแค่ลูกค้าภายใน ถัดไปอีก 2 ตึก จะมีบาร์สระน้ำ ซึ่งตรงนี้คึกคักตลอดทั้งวันทั้งคืน การเดินไปจุดนี้ ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะคนพลุกพล่าน

แต่ถ้าต้องลงไปห้องอาหารด้านล่าง เราจะไม่อยากไป เพราะต้องลงบันไดที่ทั้งสูงชัน และไกลมาก ที่สำคัญมันต้องเดินผ่านสระว่ายน้ำ ที่ถูกปิดไว้ ซึ่งอยู่ติดกับศาลงูเจ้าที่ ด้านหลังเป็นกอไผ่ ศาลนี้ถูกตั้งขึ้นเพื่อล้างอาถรรพ์ที่มาสร้างโรงแรมทับที่ ทำให้เกิดเหตุการณ์ คนงานเสียชีวิตหลายคน พนักงานเกิดอุบัติเหตุ เสียชีวิตทุกปี ปีละหลายคน ช่วงที่เราไปฝึกงานก็ยังมีพนักงานเสียชีวิต แต่ถูกปิดข่าวไว้ รุ่นพี่เล่าว่า หากใครได้เห็นงูเผือกตัวใหญ่ คนนั้นคือคนต่อไปที่จะต้องเสียชีวิต ผ่านตรงนี้ทุกครั้งจึงเกิดความกลัวและหวาดระแวง ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่อยู่ห้องอาหารด้านบน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดือนต่อมาก็หมุนเวียนไปบาร์สระน้ำ อีกเดือนก็ไปห้องอาหารด้านล่าง เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินผ่านศาล เราใช้วิธีสแกนนิ้วเข้างานเสร็จ ลักไก่ขี่มอไซค์ลงมาทางด้านหน้าแทน แต่ก่อนหน้าเราได้เอาผลไม้มาเซ่นไหว้และบอกกล่าวท่านเจ้าที่เรียบร้อยแล้ว เดือนสุดท้ายนี่สิคะ จำได้ว่าช่วงนั้นเราเข้างานกะเช้า ตี5.30 ถึง บ่าย3 และต้องกลับมาเข้าเวรที่ห้องอาหารแรก ช่วงนี้จะมีกิจกรรมบ่อย เราเลยได้ทำโอบ่อย

วันนั้นหลังจากเบรคเพื่อต่อโอที เราต้องสแกนนิ้วอีกรอบ เราขี้เกียจลงบันไดทางห้องใต้ดิน เพราะใส่กระโปรงแคบกับส้นสูง เลยแอบใช้ทางเดินลูกค้า เดินมาถึงตึกห้องอาหาร มันจะเป็นชั้นพักทางขึ้นบันไดไปชั้นสอง เป็นปีกซ้าย ขวา เราเดินมาถึงตรงนั้นจะมีห้องเก็บของแม่บ้านอยู่ทั้ง 2 ฝั่ง ห้องซ้ายเปิดแง้มไว้ ส่วนห้องขวาเป็นประตูเหล็ก ตอกหมุดเล็กๆ ไว้รอบ ดูเก่าๆ โบราณ แถมมีสายโซ่เส้นเบ้อเริ่มกับแม่กุญแจสนิมเขรอะคล้องอยู่ ที่สำคัญด้านบนมียันต์สีแดงแปะอยู่ 3 ผืน เห็นแค่นั้นรู้สึกขนลุกตั้งชัน หนาวๆ ร้อนๆ อึดอัดหายใจไม่ออก เหมือนโดนมนต์สะกดให้ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ อยู่ๆ เราได้ยินเสียงร้องบอก “ช่วยด้วย ๆ ๆ ช่วยเราด้วย เราติดอยู่ในนี้ เราโดนขังอยู่ในนี้” เป็นเสียงผู้หญิงพูดเนิบๆ เย็นๆ เรากำลังเดินเข้าไปใกล้ประตู แล้วประตูก็เหมือนโดนเขย่าจากด้านในเบาๆ

