ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ห้องสนิม...เมื่อความจริงที่น่ากลัวได้ถูกเปิดเผย กลุ่มนักศึกษาเกือบเอาชีวิตไม่รอด!!


เป็นเรื่องราวที่รุ่นพี่เล่าให้ฟังอีกที ชื่อคุณจิรา เหตุการณ์เกิดขึ้นที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสระแก้ว เมื่อปี 2529 ในสมัยที่กำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรี 3 ศึกษาเกี่ยวกับการวิจัยภาษาท้องถิ่น และมีวิชาหนึ่ง ที่ต้องลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล จึงตัดสินใจกันว่าจะไปที่จังหวัดสระแก้ว สมาชิกในกลุ่มมีทั้งหมดสี่คน คุณจิรา คุณกิ๊บ คุณนุช และคุณวิรุณ โดยพ่อของคุณนุชอาสาจะไปส่งทั้งสี่คนเอง

ทุกคนออกเดินทางในเวลาตีห้า ถึงที่หมายในเวลาสายๆ ช่วงนั้นตรงกับช่วงฤดูหนาวพอดี ก็เข้าไปเช็คอินโรงแรม และพักผ่อนกันอยู่ที่นี่หนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นก็ได้ว่าจ้างรถกระบะของโรงแรมหนึ่งคัน และมีการวางแผนกันว่า จะไปเก็บข้อมูลพื้นที่กันในสองเขตใหญ่ๆ นั่นก็คืออำเภอที่ติดกับชายแดน ที่มีตลาดที่ทุกคนรู้จักกันดี อีกที่คืออำเภอใกล้ๆกัน โดยตกลงกันว่าจะเข้าไปในอำเภอที่อยู่ใกล้ๆก่อน เมื่อเสร็จแล้วค่อยไปอำเภอที่อยู่ติดกับชายแดน จะได้แวะเที่ยวซื้อของแล้วกลับ จุดแรกที่ลงสำรวจคือวัดแห่งหนึ่งที่อยู่ในอำเภอ ช่วงนั้นมีงานบุญพอดี ทุกคนจึงได้เข้าไปไหว้พระและเก็บข้อมูลกันอยู่ประมาณสองชั่วโมง จากนั้นก็จะย้ายไปเก็บข้อมูลกับชาวบ้านในระแวกนั้นต่อ คนในกลุ่มจึงบอกกับคนขับรถว่า “ลุง เดี๋ยวพวกเราจะไปเก็บข้อมูลตรงหมู่บ้านข้างหน้าเนี่ยสักสองสามชั่วโมง ลุงกลับไปก่อนก็ได้ แล้วบ่ายสี่โมงค่อยมารับพวกเราในหมู่บ้านนี้นะ” แล้วก็ชี้มือไปยังจุดนัดพบ

ในสมัยนั้น มือถือพกพาเครื่องละเป็นแสน การสื่นสารทางไกลยังไม่สดวกสบายเท่าทุกวันนี้ จึงต้องนัดแนะกันให้ดีเสียก่อน เพื่อให้เข้าใจตรงกัน เมื่อนัดกับเรียบร้อยแล้วก็ได้แยกย้ายกันไปทำงานต่อ
กลุ่มคุณจิราเดินข้ามถนนจากฝั่งวัดเข้าไปในหมู่บ้าน เรียกได้ว่าเป็นชุมชนในพื้นที่ขนาดใหญ่ เดินตรงเข้าไปตามถนนจะเจอบ้านของผู้ใหญ่บ้าน และเป็นที่ทำการของหมู่บ้านไปในตัว ซึ่งหลังใหญ่พอสมควร
ถัดเข้าไปอีกสามถึงสี่หลังจะเป็นบ้านที่ผลิตพวกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับงานหัตถกรรมทั้งหมด หลังถัดไปจะเป็นบ้านตีเหล็ก ทำเกี่ยวกับพวกเครื่องมือเหล็ก ถัดเข้าไปอีกจะเป็นบ้านช่างไม้ เมื่อคุณจิราเห็นก็ลูบปากหวานหมู คิดในใจว่าได้แหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ ไม่ต้องไปที่ไหนไกล และที่สำคัญคนในหมู่บ้านค่อนข้างอัธยาศัยดี เพียงแค่เดินเข้าไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็พากันออกมาต้อนรับ โดยมีผู้ใหญ่บ้านเดินออกมาทักทายด้วย ทางกลุ่มสำรวจจึงขออนุญาตเก็บข้อมูลกันแบบจัดเต็ม จนเวลาล่วงเข้าถึงช่วงเที่ยงวัน ผู้ใหญ่บ้านจึงเรียกกลุ่มของคุณจิราเข้าไปทานข้าว โดยได้ต้มพะโล้หมูเป็นหม้อใหญ่ๆไว้ให้ จึงได้ตั้งวงกันตรงชานบ้าน

