ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ผีบังตา เมื่อคุณย่าไปเลี้ยงควาย


ไม่ได้ตั้งกระทู้เล่าเรื่องผีมานาน เพราะนึกไม่ออกว่าจะเล่าอะไร แต่พอดีช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาได้กลับบ้านนอกไปพบญาติพี่น้อง คนเฒ่าคนแก่ มันก็มีความสุขตรงที่ได้ล้อมวงกินข้าวพูดคุยกันดึกหน่อยก็ไม่พ้นเล่าเรื่องผี ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกันค่ะ


ย่าเป็นเด็กอิสาน ตอนนี้ย่าอายุเจ็ดสิบแล้วนะคะ ร่างกายแข็งแรงดี ยังทอผ้า ทำงานเล็กๆน้อยๆ ได้ เรื่องที่ย่าเล่าให้ฟังเกิดขึ้นเมื่อสมัยย่าเป็นเด็กประมาณ 7-8 ขวบ ครอบครัวของย่าค่อนข้างมีฐานะ เพราะทวดเคยเป็นนายฮ้อย (คนเลี้ยงวัวเลี้ยงควายสมัยก่อน เลี้ยงวัวเป็นร้อยๆ ตัว ถ้ามีเวลาจะมาเล่าเรื่องนายฮ้อยให้ฟังค่ะ สนุกดีเหมือนกัน) ย่ามีพี้น้องทั้งหมด 9 คน ย่าเป็นคนที่สี่ ทวดนั้นเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เป็ดและไก่เยอะมาก ลูกชายปู่จะให้ไปเลี้ยงวัวประมาณเกือบยี่สิบตัว ส่วนย่ากับพี่สาวคนที่สามได้รับหน้าที่เลี้ยงควายหกตัว เพราะควายจะเลี้ยงง่ายกว่าวัว ส่วนลูกคนเล็กๆ ทวดจะให้ไปเลี้ยงเป็ดไก่นับพันตัวกับทวดหญิง สมัยนั้นไม่มีใครต้องไปเรียนหนังสือ หน้าที่หลักก็เลยตามนี้


วันนั้นย่าไปเลี้ยงควายปกติ โดยนึ่งข้าวแล้วก็ต้มไข่เป็ดกับแจ่วปลาร้าไปกินระหว่างวัน ทางไปเลี้ยงควายนั้น จะต้องข้ามคลองน้ำ ที่มีน้ำลึกเกือบถึงหลังควาย ดังนั้น วิธีข้ามก็คือ ย่ากับพี่สาวจะนั่งอยู่บนหลังควายคนละตัว ให้ควายพาเดินข้ามน้ำ เวลาที่น้ำลึกจะท่วมหลังควายก็จะยืนทรงตัวบนหลังควายแทน ระยะทางข้ามคลองก็ราวๆ  20 เมตร เมื่อข้ามคลองมาได้ ก็จะช่วยกันดึงปลิงออกจากควาย แล้วเอามดแดงตามต้นไม้มากัดปลิง เป็นเรื่องสนุกสนานไป  แล้วก็เดินต่อไปถึงลานเลี้ยงควายที่เป็นที่นาของญาติๆ เพราะเป็นฤดูที่เพิ่งเก็บเกี่ยวเสร็จจึงเอาควายไปเลี้ยงแถวนั้นได้ ย่าบอกว่าออกจากบ้านตีสี่กว่าๆ ไปถึงที่เลี้ยงควายก็แดดออกได้กินข้าวเช้าพอดี


พอไปถึงก็ปล่อยให้ควายเดินกินหญ้า นอนแช่โคลนไป ย่ากับพี่สาวก็พากันกินข้าวเช้า กินข้าวเสร็จ ก็จะพากันไปเล่นตามประสาเด็ก จนเที่ยงจึงจะพาควายไปกินน้ำ โดยย่ากับพี่สาวจะต้องลงไปตักน้ำใส่ถังมาให้ควายกิน เพราะถ้าควายลงไปกินเองอาจจะขึ้นไม่ได้ วันนี้พี่สาวชวนย่าไปตักน้ำที่บ่อนาตาส่วง นาตาส่วงอยู่ติดกับโนนเจ้าปู่ที่เป็นที่เคารพของหมู่บ้าน ลักษณะจะเป็นโนนใหญ่ๆ เป็นป่าโล่งๆ มีต้นไม้สูง แล้วก็มีศาลเจ้าปู่อยู่ ทวดจะกำชับนักหนาว่าอย่าไปเล่นแถวนั้น เพราะกลัวว่าจะไปทำอะไรไม่ดีไม่ถูกไม่ควรโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อเอาน้ำให้ควายเสร็จ ย่ากับพี่สาวก็ได้เวลานอนกลางวัน โดยคุยกันว่าจะไม่พาควายกลับไปที่เดิมแล้ว เพราะเหนื่อย ขี้เกียจเดิน ถึงเย็นค่อยพากลับบ้านเลย ย่ากับพี่สาวก็พากันกินข้าวกลางวัน กินเสร็จก็พากันไปเล่น ย่าเล่นได้สักพักก็เหนื่อยบอกว่าจะนอน ก็เลยปีนขึ้นไปนอนเล่นบนหลังควายที่กำลังยืนเคี้ยวหญ้าอยู่ใต้ร่มต้นกบกขนาดใหญ่ ย่ากำลังจะเรียกให้พี่สาวมานอนกลางวัน


