ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

หลอนจนต้องหามาอ่านซ้ำ!! 3 อาถรรพ์สระน้ำลี้ลับในวังหลวง


 เคยเจอคนแบบนี้มะ? กลัวผีแต่ชอบหาเรื่องผีมาอ่าน ^^" เราก็เป็นหนึ่งในคนประเภทนั้นเลย ยิ่งเรื่องผีที่เล่าจากในวังนี่ชอบมากกก เพราะหาอ่านยากแต่หลอนตราตรึง ช่วงนี้ปิดเทอมพอดี...ว่างงง...เลยหยิบมาแบ่งปันเพื่อนๆ สักหน่อย "3 อาถรรพ์สระน้ำลี้ลับในวังหลวง" เป็นเรื่องที่ครูเคยเล่าให้เราฟัง จำรายละเอียดไม่ค่อยได้เลยไปหาอ่านเพิ่มมา จะน่ากลัวขนาดไหน อ่านเองละกัน 

อาถรรพ์ที่ 1 : สระพระองค์อรไทย (บริเวณท้ายวัง)     
พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญา เป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 4 กับเจ้าจอมมารดาบัว พระองค์ท่านทรงสิ้นพระชนม์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยประชวรพระโรคเรื้อรัง กล่าวกันว่าทรงเป็นโรคพระประสาท และทรงกระทำวัติธิพิฆาตกรรมพระองค์เอง (ฆ่าตัวตาย) การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ท่านนำมาซึ่งเรื่องราวของสระน้ำที่เป็นบ่อเกิดแห่งตำนานความหลอน หรือที่เรียกว่า "สระพระองค์อรไทย"

สระน้ำนี้สร้างขึ้นในสมัย ร.5 ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน ในพระบรมมหาราชวัง ลักษณะเป็นสระน้ำสี่เหลี่ยมจัตุรัส ภายในก่ออิฐฉาบปูนโดยรอบ ที่ขอบสระทำเป็นทางเดินปูด้วยกระเบื้องซีเมนต์ มีบันได้ก่ออิฐฉาบปูนลงไป สามารถตักน้ำได้ 2 ทาง ด้านทิศตะวันออกของสระ มีแท่นปูนจารึกคำอุทิศไว้ ใจความโดยสรุปกล่าวว่าพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญา ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระบรมราชานุญาตและพระราชานุเคราะห์จัดสร้างสระนี้ขึ้น เพื่อบำเพ็ญกุศลเป็นสาธารณประโยชน์ 

แต่มีหลักฐานบางแห่งให้ข้อมูลต่างออกไปว่า "สระแห่งนี้สร้างขึ้นภายหลังที่พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญาสิ้นพระชนม์แล้ว" มีข่าวโจษจันกันในหมู่ชาววังว่ามีผู้ได้ยินเสียงเปรตร้องโหยหวนในยามวิกาล และกล่าวขวัญกันต่อไปในทางที่ไม่เป็นมงคลต่างๆ โดยเหมาเอาว่าเป็นเพราะพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์นั้นเพิ่งจะสิ้นพระชนม์ลงไปไม่นาน และคงจะไปทนทุกขเวทนาอยู่เลยทำให้หวาดกลัวกันไปทั้งวังหลวง กลางค่ำกลางคืนไม่กล้าออกไปไหน แม้แต่จะไปอุโมงค์ที่ถ่ายทุกข์ยังไม่ยอมไป เพราะทางที่จะไปต้องเดินผ่านบริเวณสระน้ำนั้น

จนในที่สุดความรู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านจึงมีพระราชดำริให้แก้ไขข่าวโจษจันอันไม่เป็นมงคลนี้ ด้วยบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสังฆทาน แล้วทรงสั่งให้ขุดสระน้ำนี้ขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลส่งไปโปรดพระองค์อรไทยฯ ให้พ้นทุกข์ เมื่อวันที่สระน้ำสร้างเสร็จตามพระบรมราชโองการจึงได้มีพิธีฉลองสระนั้น โดยให้มีการลอยสลากเป็นกุศลทานลงในสระเป็นที่ครึกครื้นแก่บรรดาเจ้านายพระบรมวงศ์ฝ่ายในทั้งหลาย ตั้งแต่นั้นมาเรื่องโจษจันอันไม่เป็นมงคลก็พลันเงียบหายไป

อาถรรพ์ที่ 2 : สระวังแดง (วังลดาวัลย์) 
วังแดงหรือวังลดาวัลย์ เป็นวังซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. 2449-2451 เพื่อพระราชทานแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ (ต้นราชสกุลยุคล) เมื่อคราวใกล้จะสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เนื่องจากกำแพงวังทาสีแดงมาตั้งแต่แรกเริ่ม ราษฏรทั่วไปจึงนิยมเรียกว่า “วังแดง” 