ผู้ใหญ่บ้านก็ได้เรียกชาวบ้านที่อยู่ในระแวกนั้นมาตักไปแบ่งกันทาน คุณจิราเห็นแล้วก็รู้สึกว่าที่นี่ดูน่ารักกันดี และในขณะที่กำลังนั่งทานกันอยู่เพลินๆ มีผู้ชายคนหนึ่ง ลักษณะตัวสูง ผมกระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง คาดการอายุไม่ได้ เดินดุ่มๆเข้ามาในหมู่บ้าน แล้วมานั่งลงตรงบันไดบ้านหลังหนึ่ง ใกล้ๆกับบ้านของผู้ใหญ่บ้าน คุณจิราสังเกตเห็นว่า ในมือของผู้ชายคนนั้นถือซากกบที่โดนรถทับตายเอาไว้อยู่ ผู้ใหญ่บ้านเหมือนจะจับอาการของกลุ่มคุณจิราได้ว่ากำลังสนใจผู้ชายคนนั้นอยู่ แกจึงพูดปนขำๆว่า “อ๋ออ ไอ้นี่มันชื่อไอ้เมืองมน ไอ้เมืองมนคนผีบ้า มันเคยเป็นลูกชายของหมอขวัญแถววัดใกล้ๆเนี่ย แต่ก่อนเนี๊ยะนะมันก็ดีๆอยู่นั่นแหละ หน้าตาหล่อเหลา มันเป็นนักเลงกลอน มันเคยชอบพออยู่กับอีนางโนรี นางโนรีมันเป็นลูกสาวของป้าคล้าย คนทำเสื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นน่ะแหละ มันเป็นวัยรุ่นอะเนอะ ก็เลยมาติดตาต้องใจกับอีนางโนรี สุดท้ายก็อกหักรักคุด เพราะมีนายหน้าค้าที่ดิน ชื่อเสี่ยสิบ เค้ามาทำธุระซื้อขายอยู่แถวๆเนี่ย บังเอิญมาติดตาต้องใจอีนางโนรี สุดท้ายก็ลงเอยด้วยกัน พาอีนางโนรีหอบข้าวหอบของไปอยู่ด้วยกัน มันคงกลายเป็นคุณนายสบายไปและ ไอ้เมืองมนมันคงเฮิด เสียอกเสียใจหนัก เลยเพี้ยนเป็นบ้าเป็นบอไป”

คุณจิราที่ช่วงนั้นกำลังเป็นวัยรุ่นอยู่ เมื่อได้ฟังเรื่องรักๆใคร่ๆของชาวบ้านเค้า ก็เลยเอามาพูดคุยกันอย่างสนุกปาก คุณนุชพูดขึ้นว่า “แหมม ถึงขั้นทำผู้ชายอกหักจนเสียผู้เสียคนอย่างเงี๊ย สงสัยจะสวยน่าดูนะแม่โนรีคนเนี๊ยะ” เมียของผู้ใหญ่บ้านแกก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “โอ๊ย มันน่ะหน้าตาพิลึก แปลกกว่าชาวบ้าน” ด้วยความสงสัย คุณนุชจึงถามว่า “อ่าวแปลกยังไงอ่ะคะ” เมียผู้ใหญ่พูดต่อว่า “ตัวมันสูง แขนขายาว ผมมันแดงเลยนะ ตาเหลืองๆ ผิวซีดๆ มีกระลายๆออกเต็มหน้า” คุณจิราได้ฟังก็พูดขึ้นว่า “เฮ้ย นี่มันหน้าตาของพวกฝรั่งนะ เค้าเป็นลูกฝรั่งของคะ” เมียผู้ใหญ่ก็ตอบว่า “ยายคล้ายแม่มันอ่ะ ย้ายมาจากสัตหีบนานแล้ว ตอนมาที่นี่ก็อุ้มท้องยายโนรีอยู่ ตอนแรกบ้านยายคล้ายมีตาพุ่มอยู่ด้วย จนนางโนรีมันเกิดได้ปีนึง ตาพุ่มก็ตาย ย้ายคล้ายเลยอยู่เลี้ยงลูกกันสองคน หาของป่าขายตามสภาพ จนนางโนรีมันได้ผัวเป็นเสี่ยน่ะแหละ เลยมีเงินปลูกบ้านใหม่”

