ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บ้านกลางบึง - คุณบอยฉีดปลวก...เมื่อวิญญาณเป็นห่วงบ้านจึงโทรเรียกช่างเข้ามาฉีดปลวก ความหลอนจึงเริ่มต้นขึ้น


เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 9 ปี สมัยที่คุณบอยยังทำงานเป็นพนักงานกำจัดปลวกของบริษัทหนึ่งอยู่
วันเป็นบ่ายที่เงียบเหงา และไม่มีงานเข้ามาเลย คุณบอยกับเพื่อนนั่งดูเอกสารกันอยุ่ในออฟฟิศก็มีสายแปลก ๆ โทรเข้ามา เรียกว่าเป็นโทรศัพท์ลึกลับ เพราะไม่ขึ้นหมายเลขปลายสาย

ก็สงสัยกันว่าทำไมหมายเลขไม่ขึ้น ก็แปลกใจกันว่าเป็นเบอร์พิเศษหรือเบอร์อะไร  แต่ก็ตัดสินใจให้เพื่อนรับสายไปก่อน เผื่อว่าจะมีเรื่องสำคัญ คุณบอยก็สังเกตว่าเพื่อนเพื่อนฟังไปก็อึ้งไป เลยถามมีอะไรเหรอ
เพื่อนก็ส่ายหัวแล้วเปิดสปี๊คเกอร์ให้ฟังด้วยกัน ก็ได้ยินเสียงลมวู่ว ๆ พัดกระโชกโกรก ๆ ออกมา เหมือนปลายสายยืนคุยโทรศัพท์หน้าพัดลม ไม่มีเสียงคนพูด มีแค่เสียงลมเท่านั้น เพื่อนคุณบอยพยายามฮัลโหล ๆ ก็ไม่มีเสียงตอบมา ก่อนที่สายจะตัดไปในที่สุด เลยคิดกันว่าน่าจะมีคนโทรมาแกล้งละมั้งแต่ผ่านไปไม่ถึงห้านาที โทรศัพท์สายนั้นก็โทรกลับมาอีกรอบ เบอร์ก็ไม่โชว์เหมือนเดิม ก็มีเสียงลมเหมือนเดิม
และเพื่อนคุณบอยก็พยายามฮัลโหล ๆ เรื่อย ๆ จนกระทั่งปลายสายมีเสียงพูดขึ้น เป็นเสียงของผู้ชายแก่ ๆ คนหนึ่งถามขึ้นมาว่า "รับกำจัดปลวกใช่มั้ย อยากให้ช่วยมาดูแลบ้านให้หน่อย" เพื่อนพอเห็นว่าเป็นลูกค้าปกติแล้ว จึงปิดสปี๊กเกอร์กลับไปยกหูคุยต่อ แล้วก็รายละเอียด จดที่อยู่ ทางไปสถานที่ พร้อมตกลงกับปลายสายว่า ช่วงนี้งานที่ออฟฟิสเราว่างพอดี เดี๋ยวจะขอไปเช็คสถานที่เพื่อดูแนวทางการทำงาน ว่าต้องทำยังไงบ้าง

กระทั่งคุยกันจบธุระเพื่อนคุณบอยก็วางหูไป แล้วมาสรุปให้คุณบอยฟังว่ามีลูกค้าเป็นคุณลุงท่านนึง อยู่ที่สระบุรี บ้านเค้าเป็นบ้านไม้ สงสัยว่าจะมีปลวกกิน เลยอยากให้ไปดูบ้านให้หน่อย คุณบอยก็โอเครับงาน และออกเดินทางกันในวันนั้นเลย  ตอนนั้นช่วงประมาณบ่ายสอง - บ่ายสาม ทั้งคู่ขับรถกันไปตามเส้นทาง ระหว่างทางคุณบอยหลับไปตลอด ไม่ได้รู้เส้นทาง จนมารู้สึกตัวอีกที ก็ตรงปากทางเข้า จ.สระบุรี  แต่ตอนนั้นเพื่อนเหมือนลงไปถามทาง  เมื่อคุณบอยตามลงมา เพื่อนก็บอกว่า หาที่อยู่ที่คุณลุงลูกค้าให้มาไม่เจอ ทางมันบอกไปทางนี้ ว่ามีป้ายบอกบ้านเลขที่ 28 อะไรซักอย่าง แต่มันไม่มีป้ายนี้บนถนน มีแค่ทุ่งหญ้าสองข้างทางยาวไปตลอดเส้นเลย จึงตัดสินใจขึ้นรถตระเวณหากันยาว ๆ ไป เพื่อตามหาบ้านคนที่พอจะถามทางว่ามีซอยนี้ หรือบ้านเลขที่นี้อยู่จริงหรือเปล่า ทั้งคู่ก็ขับหากันอยู่นานจนตกเย็น กระทั่งขับไปเจอร้านของชำเล็ก ๆ ร้านนึงลักษณะเป็นเพิงขายขายข้างทาง มีพวกของใช้ทั่วไป พวกขนมของกินกระจุกกระจิก ผงซักฟอก ยาสระผม