เราในตอนนั้น มีความรู้สึกเชื่อเจ้าของเสียง อยากเปิดประตูนั้น ทั้งๆ ที่ไม่มีกุญแจ เดินเข้าไปอีกนิด มีน้องแม่บ้านชาวเมียนมาร์ มาดึงแขนเรา ถามพี่ พี่ พี่คะ พี่จะทำอะไร เดินไปไหน เราถึงมีสติขึ้นมา น้องคนนี้ชื่อ น้องเล็ก น้องเล็กพยายามพูดหยอกเรา แต่เรายังงงๆ จังหวะนั้น มีเสียงทุบประตูอย่างรุนแรง ปั้ง ปั้ง ปั้ง เราและน้องเล็กกระโดดกอดกัน น้องเล็กกลัวมาก พยายามจะพูดว่าผีหลอก แต่เราห้ามไว้ น้องจึงกรี๊ดออกมา เราบอกว่า วิ่ง น้องวิ่ง แต่น้องได้แต่ยืนขาแข็ง ก้าวขาไม่ออก จังหวะเรากระชากน้องเล็กวิ่ง มีเสียงร้อง “ฮือ ฮือ ฮือ” ดังลอยมา และเสียงตบประตูดังอีกครั้ง ปั้ง ปั้ง ปั้ง น้องเล็กจึงกรี๊ดขึ้นมา และจะเป็นลม จังหวะเดียวกับที่คุณแม่บ้านเดินตรวจงาน แกเดินมาเพราะเสียงกรี๊ด ถามว่าทำอะไรกัน น้องเล็กบอก ผีหลอกๆ แกรีบบอกให้เงียบไว้ และให้เราพาน้องเล็กออกไป พร้อมทั้งสั่งห้ามเล่าให้ใครฟัง

ค่ำนั้นเราต้องอยู่ทำโอที เพราะมีงานลอยกระทง ต้องใส่ชุดไทย เราได้ใส่ชุดสีเขียว ผ้าถุงสีเขียวเข้ม สไบสีตอง เข้าเซทกับเครื่องประดับที่เราเตรียมมา เพื่อนๆ ได้ชุดสีแดง ม่วง น้ำเงิน ก่อนเข้างาน เราได้รับหน้าที่ไปเบิกเหล้าที่สโตร์เครื่องดื่ม มันจะไม่มีอะไรเลย ถ้าห้องนั้นไม่ได้อยู่ใต้บันไดห้องที่เราเจอตอนกลางวัน เรารีบไขกุญแจเข้าไปเอาเหล้าครบทุกรายการใส่รถเข็น จังหวะปิดประตูล็อคกุญแจ เราเหลือบไปเห็นชายผ้าถุงกับสไบสีชมพูเข้มไหวๆ เดินขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายขึ้นไป เราไม่ได้เอะใจ คิดว่าคงเป็นพนักงานคนอื่น ตอนอยู่ในงาน เราพยายามมองหาว่าใครใส่ชุดสีชมพู จนงานเลิกราวตี 1 กลับไม่พบใครใส่ชุดนี้เลย เราเก็บความสงสัยไม่ไหว เลยถามหัวหน้า แกเลยบอก ชุดนั้นไม่มีใครเบิกมาใช้ ยังเก็บอยู่ในห้องของแผนก เป็นของกัปตันห้องอาหาร แกประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในวันลอยกระทง เมื่อหลายปีก่อน เราถึงกับขนลุกเลย เราอดถามเรื่องห้องปิดตายไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ คืนนั้นหลังจากกลับบ้านนอน เราฝันไปว่า คืนนั้นหลังจากเรากลับบ้านนอน เราฝันไปว่า ยืนในที่มืดๆ มีมือที่ยื่นิ้วชี้ทาเล็บสีแดง ชี้หน้าเรา ด่าว่า “ทำไมมึงไม่ช่วยกูออกไป กูทรมาน กูไม่อยากอยู่ มึงอยากมาอยู่เป็นเพื่อนกูมั้ย” เราตกใจตื่น แต่เรากลับพบว่า เรายังติดในความฝัน เราวิ่งจนเหนื่อย พอเหมือนจะตื่นแต่มันยังติดอยู่ในฝันอีก ครั้งนี้มีแต่ความมืด

จากนั้นเราเดินไปเรื่อยๆ ในฝันท้อมาก คิดว่าต้องติดอยู่ในฝันจนตายหรอ แล้วเหมือนเราคว้าชายผ้าลื่นๆ ได้ แล้วผ้าผืนนั้นกระชากเราไปหาที่สว่าง เราเลยตื่นขึ้นมาจริงๆ เราฝันอย่างนั้นอยู่ 3-4 คืน แต่กลับหาเรื่องราวจากห้องนั้นไม่ได้เลย เราเคยได้แต่ตักบาตรทำบุญให้กับดวงวิญญาณในห้อง และคนที่มาช่วยในความฝัน เราฝึกงานเสร็จ หัวหน้าแผนกได้ขอให้เราฝึกงานรอบสองต่อที่นี่ เรารับปากกลับไปทำอีก จนเราเรียนจบ เค้าขอให้เราทำงานต่อไปเลย แต่เราก็ปฏิเสธไป เพราะไม่อยากเสี่ยงที่จะเจอสิ่งลี้ลับแบบฝึกงานรอบแรก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