เมื่อฟังๆกันอยู่ คุณจิราก็เห็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่บ้านตีเหล็ก ตักเอาต้มขาหมูใส่ถ้วย แล้วเดินเอาไปให้ผู้ชายที่เสียสติ เมื่อไอ้มนคนผีบ้าเห็นชามขาหมู อยู่ดีๆก็ร้องเหมือนคนบ้าคลั่ง ปัดจานหกเลอะเทอะ ร้องห่มร้องไห้ แล้ววิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเข้าไปในห้องๆหนึ่ง ซึ่งดูแล้วคล้ายกับว่าเป็นห้องที่เอาไว้เก็บเครื่องไม้เครื่องมือ พวกผู้ชายต่างก็วิ่งจะไปจับ เพราะกลัวว่าจะคลั่งจนทำร้ายคนเอา คุณวิรุณ เป็นหนุ่มคนเดียวในกลุ่มเลยออกจะห้าวๆหน่อย วิ่งจะไปช่วยเค้าจับด้วยอีกคน จึงได้เห็นว่าไอ้มนไปนั่งขดตัวร้องไห้อยู่ในห้องๆนั้น ลักษณะห้องคล้ายกับตู้คอนเทนเนอร์สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่สนิมจับเขลอะเป็นตะปุ่มตะป่ํา สีแดงเข้มออกน้ำตาลแลดูคล้ายกับว่ามันฉาบไปด้วยเลือด มองจากด้านนอกคล้ายกับเอาแผ่นเหล็กขนาดใหญ่มาก่อครอบพื้นดินทำเป็นห้อง โดยที่ไม่ได้ปูพื้น ด้านในมีแต่พวกเครื่องมืออุปกรณ์ก่อสร้างที่ทำขึ้นจากเหล็กกองสุมๆกันไว้ ตรงกลางห้องมีการก่อปูนขึ้นมาเล็กๆ ขนาดประมาณหนึ่งคูณหนึ่งเมตร สูงระดับตาตุ่ม มีอาวุธจำพวกมีด กริด ดาบ วางไขว้ทับอยู่บนแผ่นปูนเป็นตัวกากบาท

ด้วยความที่คุณวิรุณเป็นหนุ่มยุคใหม่ สิ่งที่เห็นเป็นเรื่องแปลก แกก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด คิดแค่ว่าเป็นห้องเก็บอุปกรณ์ธรรมดา เมื่อเหตุการณ์สงบลงจึงได้เดินออกมา ปล่อยให้ไอ้มนนั่งร้องไห้อยู่ภายในห้องนั้นคนเดียว เมื่อเก็บข้อมูลเสร็จแล้วเวลาก็จวนเจียนจะสี่โมง ทุกคนจึงได้มานั่งรอรถที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน แต่เมื่อนั่งรอจนเวลาย่างเข้าหกโมงเย็นก็ยังไม่มีใครมารับ ผู้ใหญ่บ้านจึงให้ยืมใช้โทรศัพท์ คุณวิรุนจึงขึ้นบ้านไปหมุนเบอร์โทรศัพท์ไปหาทางโรงแรม ปรากฏว่ารถที่จะมารับเกิดเสีย ต้องใช้เวลาซ่อมนานพอสมควร เดี๋ยวจะให้รถอีกคันออกไปรับก่อน แต่ยังไม่ทันที่จะตกลงกับทางปลายสาย ผู้ใหญ่บ้านจึงชวนให้ค้างที่นี่กันสักคืนก่อน เพราะที่นี่อยู่ห่างจากโรงแรมที่พักประมาณสามสิบกิโลเมตร และคืนนี้ที่หมู่บ้านมีงานกินเลี้ยงกันด้วย เมื่อทุกคนได้ยินก็รู้สึกตื่นเต้นอยากรู้อยากลองชิมบรรยากาศที่นี่ดู จึงบอกกับทางโรงแรมว่าให้มารับพรุ่งนี้เช้าแทน

