ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตำนานลี้ลับ "คุ้มขุนแผน"


จากตำนานเก่าแก่ที่เราท่านรู้ดีเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” แห่งเมืองสุพรรณบุรี ทำให้มีผู้คนจำนวนไม่น้อยอยากเข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศย้อนยุคของคุ้มขุนแผนแห่งนี้ เพราะแม้ว่าตัวคุ้มขุนแผนเองในปัจจุบันจะเป็นคุ้ม หรือเรือนที่ถูกปลูกสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ 


แต่ก็เป็นสถานที่ที่ปลูกสร้างขึ้นในบริเวณซึ่งถูกระบุไว้ในตำนานว่า พื้นที่ ณ ตรงนี้ คือที่ตั้งของเรือนขุนแผน ยอดนักรบและนักรักอันลือเลื่องแห่งเมืองสุพรรณฯ สำหรับเรื่องราวตามตำนานขุนช้างขุนแผน เชื่อว่าคนไทยทุกคนย่อมรู้จักกันดีอยู่แล้ว จึงจะไม่ขอกล่าวถึงอีก แต่จะขอนำพาท่านผู้อ่านไปสัมผัสกับความน่าสนใจอีกแง่มุมหนึ่งของคุ้มขุนแผน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่มีอาถรรพณ์น่าสะพรึงกลัว จนเป็นที่โจษจันร่ำลือไปทั่ว


คุ้มขุนแผนเป็นเรือนทรงไทยตามแบบฉบับท้องถิ่นชนบทภาคกลางตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง ซึ่งแม้จะตั้งอยู่ภายในอาณาเขตวัดแห่งหนึ่งซึ่งชาวบ้านเรียกว่าวัดแค แต่คำเล่าลือเรื่องของอาถรรพณ์ความเฮี้ยนของดวงวิญญาณต่าง ๆ นานา ก็ดูจะไม่สร่างซาเอาเสียเลย เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่เดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ซึ่งสร้างขึ้นโดยเลียนแบบสภาพความเป็นจริงตามตำนานเก่าแก่ของเรือนขุนแผนดั้งเดิม ไม่กระทำตามขนบธรรมเนียมอันดีงาม หมายถึงการแสดงออกซึ่งเป็นการไม่ให้ความเคารพต่อสถานที่ ไม่ได้เข้าตามตรอกออกตามประตู หรือประเภทอวดดีว่าข้าแน่ข้าเก่งละก็ พวกนี้มักเจอดีเป็นลำดับแรก ๆ


เรื่องเล่าเกี่ยวกับอาถรรพณ์อันน่าพรั่นพรึงของสถานที่แห่งนี้มีอยู่หลายเรื่องแต่จะขอยกเรื่องที่ชวนขนหัวลุกที่สุดมาพอเรียกน้ำย่อยให้ต่อมสยองของหลายท่านขยายตัวดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องของนักท่องเที่ยวที่เข้าไปเที่ยวในคุ้มขุนแผน เจอะเจอมาจะ ๆ กับตัวในเวลากลางวันแสก ๆ เรื่องนี้เกิดขึนเมื่อคณะท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ ได้แวะเข้าเที่ยวชมคุ้มขุนแผน ซึ่งเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์สำคัญของจังหวัดสุพรรณบุรี ในระหว่างที่เที่ยวชมนั้น ได้มีการแบ่งกลุ่มกันคือ กลุ่มแรกซึ่งเป็นกลุ่มคุณแม่และเด็ก ๆ ขอเดินชมสวนด้านนอกก่อนที่จะเข้าภายในบริเวณบ้านเรือนไทย


ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มผู้ชายที่มีกันอยู่สามคน และสมัครใจที่จะเดิน ชมความงดงามของ "ของเก่าของแก่" ภายในตัวเรือนเป็นก่อนอื่น ภายในคุ้มขุนแผนซึ่งเป็นบ้านเรือนไทยโบราณ มีการแบ่งสัดส่วนเพื่อใช้ประโยชน์ไว้หลายส่วน ห้องหับต่าง ๆ ก็มีมาก ดังนั้นทั้งสามหนุ่มสามวัย จึงแยกย้ายกันเดินชมความเก่าแก่ที่ละห้อง สองหนุ่มที่สูงวัยกว่า เลือกชมของเก่าของแก่ที่ตั้งโชว์อยู่ภายในตู้กระจกที่ตั้งอยู่ด้านนอกบริเวณโถงกลาง แต่หนุ่มน้อยหนึ่งเดียวในกลุ่มเลือกที่จะเข้าไปดูซอกซอยในห้องต่าง ๆ และด้วยเพราะความอยากรู้อยากเห็นทำให้เกิดเรื่องจนได้


เรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเจอ แต่หนุ่มน้อยคนนี้กลับเจอ เมื่อเขาพาตัวเองเข้าไปในห้องนอนเล็ก ๆ ห้องหนึ่งที่ค่อนข้างมืดทึบเพราะหน้าต่างในห้องปิดตาย และมีกลิ่นอับของไม้ชื้นที่วัน ๆ ไม่ค่อยถูกแดด ส่วนของตกแต่งภายในไม่มีอะไรมาก นอกจากภาพถ่ายเก่า ๆ ที่ดีกรอบไม้ติดอยู่ที่ข้างฝาห้อง บรรยากาศภายในห้องที่แม้จะอยู่ในเวลากลางวัน แต่ก็ยังคงอึมครึม เพราะไม่มีแสงสว่างจากหลอดไฟ นอกจากแสงจากธรรมชาติคือ แสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดเข้ามาจากรอยแตกของช่องไม้