หันไปเห็นพี่สาววิ่งไปทางกอไผ่ใกล้โนนเจ้าปู่ แล้วทำท่าทำทางนั่งเอามือคุ้ยดิน แล้วพูดอยู่คนเดียว ย่าก็คิดว่าคงจะเล่นขายของ ก็ไม่ได้สนใจ จึงนอนต่อ พอเคลิ้มหลับไปสักพัก ย่าจะต้องสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงพี่สาวร้องไห้  ย่ารีบกระโดดลงจากหลังควายไปหาพี่สาวที่ยืนร้องไห้อยู่ข้างต้นมะกอกน้ำข้างสระ จึงเข้าไปถามพี่สาวก็เอาแต่ร้องไห้บอกว่ากลับบ้านๆ ย่าก็เลยบอกว่ากลับตอนนี้ก็โดนตีตายนะสิ เพราะดูแล้วน่าจะประมาณบ่ายสามโมง ย่าว่ารอก่อนอีกแป๊บนึงจะพากลับ ให้ควายมันลุกขึ้นทุกตัวก่อน ตอนนั้นควายยังนอนแช่โคลนอยู่ ซักพักพี่สาวก็เงียบไป ไม่ยอมพูดอะไรต่อ จนผ่านไปประมาณชั่วโมงกว่าๆ ได้เวลากลับ พี่สาวย่าบอกให้ย่าเป็นคนไปต้อนควายที่อยู่ไกลๆเอง ก็เลยเกิดทะเลาะกันจนถึงขั้นตีกันตามประสาเด็ก จนพี่สาวย่าโกรธแล้ววิ่งกลับบ้านไปก่อน


ย่าทั้งโกรธทั้งร้องไห้ เพราะโมโหที่ต้องเอาควายกลับบ้านคนเดียว ย่าทั้งหอบปิ่นโต หอบกระติบข้าว โดยเอาให้ผ้าขาวม้าผูกหลังไป แล้วก็เดินไปต้อนควายทีละตัวๆ สักพักเห็นพี่สาวเดินกลัวมาช่วยไล่ๆควาย แต่อยู่ดีดีลูกควายที่เพิ่งจะเกิดไม่ได้กี่เดือนก็เกิดตกใจวิ่งเตลิดเข้าไปในป่าหลังโนนเจ้าปู่ ย่าตะโกนบอกพี่สาวให้ต้อนควายที่เหลือไว้ เดี๋ยวจะแตกฝูง ส่วนย่าวิ่งตามลูกควายไป ย่าบอกว่าจำได้แค่ว่าวิ่งตามลูกควายไปในป่า วิ่งไปเรื่อยๆ ก็หาลูกควายไม่เจอ ย่าหาลูกควายจนมืด จนเหนื่อย จะเดินออกจากป่าก็หาทางออกไม่เจอ ก็เลยนั่งพัก แต่ตอนนั้นย่าบอกว่า ไม่ได้กลัวอะไร เพราะป่ามันไม่ใช่ป่าใหญ่ เป็นป่าโล่งๆ มองเห็นนาชาวบ้านอยู่ เพียงแต่ที่ว่าหาทางออกไม่เจอคือทางเดินเท้าหาไม่เจอ ถ้าจะออกก็บุกพงหญ้าพงหนามออกไป ย่าจึงไม่ออกไป กะว่านั่งจนหายเหนื่อยก่อนค่อยออกไป


