ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ผีช่วยจับขโมยในพระราชวังดุสิต


ยังมีเรื่อง “ผี” อยู่เรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นภายในรั้ววังสมัยรัชกาลที่ 5 ครั้งที่พระองค์ท่านย้ายวังมาประทับที่พระราชวังดุสิต ในรัชสมัยของพระองค์ท่านพระราชวังวสวนดุสิต ปลูกสร้างเสร็จใหม่ๆว่ากันว่าสวยงามราวเมืองสวรรค์

ภายในรอบบริเวณพระราชวังอบอวลไปด้วยหมู่ไม้ดอก ไม้ผล ร่มครึ้ม ทั่วบริเวณวัง ผลหมากรากไม้ในพระราชวังแห่งนี้ ออกดอก ออกผลลูกเล็กลูกใหญ่ ห้อยระย้าเต็มต้น มีทั้งฝรั่ง ทับทิม มะม่วง กระท้อน ฯลฯ เมื่อผลไม้มีมากมายเช่นนี้ก็ย่อมเป็นที่ต้องการของชาววังมือดีทั้งหลาย ทั้งๆที่เป็นของที่อยู่ในเขตพระราชฐาน ผลไม้หลายๆต้นยังถูกสอยเอาไปรับประทานเป็นจำนวนไม่น้อยและเป็นประจำจนผิด สังเกต แถมผลไม้หลายๆลูกยังพบร่องรอยของฟันแทะไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย

ครั้งนั้น เรื่องขโมยผลไม้ในวังกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดรัชกาลที่ 5 ต้องเสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองและตรัสว่าไม่น่าจะใช่รอยฟันของกระรอก กระแต น่าจะเป็นรอยฟันของคนมากัดแทะเสียมากกว่า เห็นจะต้องหาตัวหัวขโมยมาลงโทษให้ได้ จึงมีการตั้งรางวัลในการจับขโมยเป็นเงินถึง 2 ตำลึงในสมัยนั้น จึงกลายเป็นว่าตกกลางคืน บรรดาข้าหลวงนางกำนัลและมหาดเล็กก็ไม่ต้องหลับต้องนอนกัน เพราะต้องคอยมาดักซุ่มจับขโมยหวังเงินรางวัล และการมาซุ่มจับก็จะมาอยู่กันเป็นกลุ่มๆ หลายคืนผ่านไปก็ยังไม่มีใครท้อ เพราะต่างก็อยากจะรู้ว่าใครกันคือหัวขโมยใจกล้าผู้นั้น

แต่ในยามดึกๆเช่นนั้นทั่วทั้งวัง ก็เงียบเย็น และวังเวง ทำให้พวกที่มาดักจับขโมยรู้สึกหวาดๆ อยู่เหมือนกันเพราะที่วังแห่งนี้ร่ำลือกันมานานแล้วว่ามักจะมีผีเด็กไว้ผม จุกออกมาวิ่งเล่นตอนดึกอยู่บ่อยๆ ใครดวงดีก็จะได้เห็น! การดักจับขโมยยังคงดำเนินอยู่ ทุกคืน บางคืนก็เจอเรื่องให้ขำเมื่อต่างฝ่ายต่างมีหลายกลุ่ม หลายตำหนัก ลงมาซุ่มจับขโมยแล้วมีการสงสัยจับกันเองระหว่างพวกที่มาซุ่มจับ จนเกิดอลเวงไปทั้งวัง เพราะที่แท้แล้วไม่ใช่กลายเป็นพวกเดียวกัน และขนาดช่วยกันดักจับอยู่ทุกคืน ยังน่าประหลาดที่ผลไม้ก็ยังหายอยู่เช่นเดิม แถมบางลูกห่อกระดาษไว้อย่างดีก็ยังถูกเด็ดไปจนได้

กระทั่งคืนหนึ่ง เล่ากันว่าเป็นคืนเดือนมืด ทั่วทั้งพระราชวังเงียบสงัด แต่พวกชาววังก็ยังซุ่มล่าหัวขโมยอยู่เช่นเดิม ชาววังกลุ่มหนึ่งมาแอบซุ่มอยู่ใกล้ต้นฝรั่งซึ่งกำลังออกผลเต็มต้น ใกล้จะสุกเก็บกินได้แล้ว และต้นนี้เองเป็นต้นเดียวกับที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 เคยทอดพระเนตรพบรอยแทะทิ้งไว้ คืนนั้นพอดึกสงัดก็ปรากฏมีเสียง ประหลาด พร้อมมีเงาดำๆวิ่งผ่านไปทางต้นฝรั่ง ทำให้ชาววังผู้ล่าหัวขโมยใจเต้นระทึก คาดว่าจะต้องเป็นหัวขโมยที่หวังจะจับแน่แล้ว จึงพากันแอบซุ่มมอง ทันใดก็เห็นเจ้าของร่างนั้นปีนขึ้นไปบนต้นฝรั่งนั่งกัดฝรั่งเคี้ยวกิน อย่างกระหายหิว พวกล่าจับหัวขโมยพากันดีใจกรูเข้าไปล้อมรอบโคนต้นฝรั่ง หวังจะดูหน้าหัวขโมยให้ชัดๆซะที ต่างจึงพากันร้องเรียกขู่ให้หัวขโมยลงมาจากต้นฝรั่ง เจ้านั่นก็ยังไม่ยอมลงมา ร้องเรียกอยู่นานจนในที่สุดเงาดำบนต้นก็กระโดดตูมลงมา ข้าหลวงชายพากันตะครุบจับแต่ก็จับไม่ได้เพราะตัวลื่นเป็นเมือกแถมยังว่องไว ปราดเปรียว ผิดปกติมนุษย์ธรรมดา

ฉับพลันทันใดก่อนที่ใครจะคาดคิด เจ้าหัวขโมยรายนี้ก็กระโจนพรวดเดียวลงไปใน สระอโนดาตภายในพระราชวัง แล้วจมหายไม่ขึ้นมาอีกเลย งานนี้ทุกคนเลยชวดเงินรางวัล เพราะไม่มีใครสามารถจับขโมยที่ไวดุจปรอทคนนี้ได้เลย นอกจากจะจับไม่ได้แล้ว แม้แต่หน้าก็ยังไม่มีใครได้เห็น มีสิ่งเดียวที่ทุกคนสัมผัสได้คือ กลิ่นตัวที่สาปรุนแรง คล้ายกลิ่นคนตาย ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่หัวขโมยโดดหายลงไปในน้ำแล้ว ทุกคนจึงได้สติว่า ถูก “ผีหลอก” แล้วพากันวิ่งหนีร้องเสียงดังลั่นขวัญกระเจิง
ขอขอบคุณ บันทึก อาถรรพ์ สยองขวัญ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