ท่านผู้อ่านที่รัก ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเคยดูภาพยนตร์ที่โรงหนังในห้างสรรพสินค้ากันมาบ้าง แต่จะมีสักกี่คนที่เคยดูหนังรอบสุดท้าย ที่เรียกว่า ‘หนังรอบดึก’ ซึ่งความพิเศษของหนังรอบดึกนั้น ก็คือเวลาก่อนที่หนังจะฉาย คนจะยังมีเยอะอยู่เพราะห้างยังไม่ปิด
แต่พอหนังจบ มักจะเลยเวลาที่ห้างปิดไปแล้ว ลูกค้าก็จะเหลือก็แต่พวกที่มาดูหนัง กับคุณยามที่คอยอำนวยความสะดวกเท่านั้นเองครับ และก่อนที่ท่านจะได้อ่านเรื่องนี้ ผมขอเตือนไว้ก่อนนะครับ ว่าท่านที่มีรสนิยมดูภาพยนตร์ในรอบสุดท้าย หรือท่านที่ไม่ชอบเรื่องสยองชวนแหวะแล้วล่ะก็ ผมขอให้ท่านข้ามๆ เรื่องนี้ไปเสียเถิด เว้นแต่ว่าหากท่านสามารถทำใจได้ก็เชิญอ่านได้เลยครับ เรื่องเล่าเขย่าขวัญในตอนนี้ ผมได้รับฟังมาจากเพื่อนเก่าต่างคณะที่มีโอกาสได้นั่งกินข้าวด้วยกันในเย็นวันหนึ่ง นั่นคือนายกิตติแห่งคณะเกษตรศาสตร์ ผู้เป็นรูมเมทสมัยปี 1 ของผมนั่นเองครับ โดยคนที่ประสบเหตุไม่ใช่นายกิตติของเราหรอกครับ แต่เป็นเพื่อนคณะเดียวกันของนายกิตติอีกทีชื่อว่า บี ครับ
สมัยก่อนประมาณปี 2538 โรงภาพยนตร์ของเชียงใหม่ ยังไม่เจริญเหมือนในปัจจุบัน ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่าราคาค่าตั๋วในสมัยก่อนนั้นราคาเท่าไร จะบอกว่าแถวหน้า 30 บาท ตรงกลาง 40 บาทและถ้าที่นั่งดีหน่อยก็จะราคา 50 บาทครับ เทียบกับสมัยนี้ไม่ได้เลย แต่อย่างไรก็ตาม คุณภาพโรงภาพยนตร์ในเวลานั้น ก็คงสู้โรงภาพยนตร์ในปัจจุบันไม่ได้แน่ ที่นั่งก็เก่าๆ บรรยากาศอับๆ คนดูไม่เยอะเหมือนสมัยนี้ คือต้องเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จริงๆ ถึงจะเรียกคนเต็มโรงได้ (ผมได้ดูจูราสสิคปาร์คภาคหนึ่งที่เชียงใหม่ รอบนั้นต้องใช้ที่นั่งเสริม ซึ่งจะใช้เก้าอี้พับที่มีเบาะสีแดงๆ) แต่ถ้าเป็นหนังธรรมดาๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ใกล้จะลาโรง คนดูก็จะน้อยและกระจุกตัวอยู่แค่ตรงกลางๆ