ย่าบอกว่าเหมือนรู้สึกวูบๆ ไปสักพัก แล้วก็ได้ยินเสียงร้องไห้ เรียกชื่อย่า ซึ่งย่าจะได้ว่าเสียงของทวดหญิง หรือแม่ของย่าเอง ย่าลืมตาขึ้น ตอนนี้รอบตัวย่ามืดไปหมด มองไม่เห็นอะไรเลย ได้ยินแต่เสียงเรียกเต็มไปหมด ย่าจะตะโกนตอบกลับแต่ก็ไม่มีเสียงออกมา แม้จะจะร้องไห้ ยังไม่มีเสียง ตอนนั้นย่างงมากกว่าจะกลัว ก็มึนๆไป จนหลับไปอีก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็สว่างแล้ว ย่าก็เห็นทางเดินออกไป ที่เป็นรอยทางเดียวกับที่วิ่งเข้ามาซึ่งหน้าจะเป็นทางที่ชาวบ้านเข้ามาหาเก็บเห็ด หาหน่อไม้ หรือผลไม้ป่า ย่าก็ค่อยๆเดินร้องไห้ออกไป ตามตัวมีแต่รอยยุงกัดเต็มไปหมด แล้วย่าก็เดินกลับบ้าน พอมาถึงคลองที่จะข้ามก็ข้ามไม่ได้ เพราะไม่มีควายให้ขี่หลัง พอดีมีคนในหมู่บ้านผ่านมา จึงพาย่าซ้อนจักรยานอ้อมไปจนถึงที่มีสะพานข้ามคลองซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายกิโลแล้วพาย่าไปส่งบ้าน เมื่อไปถึงบ้านทวดหญิงทวดชายต่างร้องโอดโอย เพราะความเสียขวัญ และดีใจที่เห็นย่ากลับมา


ย่าบอกว่าตอนนั้นไม่รู้อะไรหรอก รู้แต่ว่าได้กินขนมเยอะแยะ มีชาวบ้านมาหาเยอะมาก แล้วก็ให้เงินไปซื้อขนม มีคนมาผูกแขนเต็มไปหมด แถมยังไม่ต้องไปเลี้ยงควายอีกหลายวัน ย่ามาเล่าให้ฟังย้อนหลังว่ามารู้เรื่องเอาเมื่อตอนโตเป็นสาวแล้ว ว่าตอนที่ย่าวิ่งตามควายเข้าไปในป่านั้น พี่สาวย่าไม่กล้าวิ่งตามเข้าไป เพราะตอนกลางวันนั้นพี่สาวได้เห็นผู้หญิงคนนั้นมาเก็บเห็ดแต่งตัวธรรมดาเหมือนชาวบ้านหมู่บ้านอื่น แล้วยืนยิ้มแล้วกวักมือเรียกให้พี่สาวย่าไปดูเห็ดโคนข้างกอไผ่ ก็ตอนที่ย่าเห็นตอนนอนกลางวัน แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ถามพี่สาวย่าว่าจะเอาเห็ดกลับบ้านไปแกงมั้ย แต่พี่สาวปฏิเสธไป ผู้หญิงคนนั้นก็ทำหน้าโกรธตาเขียวใส่พี่สาวย่า แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปทางป่า แล้วอยู่ดีดีก็หายไปเลย พี่สาวย่าจึงวิ่งหนีออกมาแล้วร้องไห้ชวนย่ากลับ แต่ตอนนั้นพี่สาวไม่ยอมบอกย่าจึงไม่พากลับ แล้วตอนทะเลาะกัน พี่สาวก็จะกลับบ้านแล้วแต่นึกขึ้นได้ว่าข้ามคลองไม่ได้ (ย่าพูดทั้งหัวเราะว่ามันไม่ได้ห่วงย่าหรอก มันไปไมได้) แล้วย่าวิ่งตามลูกควายเข้าไปนั้น ลูกควายก็ออกมาตั้งนานแล้ว ยังไม่เห็นย่าออกมา จนจะมืด พี่สาวก็เลยรีบกลับบ้านไปบอกทวด ชาวบ้านออกมาตามหาย่าเกือบทั้งคืนก็ไม่เจอ จนต้องเรียกให้คนทรงร่างเจ้าปู่มาถาม เจ้าปู่บอกว่าเค้าเอ็นดูย่า เดี๋ยวเค้าก็คืนให้ กลับไปรอที่บ้าน ชาวบ้านที่ออกมาตามหาจึงกลับไป แล้วย่าก็กลับมาบ้านเองจริงๆ


เรื่องก็ประมาณนี้นะคะ อาจจะไม่มีอะไรมาก แต่ความเชื่อสมัยก่อน แล้วก็เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้ก็มีค่อนข้างเยอะบางที่บางหมู่บ้านหายเข้าป่าไปสามวันเจ็ดวันออกมาแล้วบอกไปอยู่บ้านหลังใหญ่สบายๆกับพ่อใหม่แม่ใหม่เลยก็มี ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ^_^


ปล.ตอนพิมพ์รีบพิมพ์ไปหน่อย กลัวจะมีงานเข้ามาอีก อาจจะมีคำผิดหรือพิมพ์วกไปวนมา เรียบเรียงไม่ค่อยดี ก็ขออภัยไว้ด้วยนะคะ
ขอขอบคุณ : https://pantip.com/topic/36458614

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