และมีคุณยายแก่ ๆ คนนึงเฝ้าร้านอยู่ คุณบอยกับเพื่อนเลยลงไปถามถึงที่อยู่ที่ว่า คุณยายเจ้าของร้านดูอึ้งไปแว้บ หนึ่งก่อนจะชี้และบอกว่า "เนี่ยไอ้หนุ่ม เห็นต้นไม้ต้นนั้นไม้มั้ย" คุณบอยมองตามเห็นเป็นต้นไม้ไม่สูงมาก แต่เด่นท่ามกลางทุ่งหญ้าของข้างทาง เพราะมีแค่ต้นไม้ต้นนั้นต้นเดียว นอกจากนั้นคุณยายยังบอกต่ออีกว่า "ทางเข้าอยู่ตรงนั้นแหละ แต่นี่ก็จะค่ำแล้วนะ ไปหาที่พักในเมืองก่อนมั้ยค่อยเข้าไปกันตอนกลางวัน" แต่คุณบอยบอกว่า ไม่เป็นไร คิดว่าแค่มาดูสถานที่เฉย ๆ แล้วค่อยหาที่พัก รุ่งเช้าค่อยมาเริ่มงานอีกที แล้วขอบคุณ บอกลาคุณยาย ก่อนขับรถออกมา เพื่อตรงไปยังซอยที่บอกลักษณะเป็นซอยเล็ก ๆ พอดีคันรถ แต่มันลึกมาก ๆ จากถนนใหญ่เข้ามาใช้เวลาขับร่วม 20 นาที ก็ยังไม่เจอบ้านคน สองข้างทางมีแต่ต้นหญ้าขึ้นสูงตลอดทาง คุณบอยก็เริ่มถอดใจว่าจะมันมีบ้านคนจริง ๆ เหรอ ที่อยู่มันผิดหรือเปล่าเพื่อนก็ว่า ไม่ผิดหรอกทางนี้แหละ ยายเค้าก็ชี้มานี่ ว่าทางนี้

กระทั่งเพื่อนขับรถไปเรื่อย ๆ จนถึงทางที่ไปต่อไม่ได้ เพราะไม่มีถนนแล้ว จึงจอดรถลงไปดูว่าจะทำยังไงต่อ พลางมองสำรวจว่ามาถูกทางแล้วหรือเปล่าเวลาช่วงนั้นประมาณ 5 โมงเย็น ซึ่งฟ้าก็ครึ้มจะมืดแล้ว
แล้วเพื่อนคุณบอยบังเอิญไปเจอทางเดินเท้าเล็ก ๆ เส้นหนึ่งซึ่งหญ้าขึ้นบังจนมิด จึงมั่นใจว่านี่แหละทางเข้าบ้าน แต่ไม่น่าจะมีคนสัญจรประจำ เพราะเหมือนไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว แต่คุณบอยกับเพื่อนตอนนั้นไม่ได้เอะใจอะไร จึงพากันถือเอกสารพากันแหวกหญ้าเข้าไปบนทางเดินซึ่งขนาดกว้างประมาณเมตรนึง และปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าขึ้นสูง ทั้งคู่เดินไปเรื่อย ๆ เรียงแถวเป็นเส้นตรงไป จนเดินทะลุไปเห็นพื้นที่ราบกว้าง ๆ และมีบ้านคนอยู่ข้างในนั้นจริง ๆ ลักษณะของบ้านเป็นบ้านไม้ ตัวบ้านหันข้างให้คุณบอยกับเพื่อน ประตูทางเข้าอยู่อีกด้าน ไม่สามารถมองเห็นได้จึงเดินอ้อมเพื่อจะเข้าไปในบ้าน ซึ่งเป็นบ้านไม้หลังใหญ่พอสมควร มีโต๊ะนั่งกินข้าวตั้งวางติดกับกำแพงไม้นอกตัวบ้าน และมีชิงช้าด้วย คุณบอยบอกว่า นี่น่าจะเป็นบ้านของคุณลุงคนที่ติดต่อมาทำงาน จึงพาเพื่อนเข้าไปเคาะประตู เคาะได้พักนึง ประตูกเปิดออกเอง อาจเพราะไม่ได้ล็อกมันเลยเปิดออก