เมื่อเข้าช่วงกลางคืน ก็มีชาวบ้านหลายคนเดินมาปิ้งย่างกันที่หน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน เป็นงานกินเลี้ยงขนาดย่อมๆ จนเวลาล่วงเข้าสามทุ่มจึงได้แยกย้ายกันเข้าบ้าน โดยเมียของผู้ใหญ่บ้านได้จัดห้องให้นอนรวมกันที่บ้านหลังหนึ่ง ใกล้ๆกับบ้านของผู้ใหญ่บ้าน จนถึงช่วงดึก หมู่บ้านตกอยู่ในความเงียบสงบจนน่าขนลุก แต่ในความเงียบนั้น หูของคุณจิราได้ยินเสียงอะไรสักอย่างดัง “ตุ๊บ..ตุ๊บ” คล้ายคนเอาค้อนทุบกับปูนจากที่ไกลๆ เสียงที่ว่านี้ดังอยู่นานมาก จนคุณจิราผลอยหลับไป มาตื่นปวดเบาเอาตอนกลางดึก คุณจิรารู้สึกลำบากใจมาก เพราะห้องน้ำมันตั้งอยู่นอกตัวบ้าน และด้านนอกมันทั้งมืดและก็เย็นมาก จึงสะกิดคุณนุชที่นอนอยู่ข้างๆกันให้ไปเป็นเพื่อน เมื่อทั้งสองเดินออกมานอกบ้าน เสียงทุบอะไรสักอย่างมันยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง “ตุ๊บ..ตุ๊บ” คุณจิรากับคุณนุชเดินถือตะเกียงฝ่าความมืดไปยังห้องน้ำ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบสิบเมตรได้ ลมเย็นโชยมาปะทะร่างกายจนหนาวสั่น ไม่เพียงแค่นั้น ลมมันยังหอบเอาเสียงปริศนาลอยตามมาด้วย “ตุ๊บ..ตุ๊บ” สองสาวได้ยินอย่างถนัดชัดเจน แต่ไม่มีใครกล้าปริปากถามอะไรกัน เพราะที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของตนเอง กลัวว่าความอยากรู้อยากเห็นจนเกินพอดีจะนำความหายนะมาสู่ตน ทางไปห้องน้ำจะต้องผ่านห้องสนิมเขลอะห้องนั้นด้วย มันดูน่ากลัวกว่าตอนกลางวันมาก ตู้สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ที่มีแต่สนิมสีเลือดจับเขลอะ คุณจิราได้แต่คิดในใจว่าทำไมไม่หาอะไรมาคลุมเอาไว้ หรือรื้อๆมันทิ้งแล้วทำใหม่ให้มันดีกว่านี้หน่อย

เมื่อไปถึงห้องน้ำและเสร็จธุระ ทั้งสองก็เดินกลับมาทางเดิม แต่เมื่อเดินมาถึงห้องสนิม คุณจิระกับคุณนุชสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแถวๆผนังห้อง เมื่อลองสังเกตดูดีๆ ปรากฏว่าเห็นเป็นใบหน้าคนขนาดใหญ่กว่าปกติสองถึงสามเท่า เบียดผนังห้องสนิมจนผนังมันยื่นออกมาเป็นรูปหน้าคน ซึ่งใบหน้ามันเป็นเนื้อเดียวกับแผ่นสนิมสีเลือดที่เป็นตะปุ่มตะป่ำ อ้าปากกว้างและส่ายหน้าไปมาเหมือนกำลังทรมาน จังหวะนั้นคุณจิรากับคุณนุชช็อคจนตัวแข็งยืนขาตายสนิท แต่ก็ต้องตกใจจนผวา เพราะไอ้มนคนบ้ามันวิ่งพรวดออกมาจากห้องสนิม พร้อมๆกับหัวเราะร่าไปด้วยแล้วหายไปในความมืดบนถนน คุณจิราพยายามกรีดเสียงร้องออกมา แต่เสียงมันกลับอยู่แค่ในลำคอเท่านั้น ส่วนคุณนุชตอนนี้เป็นลมล้มกองอยู่กับพื้น จนคุณจิรารวบรวมแรงเฮียกสุดท้าย กรีดเสียงร้องออกมาดังลั่น จนชาวบ้านและผู้ใหญ่บ้านวิ่งเข้ามาดูกันพัลวัน แล้วรีบอุ้มคุณนุชขึ้นบ้านเพื่อไปปฐมพยาบาล ตอนนั้นคุณจิรายังคงควบคุมตัวเองไม่ได้ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวสุดขีด เพื่อนๆจึงเข้ามาช่วยกันปลอบ เวลาผ่านไปสักพัก คุณนุชก็ฟื้นขึ้นมา แต่ทุกคนก็คะยั้นคะยอให้คุณนุชหลับต่อ เพราะห่วงเรื่องสุขภาพอยากให้พักผ่อนเสียมากกว่า คุณจิราจึงเล่าในสิ่งที่เห็นให้ทุกคนฟัง