ปัจจุบันวังลดาวัลย์ถูกบูรณะจนสวยงาม เปรียบเสมือนศูนย์รวมศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทย แต่ตำนานความหลอนของวังแดงก็ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นห้องพระที่ไม่สามารถบูรณะได้ (ไม่รู้ที่มาว่าเพราะอะไร) โรงทาสที่ยังมีแคร่โบราณและห่วงเหล็กเหลืออยู่ จนผู้คนหวาดกลัวไม่ค่อยมีใครกล้าใช้สถานที่ (ปัจจุบันทุบทิ้งแล้ว) ป้ายหินหลุมศพที่ยังคงหลงเหลือ 1 แผ่น และสระน้ำหลังอาคารวังที่ถูกปล่อยทิ้งจนเขียวขุ่นตั้งแต่อดีต เหตุเพราะกลัวผีสางจนไม่มีใครกล้าลงไปล้าง แต่บางหลักฐานบอกว่าเพราะมีกฎห้ามไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดลงไปอาบหรือทำความสกปรกในบริเวณใกล้ขอบสระนั้นต่างหาก  

อาถรรพ์ที่ 3 : สระอโนดาต (วังสวนดุสิต) 
ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระราชวังสวนดุสิต ซึ่งปลูกสร้างเสร็จใหม่ๆ สวยงามราวเมืองสวรรค์ รอบบริเวณพระราชวังอบอวลไปด้วยหมู่ไม้ดอกไม้ผลลูกเล็กลูกใหญ่ ห้อยระย้าเต็มต้น มีทั้งฝรั่ง ทับทิม มะม่วง กระท้อน ฯลฯ เมื่อผลไม้มีมากมายเช่นนี้ ก็ย่อมเป็นที่ต้องการของชาววังมือดีทั้งหลาย ทั้งๆ ที่เป็นของที่อยู่ในเขตพระราชฐาน แต่ผลไม้หลายๆ ต้น ยังถูกสอยเอาไปรับประทานเป็นจำนวนไม่น้อยและเป็นประจำจนผิดสังเกต แถมยังพบร่องรอยของฟันแทะไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย 

ครั้งนั้นเรื่องขโมยผลไม้ในวังกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาด รัชกาลที่ 5 ต้องเสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง และตรัสว่าไม่น่าจะใช่รอยฟันของกระรอก กระแต แต่น่าจะเป็นรอยฟันของคนมากัดแทะเสียมากกว่า เห็นจะต้องหาตัวหัวขโมยมาลงโทษให้ได้  คืนหนึ่งเล่ากันว่าเป็นคืนเดือนมืด ทั่วทั้งพระราชวังเงียบสงัด แต่ชาววังกลุ่มหนึ่งยังคงซุ่มล่าหัวขโมยอยู่เช่นเดิม เพียงไม่นานก็ปรากฎเสียงประหลาด พร้อมเงาดำวิ่งผ่านไปทางต้นฝรั่งซึ่งกำลังออกผลเต็มต้น ใกล้จะสุกเก็บกินได้แล้ว (ต้นฝรั่งนี้ยังเป็นต้นเดียวกับที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 เคยทอดพระเนตรพบรอยแทะทิ้งไว้ด้วย) ชาววังผู้ล่าหัวขโมยกำลังใจเต้นระทึก คาดว่าจะจับตัวได้แล้ว จึงพากันแอบมอง 

ทันใดนั้นก็เห็นเจ้าของร่างปีนขึ้นไปบนต้นฝรั่ง นั่งกัดฝรั่งเคี้ยวกินอย่างกระหายหิว พวกล่าจับหัวขโมยพากันดีใจกรูเข้าไปล้อมรอบโคนต้นฝรั่ง หวังจะดูหน้าหัวขโมยให้ชัดๆ สักที บ้างก็พากันร้องเรียกขู่ให้ขโมยลงมาจากต้นฝรั่ง แต่เจ้านั่นก็ยังไม่ยอมลงมา ร้องเรียกอยู่นานจนในที่สุดเงาดำบนต้นก็กระโดดตูมลงมา ข้าหลวงชายพากันตะครุบจับแต่ก็จับไม่ได้ เพราะตัวลื่นเป็นเมือกแถมยังว่องไวปราดเปรียว ผิดปกติมนุษย์ธรรมดา

ก่อนที่ใครจะคาดคิดเจ้าหัวขโมยรายนี้ก็กระโจนพรวดเดียวลงไปในสระอโนดาตภายในพระราชวัง แล้วจมหายไม่ขึ้นมาอีกเลย แม้แต่หน้าก็ยังไม่มีใครได้เห็น มีสิ่งเดียวที่ทุกคนสัมผัสได้คือ กลิ่นตัวที่สาปรุนแรง คล้ายกลิ่นคนตาย ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่หัวขโมยกระโดดหายลงไปในน้ำแล้ว ทุกคนจึงได้สติว่า "ผีหลอก" แล้วพากันวิ่งหนีร้องเสียงดังลั่นขวัญกระเจิง เป็นที่มาของผีพรายให้โจษจันกันทั่ววังหลวงอีกเรื่องหนึ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก
เรื่องผีในวังหลวง โดยทศพรรษ พชร
เรื่องเล่าหลอน โดยสมาชิกหมายเลข 1582350 
คลังประวัติศาสตร์ไทย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