เมื่อพากันเดินเข้าไปก็พบว่าสภาพข้าวของเครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างอยู่ในสภาพเก่า เหมือนไม่ได้ใช้งานมานาน มีสัตว์สารพัดอาศัยอยู่ในตัวบ้าน ตุ๊กแกนี่มีร่วมห้าหกตัว แถมมีงูเลื้อยอยู่เต็มไปหมด เงยหน้ามองเพดานฝ้าก็ไม่มีเป็นหลังคาโปร่ง ๆ ซ้ำมีนกเกาะอยู่เต็มไปหมด เห็นชัด ๆ ว่าเป็นบ้านร้างไม่น่ามีคนอยู่ได้ ไฟฟ้ามีหลอดมีสายไฟแต่ก็เปิดไม่ติดบรรยากาศเริ่มมืดแล้ว มองเห็นไม่ชัดเพื่อนจึงใช้ไฟฉายสาดเข้าไปข้างในก็เห็นเตียงนอนเก่า ๆ ผ้าปูขาด ๆ ตู้ เตียง โต๊ะ เก้าอี้ ก็เก่าคร่ำคร่าไปหมด ทั้งคู่พยายามเดินตามหาคุณลุงเจ้าของบ้านอยู่นาน ก็ไม่เจอ ไม่เหมือนสถานที่ที่มีคนอยู่ กระทั่งหาไปได้สักพัก อยู่ ๆ เพื่อนคุณบอยก็ตัวแข็งทื่อ แล้วสาดไฟฉายไปที่เพดาน (น่าจะเป็นกำแพงด้านบน) คุณบอยก็ตกใจหันไปมองตามไฟ ปรากฏมีรูปภาพของชายแก่มาก ๆ คนนึงแขวนอยู่บนนั้น ด้านล่างของรูปนั้นก็มีโต๊ะ พร้อมจานใส่ผลไม้เน่า ๆ วางอยู่ ลักษณะเหมือนของเซ่นไหว้ ทั้งคู่เห็นท่าไม่ดีไม่ชอบมาพากลแล้ว จึงตัดสินใจหันหลังกลับ รีบเดินออกมาจากตัวบ้านแล้วปิดประตูคืนให้เหมือนเดิม ตั้งใจจะกลับไปทางเดินเดิมที่พงหญ้าข้างตัวบ้านแต่พอเดินไปถึงกลับพบว่าทางที่พวกเขาเพิ่งออกมานั้นหายไปแล้ว เหมือนมีต้นไม้มาคลุมพร้อม รวมทั้งบรรยากาศที่มืดลงแสงสว่างมีน้อย จึงมองไม่เห็นทางอีก เลยพยายามฉายไฟเพื่อหาทางออกให้ได้

ระหว่างนั้นเอง เป็นจังหวะที่นกเริ่มบินออกจากใต้หลังคาบ้าน ส่งเสียงดังจ้อกแจ้กจอแจ คุณบอยเลยหันไปมองตามเสียง และเห็นว่าประตูบ้านค่อย ๆ แง้มเปิดออก พร้อมมีลุงแก่ ๆ คนหนึ่งเดินออกมาจากประตูบ้าน แต่ไม่ได้เดินมาหาคุณบอยกับเพื่อน กลับเดินไปทางอื่น คุณบอยตกใจกลัว ไม่ได้สนใจจะเข้าไปถามอะไรแล้วพยายามหาทางออก กระทั่งไปเจอทางเบี่ยงเป็นอีกทางเล็ก ๆ ที่ถ้าไม่สังเกตดี ๆ ในความมืด จะไม่มีทางเจอเลย ก็รีบเดินพุ่งเป็นเส้นตรงเรียงแถวออกไปจากตรงนั้น เพื่อไปยังทางเข้าที่เข้ามาตอนแรกและกลับไปที่รถ แต่ในจังหวะที่วิ่งมานั้น ทั้งคู่รู้สึกได้ว่ามีคนวิ่งตามมา และเพื่อนของคุณบอยก็หันไปมองข้างหลัง พร้อมร้องโวยวายว่า "บอย!! อย่าหันไปมองนะ!! อย่าหันไป!!" คุณบอยจึงก้มหน้าก้มตาวิ่งกันอุดตลุดออกมาจากพงหญ้านั้นได้จนหนีมาถึงรถ