และทันทีที่เล่าจบ ผู้ใหญ่บ้านและพวกชาวบ้านที่ล้อมวงกันอยู่ต่างหน้าถอดสีไปตามๆกัน เอาแต่มองหน้ากันเลิกลั่ก สักพักหนึ่ง ลุงที่อยู่บ้านตีเหล็กก็พูดขึ้นว่า “โอ้ย ก็ไอ้เมืองมนมันเลี้ยงผี มันอกหักจากอีโนรีไง เลยไปฝักไฝ่ในวิชาเดรัจฉาน มันคงหวังลมๆแล้งๆละมั้ง ว่าอีโนรีจะกลับมาหามันน่ะ ของก็เลยเข้าตัวมัน มันก็เลยเป็นบ้า!!” คุณจิราฟังจากน้ำเสียงของช่างตีเหล็กที่พูดเหมือนมันเป็นเรื่องตลก ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจ เพราะตนที่พบเจอเรื่องนี้มากับตัว รู้ซึ้งว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด ลุงช่างตีเหล็กก็พูดต่อไปอีกว่า “ทุกวันนี้นะ มันชอบเอาซากกบซากหนูตายเข้าไปกินในห้องสนิมนั่นน่ะ ของดีๆของอร่อยๆให้ไปเท่าไหร่ก็ไม่กิน” สักพักผู้ใหญ่ฟบ้านเห็นว่าลุงชักจะพูดอะไรมากเกินไป กลัวว่าจะสนุกปากจนหลุดอะไรไม่สมควรออกมา จึงได้เหลือบตาไปมองเป็นเชิงว่าให้เงียบสักที แล้วแกก็พูดเสียงขรึมๆว่า “จะห้ามมันก็ไม่ได้อ่ะหนู มันไปๆมาๆ หนีไวเหมือนลิงเหมือนค่าง แล้วมันก็ชอบมาทำพิธีอะไรของมันทุกคืน ปกติคนที่นี่ไม่เคยเจออะไรเลยนะ แต่พวกหนูคงจิตอ่อนและเป็นคนแปลกที่ก็เลยเจอ งั้นพักเถอะ คืนนี้จุดไฟนอนกันหมดนี่แหละ พรุ่งนี้จะว่าไงค่อยว่ากัน”

ตอนนั้นทุกคนต่างจิตใจไม่สงบกัน ความสนุกที่มีมาทั้งวันลดหายไปหมด คิดแค่ว่าอยากกลับบ้านกันอย่างเดียว ทุกคนจึงจำเป็นต้องข่มตานอน วันรุ่งขึ้นรถก็มารับกลับโรงแรม เมื่อมาถึงโรงแรม คุณนุชนอนจับไข้ทันที คุณจิราจึงให้คุณกิ๊บอยู่เป็นเพื่อน แล้วเดี๋ยวตนเองกับคุณวิรุณจะออกไปเก็บข้อมูลในส่วนที่เหลือเอง เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้น กะไว้ว่าจะไปเก็บข้อมูลที่หมู่บ้านอื่นๆต่อ แต่มันเหมือนอะไรต่างๆก็ไม่เป็นใจไปเสียหมด ลงท้ายเลยต้องกลับมาที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านอีกเช่นเคย แต่กลับมาคราวนี้คุณจิรารู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างมืดมน ห้องสนิมเขลอะห้องนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งน่ากลัว มีความรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรที่มันไม่ดีกำลังจะหลุดออกมา ในตอนนั้น คุณจิราพยายามมองหาไอ้มนคนบ้าแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน จึงฝืนทำงานไปด้วยใจคอที่มันหดหู่ ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกันงานเท่าใดนัก คิดแค่ว่าทำให้มันเสร็จๆแล้วจะได้กลับเสียที แต่นับว่ายังดีที่มีคุณวิรุณมาเป็นเพื่อน เพราะคุณวิรุณเป็นคนที่ใจคอเข้มแข็ง และชอบให้กำลังใจเพื่อน จนเวลาเข้าช่วงเย็น คุณจิราคิดว่าข้อมูลที่ได้มามันก็มากพอควรแล้ว จึงมานั่งรอรถที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน

แต่เหตุการณ์ก็ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง เมื่อโทรไปที่โรงแรม ปรากฏว่ารถเกิดเสียจนไม่สามารถเข้ามารับได้ คราวนี้คุณจิราเกิดมีน้ำโห บอกกับทางโรงแรมว่าจะไม่รอตอนเช้าอีกแล้ว เสร็จเมื่อไหร่ก็ให้รีบมารับทันที จะเป็นรถอะไรก็ช่าง เมื่อวางสาย คุณจิรากับคุณวิรุณก็มานั่งดูข้อมูลไปพลางๆในขณะที่รอรถ ซึ่งนั่งกันอยู่หน้าชานระเบียงหน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้าน แต่ในขณะที่กำลังนั่งดูข้อมูลกันอยู่ หูก็แว่วได้ยินเสียงที่คุ้นเคยลอยมาตามลม “ตุ๊บ..ตุ๊บ” แต่คราวนี้มันเป็นเสียงทุบที่หนักแน่นและแรงกว่าที่เคยได้ยิน แถมมีเสียงเหมือนทุบเหล็กจนมันดังสนั่น คุณจิระกับคุณวิรุณตกใจรีบหันไปดู ปรากฏว่าเห็นไอ้มนเอาขวานสับไม้อันใหญ่ ทุบผนังห้องสนิมจนมันเหวอะเปิดออกเป็นรูกว้าง แล้วกระหน่ำฟันแท่นปูนที่อยู่กลางห้องสนิมอย่างคนบ้าคลั่ง พวกชาวบ้านต่างก็กรูกันเข้ามาอีกครั้ง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ได้แต่ยืนคุมเชิงอยู่ห่างๆ จนแท่นปูนมันแตกเป็นเสี่ยงๆ คุณจิราและคุณวิรุณซึ่งไม่รู้ว่าจับพัดจับพูท่าไหน ได้มายืนอยู่วงในใกล้ที่เกิดเหตุที่สุด เห็นของบางอย่างมันกระเทาะออกจากแท่นปูน มันดูเหมือนกระดาษเก่าๆ ปลิวมาอยู่แถวๆเท้าของคุณจิรา และมีขมวดเส้นผมกลุ่มใหญ่ที่เป็นสีแดง

ในวินาทีนั้น ไอ้มนเอามือโกยเส้นผมเหล่านั้นแล้วกอดมันไว้แนบอก พร้อมๆกับร้องไห้เหมือนคนที่กำลังจะขาดใจตาย คุณจิราจึงหยิบกระดาษเก่าๆแผ่นนั้นขึ้นมาคลี้ดู มันเล็กพอๆกับกระดาษโพสอิท ในนั้นมีกลอนเล็กๆเขียนไว้ ซึ่งคุณจิราจำได้ขึ้นใจว่า
โนรีน้อย ลอยลม ชมแมกไม้    อิงเสียงคล้าย กังวาล ขับขานใส
เพลงมนต์พี่ ดั่งสรรัก ปักฤทัย    ขอฝากฝัง กายใจ ให้เมืองมน
ในตอนนั้น คุณจิรารู้สึกเหมือนใจหล่บวูบลงจากที่สูง หนักหน่วงในใจจนอยากร้องไห้ และไม่รู้ว่าอะไรดลใจ คุณจิราค่อยๆย่อตัวลงข้างๆไอ้มน แล้วยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆนี้ให้ สายตาของไอ้มนที่มองมาหาคุณจิรา มันเป็นสายตาของคนที่เศร้าศร้อยอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรง แทบหาความเป็นคนไม่ได้เลยในแววตาที่มืดสนิทนั้น ไอ้มนค่อยๆยื่นมือมารับกระดาษที่คุณจิราให้ด้วยอาการที่สงบ แล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน จากนั้นก็วิ่งหนีไปทางถนนใหญ่ หายเข้าไปในป่าข้างทาง ท่ามกลางสายตาของทุกคนในหมู่บ้าน ที่กำลังมองหน้ากันอย่างเลิกลั่ก แล้วจับจ้องไปทางคนทำเสื่อที่เป็นแม่ของนางโนรี คุณจิราสังเกตได้ว่า ยายคนนั้นทำตาเหลือกโพลงจนดูน่ากลัว

เมื่อสถานการณ์สงบ ทุกคนจึงได้แยกย้าย คุณจิราและคุณวิรุณก็กลับมานั่งรอที่ห้อง แต่ในคืนนั้นไม่ได้มีการจัดงานกินเลี้ยง เวลาแค่เพียงทุ่มกว่าๆ ทุกคนต่างรีบปิดบ้านเงียบกันทุกหลัง ไม่มีใครพูดอะไรกันเลยสักคำ ทั้งๆที่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ มันสมควรจะต้องมีการพูดคุยโต้เถียงกันมากกว่าแยกย้ายกันปิดบ้านเงียบเช่นนี้ คิดได้เพียงแค่ว่า ทุกคนรู้เรื่องราวทั้งหมดดีอยู่แล้ว คุณจิรารีบเก็บสัมภาระทุกอย่างมากองรวมๆกันไว้ กะว่าเมื่อรถมาถึงแล้วก็จะโยนขึ้นรถ แล้วรีบเปิดแนบออกจากที่นี่เลย ความกลัวความหวาดระแวงต่างๆวิ่งเข้าเล่นงานคุณจิราอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ใช่เพราะกลัวผีที่เจอมาเมื่อวาน และด้วยความเพลียและความล้า ทั้งสองจึงเผลอหลับไป มารู้สึกตัวก็เวลาประมาณตีหนึ่ง เหมือนมีมือนุ่มๆเย็นๆมาจับเข้าทีปลายเท้าของคุณจิรา จากแสงจันทร์เดือนหงายที่มันแทรกความมืดลงมาผ่านหน้าต่าง

คุณจิราเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง นั่งคุเข่าอยู่ตรงหน้า มีผ้าคลุมศีรษะ ใบหน้าเห็นไม่ชัด เธอพูดกับคุณจิราเบาๆว่า “รถมาแล้วจ๊ะ รีบไปเถอะ” ในวินาทีนั้น คุณจิราไม่มีความคิดใดอื่นเลย นอกจากว่าจะต้องทำตามที่ผู้หญิงคนนี้พูด จึงหันไปสะกิดคุณวิรุณให้ตื่น แล้วช่วยกับหยิบของขึ้นสะพายหลัง เดินตามผู้หญิงคนนั้นออกจากห้องด้วยฝีเท้าที่เงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้ ไม่รู้เพราะอะไร แต่สัญชาตญาณมันร้องเตือนให้ทำแบบนี้ จนเดินมาถึงถนนใหญ่ แล้วข้ามฝั่งเข้าไปในวัด ผู้หญิงคนนั้นเธอตัวค่อนข้างสูง ใส่เสื่อผ้าสีหม่นๆ เดินนำหน้าโดยที่ไม่หันกลับมามอง เมื่อเดินลึกเข้าไปจนเกือบจะถึงหลังวัด คุณจิราเห็นรถกระบะจอดแอบอยู่ในความมืด ใต้ต้นมะขามใหญ่ โดยลุงคนขับรถยืนชะเง้อมองมาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเป็นลุงคนเดียวกันกับที่มาส่ง หญิงสาวที่เดินนำหน้าอยู่เธอหันกลับมาหาแล้วพูดว่า “ขึ้นรถไปได้แล้วจ๊ะ รีบไปเลยนะ เวลาเหลือไม่มากแล้ว” คุณวิรุณกับคุณจิราจึงรีบกระโดดขึ้นรถทันที แล้วลุงก็รีบสตาร์ทรถแล้วขับออกมา จังหวะที่รถเคลื่อนตัวออกจากจุดเดิม คุณจิราหันกลับไปมองหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง เลือดในกายของคุณจิราเย็นเฉียบ เมื่อผู้หญิงคนนั้นค่อยๆดึงผ้าคลุมหัวออก เผยให้เห็นใบหน้าที่สวยคม แสดงสีหน้าเศร้าสร้อย ภายใต้เส้นผมยาวหยักศกสีแดง

ในขณะที่กำลังขับรถออกจากวัด ลุงคนขับถามคำถามแรกกับพวกคุณจิราว่า “แท่นปูนน่ะ แตกแล้วเหรอ” คุณจิราได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกอึ้ง ถามกลับว่า “ลุงรู้ได้ไง” ลุงแกพูดขึ้นว่า “ลุงน่ะรู้มากกว่าที่พวกคุณรู้อีกเยอะ คุณรู้มั้ย ที่ไอ้ข่าวคราวที่คนพวกนั้นมันบอกว่าแม่โนรีไปอยู่กับเสี่ย นั่นมันโกหกทั้งเพ แม่โนรีไม่ได้ไปไหน แม่โนรีอยู่ในกำแพงเหล็กนั่นแหละ” คุณจิรารู้สึกสะท้านขึ้นในอก ใจหายวูบวาบอยู่ตลอดเวลา ถามเสียงสั่นๆว่า “ทำไมเหรอลุง” ลุงแกเริ่มเล่าว่า “ตอนนั้นลุงยังหนุ่มๆ อยู่ที่บ้านตีเหล็กเป็นลูกมือเค้า แม่โนรีน่ะ เค้ารักกับเมืองมน ลูกหมอขวัญ เค้ารักกันมาก ไอ้เมืองมนมันก็เทียวไล้เทียวขื่อมาหา มาสอนแต่งกลอน จีบกันไปจีบกันมา รักกันมากขนาดที่แม่โนรีไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ไอ้เมืองมนมาสอนจนแม่โนรีแต่งกลอนได้เก่งมาก รักกันตั้งแต่เด็ก จนมาเกิดเรื่องเพราะไอ้เสี่ยสิบนั่นแหละ มันมาซื้อขายที่ดินกับผู้ใหญ่ แล้วมันเกิดติดใจในหน้าสวยๆของแม่โนรี ก็เลยอยากได้เอาไปเป็นเมีย แต่แม่โนรีมันก็ไม่ยอม ก็มันมีรักของมันอยู่แล้วนิ ก็เลยยื้อยุดฉุดกระชากกันเป็นการใหญ่ ด่าทอกันเสียงดัง ไอ้เสี่ยมันก็เลยควักปืนยิงเปรี้ยงเข้าที่ท้องของแม่โนรีตายคาที่ พวกชาวบ้านมันก็กลัวไอ้เสี่ย ประกอบกับที่มันยัดเงินปิดปาก ทุกคนเลยช่วยกันทำลายศพ จับแม่โนรีถอดเสื้อผ้าชำแหละเนื้อหนัง แล้วเอาไปหลอมเข้ากับเหล็ก จนได้เหล็กแผ่นใหญ่มาหนึ่งแผ่น