ด้วยบรรยากาศที่เป็นใจเช่นนั้น ทำให้เด็กหนุ่มหยุดมองดูภาพถ่าย ที่ข้างฝาอยู่นานเหมือนมีมนต์สะกด และพลันนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่หนาวเยือกขึ้นมาเฉย ๆ โดยไม่มีสาเหตุ พร้อมกับเงารู้สึกอยู่นั้นเขาได้พยายามขยับตัวเพื่อหันมองว่า สิ่งที่เขาเห็นรางเลือนนั้นแท้จริงคืออะไร เกือบ ๕ นาที ที่เขาต้องถูกสะกดด้วยอาการคล้ายถูกผีอำ แต่ตัวเขาเองก็พยายามฝืนและต่อสู้กับอำนาจมืดที่มองไม่เห็นนั้น กระทั่งเมื่อผู้เป็นพ่อเดินกระชั้นเข้ามาใกล้ห้องที่เขายืนอยู่พร้อมกับร้องเรียกชื่อเขา ทำให้รู้สึกได้ทันทีว่าพันธนาการเร้นลับที่ตรึงอยู่ได้หลุดออกไป พร้อมกับปริศนาที่ยากจะรู้ได้ว่าสิ่งที่เขาเจอกับตัวนั้นเป็นวิญญาณ หรืออำนาจแห่งอาถรรพณ์มืด นี่เป็นเพียงหนึ่งเรื่องราวที่นำมาบอกเล่าต่อกันถึงความลึกลับและซ่อนเร้นที่มีอยู่ในบ้านเรือนไทยหลังงาม ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประวัติศาสตร์ของวรรณคดีไทยเรื่องขุนช้างขุนแผนแห่งนี้


อีกรายหนึ่งเป็นสองหนุ่มสาวชาวกรุงเทพฯ ที่เดินทางเข้าเยี่ยมชมความงดงามของคุ้มขุมแผนในช่วงเวลาโพล้เพล้ หรือประมาณ ๖ โมงเย็นเศษ ในวันหนึ่งของเดือนมิถุนายน หลังจากทั้งสองเดินชมส่วนต่างๆของเรือนอยู่พักใหญ่ จึงพากันมาหยุดให้ความสนใจอยู่กับเสาต้นหนึ่งซึ่งเป็นเสาเอกตกน้ำมัน อยู่ในห้องและห้องนี้ได้ชื่อว่าเป็นห้องนอนของขุนแผน ผู้เป็นเจ้าของคุ้ม เสาต้นนี้มีผ้าแพรหลากสีพันโอบอยู่รอบลำต้น เพิ่มบรรยากาศความหวาดหวั่นให้ถีบตัวสูงขึ้นอีกเท่าทวี และขณะที่ฝ่ายหญิงสาว กำลังยืนมองสรรพสิ่งภายในห้องอยู่ด้วยความสนใจ จู่ ๆ เธอก็ได้พบกับภาพของหญิงสาวคนหนึ่งปรากฎขึ้น ในชุดไทยห่มผ้าสไบเฉียงให้เห็นอยู่ ณ เบื้องหน้า เป็นหญิงที่มีความงามตามแบบฉบับของสาวไทยในยุคโบราณในหน้าเรียบเฉย แต่ทว่าภาพร่างของเธอปรากฎให้เห็นเพียงสามในสี่ของร่างคนปกติเท่านั้น ส่วนล่างตั้งแต่หัวเข่าจรดปลายเท้าไม่มีให้เห็น เสมือนหนึ่งร่างของหญิงไทยโบราณคนนี้กำลังล่องลอยอยู่บนอากาศ ปราศจากส่วนล่างที่ควรเชื่อมตรึงติดอยู่กับพื้นเรือน


และเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากที่หญิงสาวนักท่องเที่ยวกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด ภาพของหญิงสาวในชุดไทยห่มผ้าสไบเฉียงก็อันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา ส่งผลให้นักท่องเที่ยวสาวจากกรุงเทพฯ แทบจะเป็นลมล้มพับไปในทันที


สำหรับสาเหตุที่หญิงสาวคนนั้นได้พบกับอาถรรพณ์ลี้ลับแบบเต็ม ๆ ก็เพราะเธอได้แอบพลอดพร่ำคำรักและยินยอมพร้อมใจแสดงบทรักกับแฟนหนุ่มด้วยการกอดจูบกันภายในห้อง ๆ หนึ่งซึ่งอยู่ในส่วนลับตาคนซึ่งถือได้ว่าเป็นการลบหลู่ต่อสถานที่อย่างไม่น่าให้อภัยเลย


ขอขอบคุณ : เพจ เรื่องเล่าคืนนั้นผี https://www.facebook.com/Ghostthaistory/

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