ทว่า พอเปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถกลับพบว่ากุญแจหายไปแล้ว คุณบอยกับเพื่อนตกใจว่ากุญแจหายไปไหน แล้วไม่มีกุญแจทำไมเปิดรถได้ เราไม่ได้ล็อกรถเหรอ ก็ไม่มีใครรู้ ว่าหายไปตอนไหน เลยเดาว่ากุญแจน่าจะตกระหว่างทาง อาจจะในบ้านหรือพงหญ้าตามทางที่ออกมา ซึ่งไม่มีใครกล้ากลับไปหาแล้วตอนนี้ เมื่อทำอะไรไม่ได้เลยตัดสินใจรออยู่ในรถ แต่ระหว่างที่อยุ่ในรถนั้น ก็รู้สึกอึดอัด กดดันแปลก ๆ
เหมือนมีคนมาเดินในพงหญ้าอยู่รอบ ๆ รถ คุณบอยบอกว่าเห็นเหมือนหัวคนโผล่ ๆ วอบ ๆ แวบ ๆ
พ้นแนวหญ้าขึ้นมาซึ่งแน่ใจว่าเป็นลุงคนนั้น คนที่เห็นว่าเดินออกมาจากบ้าน มาเดินอยู่ในพงหญ้ารอบ ๆ รถ เมื่อทนไม่ไหว ทั้งคู่จึงตัดสินใจเปิดประตูรถแล้ววิ่งออกมาจากซอยนั้น จนไปถึงถนนใหญ่
แล้ววิ่งตรงไปที่ร้านขายของชำของคุณยายเพื่อขอความช่วยเหลือ เพราะแกเป็นคนพื้นที่ อย่างน้อย ๆ ก็ให้ที่พำนักได้ แต่ก็ต้องช็อคอีกรอบเมื่อพบว่า  เพิงนั้นกลายเป็นเพิงร้าง ๆ ที่เหมือนถูกทิ้งร้างมานาน
แตกต่างจากสภาพที่เห็นตอนแรกมาก หลังคาก็พังไปครึ่งนึง กำแพงและข้าวของที่วางขายต่าง ๆ หายไปหมด รวมถึงตัวคุณยายด้วย

ทั้งคู่ยืนช็อกอึ้งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ จนได้ยินเสียงบีบแตรดังมาไกลๆ พอได้สติก็เห็นว่าเป็นรถสองแถวคันนึง จึงรีบวิ่งเข้าไปหา ขอความช่วยเหลือร้องขอให้เขาเข้าไปส่งไปในเมือง โดยคนขับก็บอกว่า "เออๆ รีบ ๆ ขึ้นมาเลยเร็ว ๆ"ก่อนจะขับพาออกมาจากตรงนั้นด้วยท่าทีตื่นตระหนกไม่แพ้กัน รถสองแถวพาทั้งคู่ออกมาส่งหน้าเซเว่นในตัวเมืองพร้อมกับถามว่า ไปทำอะไรกันตรงนั้น คุณบอยบอกเล่าไม่ถูก พี่สองแถวก็บอกเขาเข้าใจ แถวนั้นไม่มีใครเข้าไปหรอก คนเค้าเจอกันทุกรายเลย คุณบอยไม่รู้จะทำยังไงต่อเพราะเหมือนเสียสติไปแล้ว พี่สองแถวจึงบอกว่า น้องไปหาที่พักกันก่อนนะ แล้วพี่จะให้เบอร์โทรไว้ รุ่งเช้าค่อยว่ากันอีกทีมีอะไรจะให้ไปส่งไหนก็โทรมาแล้วกัน แต่คืนนั้นคุณบอยนอนไม่หลับ กังวลไปสารพัดกับสิ่งที่เจอว่าคืออะไรกันแน่ ถ้าเป็นผี ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ใช่ เป็นแก๊งมิจฉาชีพที่มาหลอกเค้าเป็นกระบวนการ
ก็พะวงถึงรถที่ไม่ได้ล็อกและเอกสารของสำคัญต่าง ๆ ในรถ คุณบอยกับเพื่อนรอจนรุ่งเช้าก็โทรหาพี่สองแถวคนเดิม ให้ช่วยไปส่งที่เดิมหน่อย ระหว่างที่ออกมาจากโรงแรม เพื่อนคุณบอยเหมือนนึกขึ้นได้ จึงขอให้สองแถวช่วยแวะตลาด เพื่อซื้อพวงมาลัยธูปเทียนผลไม้มา แล้วบอกสองแถวช่วยไปจอดที่เพิงนั้นหน่อย