แล้วเอาเสื้อผ้ากับกระดูกเผาไฟ จากนั้นก็เอาเส้นผมโบกปูนไว้ แล้วเอาแผ่นเหล็กที่หลอมได้มาทำเป็นผนังครอบแท่นปูน พร้อมกับขนอุปกรณ์ที่ทำจากโลหะไปสุมไว้ในห้องนั้น แล้วเอาอาวุธปลุกเสกต่างๆวางไขว้เป็นตัวกากบาทบนแท่นปูน เพื่อปิดกั้นวิญญาณ” แผ่นกระดาษที่คุณจิราเห็น คงจะเป็นกลอนที่ไอ้เมืองมนแต่งให้กับนางโนรี นางโนรีจึงม้วนไว้กับเส้นผมของตัวเอง เพราะคนสมัยก่อนมักจะชอบเก็บของสำคัญไว้ในใต้เส้นผม คุณจิราเข้าใจในทันทีว่าทำไมเมื่อไอ้มนเห็นต้มพะโล้แล้วต้องปัดทิ้งทันที คงเพราะไอ้มนเห็นขั้นตอนการทำลายศพทุกอย่าง คุณวิรุณร้องถามเสียงแหลมว่า “เฮ้ย แล้วแม่เค้าไม่ทำอะไรเลยเหรอ แม่เค้าก็ยังอยู่นี่” ลุงแกพูดกระแทกเสียงว่า “แม่มันนั่นแหละ เป็นคนสับแขนสับขา เลาะหนังหัวมันด้วยมือตัวเอง มันไม่ได้รักลูกของมันเลย ตอนอยู่ก็เอาแต่ด่า รังเกียจ หาว่าเป็นเสนียดติดท้องมัน มันเลยชำแหละลูกมันเอง แล้วได้เงินก้อนใหญ่จากเสี่ยมาปลูกบ้านใหม่ ตัวลุงเองก็อยู่ที่นั่นไม่ได้ ลุงเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก ก็เลยหนีเตลิดออกมา ยอมเป็นเด็กอู่ในเมืองจนกลายมาเป็นคนขับรถทุกวันนี้”

เมื่อขับมาจนถึงทางยูเทิร์นเพื่อจะกลับเข้าเมือง พ้นยูเทิร์นแล้วจะต้องผ่านหน้าหมู่บ้านแห่งนั้น ในตอนนั้นคุณจิรารู้สึกใจหล่นวูบลงตาตุ่ม เพราะคุณจิราเห็นแสงคบใต้จากในหมู่บ้านหลายสิบดวง เหมือนคนในหมู่บ้านกำลังหาอะไรสักอย่างจนขวักไขว่ ณ ตอนนั้น คุณจิรามีความรู้สึกกลัวคนในหมู่บ้านมากกว่ากลัวผีเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งกลับมาถึงโรงแรมในตัวเมือง ก็เจอคุณพ่อของคุณนุชนั่งรออยู่ในห้อง คุณพ่อของคุณนุชเล่าว่า รีบบึ่งมาจากกรุงเทพเลยเพราะฝันว่า เจอผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่ง มาบอกให้รีบกลับมารับลูก กำลังจะเกิดเรื่องไม่ดี รุ่นขึ้นมาทุกคนรีบกลับกรุงเทพทันที ซึ่งต้องล้มเลิกแผนข้างต้นที่ว่าจะต้องไปสำรวจอีกหมู่บ้านหนึ่งแถวชายแดนทันที เหตุกาณร์ที่คุณจิราได้ประสพพบเจอมา มันทำให้ได้แง่คิดที่ว่า สิ่งที่น่ากลัวกว่าผีก็คือ การได้เห็นคนด้วยกันเอง ฆ่ากันตายอย่างโหดร้ายทารุน โดยที่ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็น ถูกบิดเบือนความจริง ไม่มีสิทธิ์ทวงความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง กฏหมายทำอะไรไม่ได้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