นายบีพระเอกของเราก็เป็นผู้หนึ่งที่ชอบดูภาพยนตร์เป็นชีวิตจิตใจ คืนนี้ก็เช่นกัน หลังจากเสร็จภาระกิจส่วนตัว ชายหนุ่มก็รีบบึ่งรถจักรยานยนต์คู่ชีพเพื่อไปดูหนังที่ตั้งใจไว้ ใช่ครับ! เหตุที่นายบีไปเพียงลำพังก็เพราะคนอื่นๆ ในคณะล้วนแต่ไปดูมากันหมดแทบทุกคนแล้ว เหลือแค่พ่อหนุ่มของเราที่ยังไม่ได้ไปดู และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะยังฉายอยู่ “รอบเย็นไม่มีค่ะ มีแต่รอบดึกตอนสี่ทุ่มครึ่ง” พนักงานสาวชี้แจงแก่บี โดยเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวใกล้จะออกจากโรง คนดูจึงลดน้อยลงมาก ทางโรงหนังจึงต้องลดจำนวนรอบลง โดยฉายสลับกับภาพยนตร์เรื่องอื่นแทน ทั้งหมดเป็นคำอธิบายของพนักงานสาวที่ขายตั๋วอยู่หน้าโรงภาพยนตร์ ‘เอาไงดี ถ้าดูรอบดึก กว่าหนังจะเลิกก็ร่วมๆ ตีหนึ่ง’...เป็นความคิดของนายบี ที่ใจหนึ่งก็อยากดู แต่ทว่าอีกใจหนึ่ง ก็ไม่อยากกลับดึก
แต่สุดท้ายพระเอกของเราก็ตัดสินใจที่จะเลือกชมภาพยนตร์ ‘รอบดึก’
สี่ทุ่มครึ่ง นายบีนั่งประจำเก้าอี้ในโรงหนังตามเวลา เขาพบว่าคนดูมีจำนวนน้อยมากจริงๆ คือทั่วทั้งโรงมีอยู่แค่ 7 – 8 คนเท่านั้น ดังนั้นชายหนุ่มจึงสามารถเลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ ซึ่งเด็กตรวจตั๋วก็ไม่ได้ว่าอะไร พระเอกหนุ่มของเราเลือกนั่งแถวบี แถวเดียวกับชื่อของเขา ถัดลงไปเยื้องไปทางขวาประมาณแถวดี มีหนุ่มสาวท่าทางเป็นแฟนกันมานั่งอีกคู่ ส่วนคนดูคนอื่นๆ ก็นั่งกระจายกันไป ส่วนเด็กตรวจตั๋วเข้ามานั่งหลับรอเวลาหนังฉายจบที่แถวเดียวกันกับเขา แต่ห่างไกลออกไปทางริมซ้ายสุด
ไฟในโรงดับลง และนั่นเป็นสัญญาณของการเริ่มฉายภาพยนตร์ ภาพยนตร์ฝรั่งที่มีเรื่องราวบู๊ดุเดือดดำเนินมาได้สักพัก หนุ่มบีก็รู้สึกว่ามีใครอีกคนเข้ามาในโรงหนัง ซึ่งพอเขาหันไปมอง ก็เห็นใครคนหนึ่งสวมชุดคล้ายๆ ชุดกันฝนสีดำมีฮู้ดคลุมศีรษะกำลังเดินเข้ามา บีเหลือบตามองเด็กตรวจตั๋วก็เห็นหลับไม่รู้เรื่อง ชายหนุ่มคิดว่าจะเข้าไปปลุกเด็กตรวจตั๋ว...แต่ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องของเรานี่นา คิดได้ดังนั้นจึงหันกลับไปดูภาพยนตร์ต่อ ทว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้นายบีหันกลับไปดูคนในชุดดำอีกครั้ง เขาพบว่าคนชุดดำไปนั่งอยู่ตรงแถวซี ตำแหน่งนั่งบริเวณด้านหลังของชายหญิงที่ป็นแฟนกันคู่นั้น
โดยนั่งในลักษณะยื่นหน้าไปจนชิดศีรษะของหญิงชายทั้งสอง! ฮู้ดที่คลุมศีรษะก็ไม่ถอดออก ?
นายบีถึงกับงง แล้วทำไมหนุ่มสาวสองคนนั้น ถึงไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนมานั่งจ่อหน้าอยู่ข้างหลัง เอ...หรือว่าสามคนนี้จะรู้จักกัน เออ! เป็นไปได้แฮะ คิดได้ดังนั้น เขาจึงเลิกสนใจคนทั้งสาม นอกจากบางครั้งที่บังเอิญเหลือบหันไปมอง ทุกครั้งก็จะเห็นคนในชุดดำนั่งอยู่ท่าเดิม ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ทั้งที่ภาพยนตร์ออกจะสนุก…แปลกคนพิลึก!? เที่ยงคืนครึ่งแล้ว ภาพยนตร์จบลงพร้อมกับไฟในโรงที่เปิดให้ความสว่าง นายบีลุกขึ้นพร้อมๆ กับทุกคนในโรง ทั้งหมดเดินไปยังประตูทางออก ถึงตอนนี้ทุกคนที่มาดูหนัง แม้จะไม่รู้จักกันแต่ก็เหมือนจะสามัคคีกลมเกลียวกันดี เนื่องจากทุกคนรู้ดีว่า เวลานี้ทั้งดึก มืด...และข้างนอกก็เปลี่ยวมากด้วย
หนุ่มพระเอกของเราเดินลงบันไดพร้อมๆ กับกลุ่มคนที่มาดูภาพยนตร์ ถึงตรงนี้ค่อยยังชั่วขึ้นมาบ้างเพราะมีคนที่เลิกจากโรงอื่นมาผสม รวมๆ แล้วสักยี่สิบ สามสิบคนเห็นจะได้ ระหว่างทางเดินเพื่อไปยังที่จอดรถ สายตาชายหนุ่มเหลือบไปเห็นร่างในชุดดำอีกครั้ง คนลึกลับยังคงเดินตามหนุ่มสาวคู่นั้นอยู่ นายบีรู้สึกสังหรณ์ใจจึงเร่งฝีเท้าเพื่อเข้าใกล้ และเขาจึงได้เห็นสิ่งผิดปกติบางอย่าง คนลึกลับในชุดสีดำถืออะไรบางอย่างในมือ...บางอย่างที่สะท้อนแสงวาววับ! มันคือมีดปลายแหลมเล่มยาว!? เห็นท่าทางไม่ค่อยดี หนุ่มพลเมืองดีจึงรีบวิ่งไปหาคุณยามที่ยืนให้บริการอยู่แถวนั้น
“พี่ พี่ครับ ผมเห็นคนท่าทางแปลกๆ”
“ไหนน้อง คนไหน ?” พี่ยามถามพลางชะเง้อคอเพื่อมองหาสิ่งผิดปกติ
“คนนั้นครับพี่ คนที่สวมชุดสีดำ”
“ไหนล่ะ ไม่เห็นมีเลย ?” ยามถามต่องงๆ สายตายังคงกวาดไปทั่วบริเวณ
“โธ่! พี่…ก็คนชุดดำที่เดินตามหลังผู้ชายเสื้อสีขาวกับผู้หญิงผมยาวใส่เสื้อสีแดงนั่นไง” พระเอกของเรารีบบอกยามพลางชี้มือประกอบคำพูด
“เออ! ผู้ชายกับผู้หญิงคู่นั้นน่ะ พี่เห็นแล้ว แล้วไหนล่ะผู้ชายชุดดำอะไรนั่น อยู่ไหนกันล่ะ ?” คราวนี้ยามหันหน้ามามองพลเมืองดีบ้าง
นายบีถึงกับอึ้ง อ้าว!? นี่เรามองเห็นคนเดียวรึนี่ ? หันกลับไปมองอีกครั้ง คนชุดดำยังคงเดินตามติดสองหนุ่มสาวเช่นเดิม ในมือยังคงกำมีดปลายแหลม ที่สำคัญหนุ่มสาวคู่นั้น ดูเหมือนพวกเขาไม่รู้ตัว!? หนุ่มบีถึงกับขนลุกซู่ รีบเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์เพื่อเตรียมกลับหอทันที และระหว่างที่ตั้งสติอยู่นั้น
เอี๊ยด! โครม!
เสียงรถชนอะไรสักอย่าง!?
นายบีพร้อมกับยาม รวมถึงคนที่อยู่แถวนั้นรีบวิ่งออกไปดูยังต้นเสียง
ร่างของหนุ่มสาวคู่นั้นถูกรถยนต์ที่ขับมาด้วยความเร็วสูงชนอย่างจัง! ทั้งคู่ตายคาที่ในทันที!!
และนอกจากร่างของสองหนุ่มสาวแล้ว บียังเหลือบไปเห็นใครสักคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ร่างไร้วิญญาณโชกเลือด ใครคนนั้นยืนอยู่เกือบจะชิดศพทั้งสอง...ร่างนั้นสวมชุดและใส่ฮู้ดสีดำ ใช่แล้วครับ! มันเป็นคนเดียวกันกับที่เดินตามสองหนุ่มสาวมาตั้งแต่ในโรงหนัง เวลานี้เองที่บีสามารถมองเห็นใบหน้าภายใต้ฮู้ดสีดำนั้น มันเป็นใบหน้าที่ยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม ประกายตาวาวโรจน์! และดูเหมือนนอกจากนายบีแล้ว จะไม่มีใครเห็นคนในชุดดำเลยสักคน คนชุดดำค่อยๆ ก้มลงไปยังศพคนทั้งสอง ก่อนที่จะใช้มีดปลายแหลมกระหน่ำจ้วงแทงร่างสองหนุ่มสาวที่ไร้วิญญาณ!
“เหวอ! กิตตินี่มันเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งกันวะ” ผมโวยวายทันที ก็นี่เรานั่งคุยกันในวงข้าวนะครับ
“นั่นสิ เราก็ไม่รู้ว่าเจ้าบีมันแต่งเรื่องหลอกรึเปล่า” กิตติในฐานะผู้เล่าตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
“อ้าว! แล้วเพื่อนนายที่ชื่อบีอยู่ไหนล่ะ เผื่อเราจะขอสัมภาษณ์ซะหน่อย” ผมถามเผื่อจะได้เก็บข้อมูลเรื่องผีเพื่อมาเรียบเรียงรับใช้ท่านผู้อ่าน
“เอ…แต่ไม่รู้นายจะเจอได้รึเปล่านะ แต่นายเป็นนักศึกษาแพทย์นี่ เขาอาจให้เข้าเยี่ยมก็ได้” คำตอบของกิตติทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก
“ทำไมเรอะ เพื่อนนายไม่สบายหรือไง อยู่ตึกไหนล่ะ เดี๋ยวเราจะได้แวะไปเยี่ยม”
“ใช่ ไม่สบายเอาเสียมากๆ เลยล่ะ แต่นอนอยู่ที่โรงพยาบาลสวนปรุงนะ” กิตติหมายถึงโรงพยาบาลที่รับเฉพาะผู้ป่วยทางด้านจิตเวช
“เห็นเพื่อนที่สนิทกันเล่าว่าเจ้าบีมันเป็นบ้าไปแล้ว มันเอามีดกรีดเนื้อตัวเอง พอคนอื่นมาเห็นก็บอกว่าไม่ได้ทำเอง แต่เป็นคนอื่นทำ ทั้งที่มันน่ะก็อยู่ในห้องคนเดียว” ประโยคบอกเล่าของกิตติ เล่นเอาผมแทบคายของเก่า สุดท้ายก็เลยต้องเลิกกินข้าวมื้อนั้นเพราะยังไงก็กินไม่ลงเสียแล้ว
หลังจากนั้น ผมจึงร่ำลาเพื่อนเกลอเก่าสมัยปีหนึ่ง พร้อมทั้งขอบอกขอบใจที่มีเรื่องลึกลับมาเล่าสู่กันฟัง โดยผมก็ได้เก็บมาเล่าต่อ รับใช้ท่านผู้อ่านในวันนี้
ท้ายที่สุดแล้วผมก็ไม่ได้ไปเยี่ยมนายบีเลยแม้แต่ครั้งเดียว ปัจจุบันได้ข่าวว่าหายจากอาการจิตหลอน มีการมีงานทำเรียบร้อย แหม่! เลยอดรู้เลยนะครับว่าไอ้เรื่องที่เล่ามาน่ะ...จริงหรือหลอกกันแน่
ขอขอบคุณ : https://pantip.com/topic/35609860
ขอขอบคุณ : Luckard
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น