สองแถวก็บอกไปจอดอะไรตรงนั้น จอดไกล ๆ ก็ได้ เพื่อนก็รบเร้าขอให้จอดตรงนั้นเถอะ ผมขอล่ะ
พี่สองแถวเลยถามว่า "อย่าบอกนะว่าน้องเจอยายมาแล้ว" เพื่อนบอก ใช่ พี่รู้ได้ไง สองแถวไม่ตอบ บอกว่าจะทำอะไรทำไปเลย เสร็จจบหมดทุกอย่างเดี๋ยวพี่เล่าทีเดียว ก็ลงไปจัดแจงจุดธูปไหว้ของตรงเพิงนั้น พร้อมคิดในใจว่า ไม่ว่ายายจะเป็นอะไรเป็นใคร ผมขอขอบคุณที่ช่วยเหลือพวกผมเมื่อวาน แล้วก็ปักธูปเป็นเชิงไหว้เจ้าที่เจ้าทาง คนขับรถก็พาขับเข้าไปในซอยนั้นไปถึงที่รถของคุณบอยจอดอยู่ที่เดิม ประตูก็เปิดค้าง คุณบอยเลยวิ่งเข้าไปเช็คข้าวของ ปรากฏว่าของทุกอย่างอยู่ครบ ไม่มีอะไรหายไปเลย
จึงโล่งใจ สองแถวก็บอกแหงล่ะ แถวนี้มีใครกล้าเข้ามาที่ไหนล่ะ คุณบอยกับเพื่อนจึงขอร้องให้พี่สองแถวช่วยไปตามหากุญแจด้วยกันหน่อยเผื่อว่าจะตกตามทางหรือในบ้าน เค้าก็ตกใจว่า โห นี่พวกน้องใจกล้าขนาดเข้าไปในตัวบ้านเลยเหรอ จะเข้าไปจริง ๆ เหรอ คุณบอยก็ยืนยันจะเข้าไป พี่เค้าก็ใจดี บอกจะเข้าไปเป็นเพื่อน

แต่กำชับว่า มองทางดี ๆ เดินตรงไปทางนี้ แล้วเดินให้ตรงอย่างเดียว อย่าเดินเฉออกจากทาง แล้วก้มมองพื้นดี ๆ เผื่อว่าเจอตกอยู่จะได้ไม่ต้องไปถึงตัวบ้าน เจอแล้วจะได้ออกมาเลย แต่จนแล้วจนรอดเดินสุดทางจนถึงตัวบ้านก็ไม่เจอกุญแจนั้น สุดท้ายก็เลยต้องแหวกหญ้าเข้าไปในตัวบ้านเพื่อหากุญแจรถ ก็พากันเดินเข้าไปสามคนด้วยความหวาดหวั่น บ้านในตอนนี้ยิ่งดูเก่ากว่าวันแรกที่เข้ามา ก็เข้าไปพยายามหากุญแจ เปิดประตูเข้าไป ปรากฏสัตว์ต่าง ๆ ที่เจอเมื่อวานหายไปหมดเลย สุดท้าคุณบอยกับเพื่อนก็พบว่า กุญแจรถวางอยู่บนโต๊ะใต้รูปที่วางผลไม้นั้น ทุกคนก็แปลกใจว่ามาอยู่ตรงนี้ได้ไง พอพี่สองแถวเข้าไปเงยหน้าเจอรูปคุณลุงเจ้าของบ้าน ก็รีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพย บอกว่าไม่ได้ตั้งใจเข้ามา อย่ามาหาผมเลยนะ แล้วก็หนีออกไปรอนอกบ้านด้วยความกลัว เพื่อนก็ถามบอยหยิบมาวางหรือเปล่า คุณบอยก็บอก บ้า ใครจะล้วงกุญแจมาวางบนโต๊ะ ก็สำรวจดูไปดูมา พบวันเกิดวันมรณะบนรูปลุง และพบว่าเป็นลุงคนเดียวกันที่เดินออกจากประตู และเดินวนรอบรถในพงหญ้า ก่อนจะคิดได้ว่า ที่คุณลุงอุตส่าห์โทรหาเราติดต่อเรามาแล้วมาให้เห็นขนาดนี้ พยายามตามติดขนาดนี้ แปลว่าอาจจะมีห่วง หรือต้องการให้เราช่วยเหลืออะไร ยังไงเดินดูบ้านให้แกหน่อยมั้ย ก็ตัดสินใจเดินสำรวจรอบ ๆ บริเวณบ้าน ก็พบว่าที่มุมเสาด้านหนึ่ง มีปลวกขึ้นจริงๆ กำลังก่อดินขึ้นมาใหม่ ๆ เลย จึงตัดสินใจช่วยกันฉีดย่ำฆ่าปลวกและฉีดป้องกันให้รอบ ๆ บ้าน ไล่สำรวจฉีดทั้งนอกบ้านในบ้านจนครบ

กระทั่งไปเจอโทรศัพท์เครื่องหนึ่งตกอยู่ใต้เตียง ในสภาพที่เก่ามาก ก็เลยแน่ใจว่าใช่แล้วล่ะ แกคงห่วงว่าบ้านจะปลวกขึ้นก็เลยโทรหาเรา เพื่อนคุณบอยจึงกลับไปไหว้คุณลุงที่ภาพ เอาธูปมาจุดเอาของมาไหว้ แล้วบอกว่า คุณลุงไม่ต้องห่วงละนะ ผมทำตามให้ที่ต้องการแล้ว ดูแลบ้านให้แล้วเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก ยังไงก็ขอให้คุณลุงช่วยคุ้มครองอวยพรให้กิจการพวกผมรุ่งเรื่องนะ จากนั้นก็พากันออกมา โดยมีพี่คนขับสองแถวรออยู่ แล้วพากันออกมา ด้วยความที่ไม่ใช่คนในพื้นที่ ไม่รู้ว่าทางออกอยู่ตรงไหน แต่พี่สองแถวเค้ารู้ เค้าย้ำว่าให้เดินตรง ๆ ห้ามเดินเฉ จนถึงปลายทาง ก็ถามว่ามันคืออะไรกันแน่ ทำไมต้องเดินตรง ๆ เค้าก็ไปหยิบไม้ยาว ๆ มาอันนึง แล้วแหวกหญ้าออก ปรากฏว่าที่ตรงนั้นเป็นบึงทั้งหมด และลึกมากขนาดที่มิดด้ามไม้ยาว ๆ นั้นเลย ซึ่งบ้านหลังนั้น ปลูกอยู่กลางบึงนี้พอดี โดยอยู่ในพื้นที่กลม ๆ กลางบึง แล้วยังเล่าอีกว่า คุณลุงเจ้าของบ้าน ตกลงไปในบึงเสียชีวิตในบึงของตัวเองนี่แหละ และที่สำคัญ คุณลุง อยุ่กันสองคนกับภรรยา ซึ่งก็คือคุณยาย ที่ขายของอยู่ที่เพิ่งนั้นแหละ!! แต่หลังจากคุณลุงเสีย คุณยายก็ตรอมใจตายอยุ่ในเพิงขายของนั้นเอง ซึ่งคนในพื้นที่ถ้าโชคดี ก็จะได้เจอคุณยายขายของให้ โดยคนในพื้นที่จะไม่มีใครกล้าจอด และเร่งเครื่องผ่านไปจากจุดนี้เสมอ

และที่บีบแตร ก็เหมือนเป็นธรรมเนียมที่รถมักจะบีบแตรให้สถานที่ที่มีวิญญาณ หรือเจ้าที่ตามถนนหนทางนั่นเอง ส่วนตอนที่เพื่อนคุณบอยบอกว่าห้ามหันไปตอนหนีออกมานั้น เพื่อนบอกว่าเห็นคุณลุงลอยตาหลังมา หน้าตาน่ากลัว ตาเบิกโพลง  ลอยมาในความเร็วเท่ากับที่พวกคุณบอยวิ่งมาเลย ซึ่งถ้าคุณบอยหันไปเจออาจจะตกใจตกบึงตายไปแล้วก็ได้ แต่หลังจากนั้นเพื่อนก็เอาเลขชาตะมรณะที่รูปของลุงไปซื้อหวย แล้วก็ถูกเป็นแสนเลย เหมือนกับเป็นการจ่ายค่าบริการด้วยวิธีนี้นั่นเอง และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คืนบวงสรวง มหาวิทยาลัยพะเยา

เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาในหลายเรื่อง หลายวาระ แต่ละปีก็จะมีเหตุการณ์ที่แตกต่างกันออกไปบ้าง เสริมจากเรื่องที่เคยได้ยินมาบ้าง เรื่องที่เพื่อนๆ จะได้อ่านกันต่อไปนี้ ต้องขอบอกก่อนว่า “เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม” เราได้รวบรวมมา จากหลายๆ ที่ จะหลอนขนาดไหน ไปสั่นประสาทกันเลย เรื่องมีอยู่ว่า ที่มอเราจะมี 1 คืนที่ต้องเก็บของสีแดงทุกชิ้นเก็บไว้ให้มิดชิด เพราะเชื่อกันว่า คืนนั้นจะเป็นคืนที่กองทัพของพระนเรศวรออกมาเดินผ่านบริเวณหอใน รุ่นพี่ก็เล่าๆ สู่กันฟังบ้างว่าเคยเจอ บ้างก็ว่าเห็นเป็นกองทัพ บ้างก็ว่าได้ยินแต่เสียงคนเดินหลายๆ คนพอออกมาดูก็ไม่เจออะไร จริงๆแล้วเราไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้ เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องเล่าหลอกให้เด็กปี 1 กลัว แต่เมทเราบอกว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เราเลยจำเป็นต้องเก็บเสื้อผ้า เปลี่ยนผ้าปูที่นอน (เพราะเป็นสีแดง) และเก็บกล่องห่อข้าวของเราที่เป็นสีแดงมาจากหลังห้อง พอตะวันตกดินความน่ากลัวมันก็เริ่มขึ้น ปกติแล้วที่หอในจะคึกคักมาก โดยเฉพาะหน้ามินิมาร์ทและลานดาว ที่มักจะมีคู่รักมานั่งคุยกัน มีเพื่อนๆ พี่ๆ ที่มานั่งเล่น หรือคนที่ออกมาซื้อข้าวของเครื่อ...

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ...

โรงหนังผีย่านสมุทรปราการ

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงภาพยนต์แห่งนึงในจังหวัดสมุทรปราการ และเหตุการณ์นี้พึงจะเกิดขึ้นกับคุณโอ๋แบบสดๆร้อนๆ โรงหนังแห่งนี้ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสี่ถึงห้าปีที่แล้ว คนจะเยอะมาก แต่ปัจจุบันโรงหนังแห่งนี้ดูเล็กลงไปเยอะ ถ้าเทียบกับที่อื่นๆในปัจจุบัน จนตอนกลางวันแทบนับคนได้เลย แต่ด้วยความที่คุณโอ๋เป็นคนไม่ค่อยได้ดูหนังอยู่แล้ว พอดีคุณโอ๋ไปบ้านเพื่อน แล้วอยากดูหนังเรื่องนี้อยู่พอดี เพราะเพื่อนเล่าให้ฟัง คุณโอ๋จึงได้เข้าไปซื้อตั๋ว และตั้งใจว่าจะดูก่อนรอบสุดท้าย แต่มันเลยเวลามาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว เลยได้ซื้อตั๋วดูรอบสุดท้ายแทน ประมาณสี่ทุ่ม...คนน้อยมาก คุณโอ๋เลือกนั่งแถวหลังสุด ที่นั่งห้าเอ ก่อนหนังฉายคุณโอ๋ได้เดินเข้าห้องน้ำก่อน ห้องน้ำเก่าและน่ากลัวมาก ใหญ่พอสมควรแต่ไม่มีคนเลย คุณโอ๋เลือกเข้าห้องตรงกลาง พอคุณโอ๋เสร็จกิจและเปิดประตูออกมา พอจะหวังที่กำลังเปิดประตู คุณโอ๋ได้ยินเสียงกดชักโครกของห้องข้างๆ ซึ่งตอนที่คุณโอ๋เดินเข้ามา ทุกห้องจะเปิดประตูหมดและไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลย คุณโอ๋พยายามไม่ใส่ใจ และเดินออกไปซื้อขนม และกลับเข้ามานั่งที่นั่ง มีคนดูน้อยมาก แถวที่คุณโอ๋นั่งจะไม่มีคนนั่งเ...