ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

อาถรรพ์เหล็กน้ำพี้


ของศักดิ์สิทธิ์ ตามธรรมชาตินั้นโบราณจารย์ได้กล่าวเรียกไว้หลายอย่างที่คุ้นหู คือ สิ่งที่เรียกว่า กายสิทธิ์   แต่นอกจากของกายสิทธิ์แล้วยังมีของศักดิ์สิทธิ์ ตามธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ทนสิทธิ์ ของทนสิทธิ์นั้นมีกล่าวไว้ในตำราพิชัยสงคราม หมายถึง วัตถุตามธรรมชาติที่มีอำนาจทางคงกระพันโดยมิต้องผ่านการปลุกเสกในสมัยโบราณนั้นธาตุเหล็กถือว่าเป็นธาตุที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว 

และสำหรับธาตุเหล็กน้ำพี้นั้นยิ่งถือว่าเป็นเหล็กพิเศษ เพราะเป็นของทนสิทธิ์มีอานุภาพ   มีระบุไว้ในตำราพิชัยสงครามชัดเจนว่า เหล็กน้ำพี้เป็นของทนสิทธิ์ ไม่เสื่อม มีอานุภาพทางความคงกระพันชาตรี  ทำลายอาถรรพณ์ทั้งปวง  เพื่อเป็นที่เกรงกลัวของภูตผีปีศาจป้องกันมนต์ดำ คุณไสย ลมเพลมพัดทั้งปวง  มีอำนาจทางมหาราชตบะเดชะ เป็นที่ครั่นคร้ามของคนทั้งปวง ธาตุทนสิทธิ์ นั้นถือเป็นของหายากตามธรรมชาติ  ในอดีตต่างมีผู้แสวงหากันอย่างมากมาย  แต่ผู้ที่จะได้ไว้นั้นมีน้อยคนเหลือเกินเพราะเป็นของสำหรับผู้ที่มีบุญวาสนา เหมือนดั่งกับเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์ หรือปรอทสำเร็จ  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของตามตำนาน  มีเรื่องเล่าขานกันมานานนับหลายชั่วอายุคน เหล็กน้ำพี้จากอำเภอทองแสนขัน จ.อุตรดิตถ์  มีธาตุทนสิทธิ์ที่มีเรื่องเล่าขานตำนานนับร้อยพันปี และยังแสดงอิทธิอานุภาพให้ปรากฏจนถึงทุกวันนี้

เหล็กน้ำพี้  ถือว่าเป็นธาตุที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเองอย่างน่าอัศจรรย์  เหล็กน้ำพี้ คือ เหล็กที่เหนือกว่าธาตุเหล็กใดๆในโลกยกเว้นเหล็กไหล  แต่โดยภาพรวมแล้วเหล็กน้ำพี้ก็ถือได้ว่าเป็นเหล็กอัศจรรย์ตระกูลเหล็กไหลอย่างหนึ่ง ที่มีพลานุภาพเป็นน้องๆ ขององค์เหล็กไหลชั้นยอดขึ้นไป เหล็กน้ำพี้ถือว่าเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตมีเทพยดารักษาไว้  เป็นของคนมีบุญเท่านั้น  การหาเหล็กน้ำพี้แม้ว่าไม่ได้เกิดการตัดเช่นเดียวกับการตัดเหล็กไหล ตามแต่ก่อนที่จะทำการหาได้นั้น   ต้องทำการบวงสรวง บอกกล่าวต่อเจ้าที่ที่ชาวบ้านเรียกว่า เจ้าพ่อบ่อเหล็ก  ถือเป็นเทพยดาที่ ทรงมหิทธิฤทธิ์ดูแลธาตุศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้อยู่  ส่วนที่เรียกว่า เหล็กน้ำพี้  เป็นธาตุทนสิทธิ์นั้นเนื่องจากว่าคำว่า ทนสิทธิ์ เป็นการเรียกสิ่งบางอย่างในโลกที่มีพลังงานบางอย่างในตัวที่มีอานุภาพทางคงกระพัน และล้างอาถรรพณ์เสนียดจันไรทุกชนิด  ป้องกันภูตผีปีศาจ

 เหล็กน้ำพี้ จัดเป็นธาตุที่มีเตโชธาตุในตัวสูงอย่างยิ่ง  รัศมีของเหล็กน้ำพี้จึงเป็นที่เกรงกลัวของบรรดาภูตผีปีศาจทั้งหลาย   ด้วยความร้อนแรงแห่งเตโชธาตุภายใน  บุคคลที่มีฌานสมาธิได้ตาในจากการนั่งกรรมฐาน  จะแลเห็นรัศมีของเหล็กน้ำพี้เป็นสีแดงสด   บ่งบอกอำนาจทางการคุ้มครองชั้นสูง และอำนาจจากเตโชธาตุ  ที่ส่งผลในทางตบะเดชะสนับสนุนดวงชะตาชีวิตให้เป็นเจ้าคนนายคน  และอำนาจจากเตโชธาตุนี้เองที่ยังเป็นตัวล้างอาถรรพณ์ทั้งปวงจากคุณไสยมนต์ดำ เตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ  ครูบาอาจารย์ต่างกล่าวว่า   

ธาตุไฟในโลกนี้มีอำนาจในทางสร้างมายาอย่างหนึ่ง และสามารถทำลายอาถรรพณ์จากเวทย์มนต์ พลังจิตทุกชนิด ล้างอาถรรพณ์ได้ด้วยธาตุไฟ  แถมยังเป็นสิ่งที่ให้พลังแก่ชีวิตเราด้วย   ดังนั้นพลังงานนี้จะทำให้ร่างกายของผู้ที่ได้รับเกิดความแข็งแรงกระชุ่ม กระชวย หากทำการรับพลังงานจากแร่เหล็กน้ำพี้เสมอ ๆ จะทำให้แก่ช้า และยังได้ความคงกระพันด้วย  บางท่านสื่อพลังเหล็กน้ำพี้ไปนานวันจะเกิดตบะเดชะ  เส้นผมจะกลายเป็นสีเหล็กหรือสีทองแดง  เมื่อตายไปแล้วกระดูกก็กลายเป็นทองแดงตามไปด้วยอย่างน่าอัศจรรย์   

ซึ่งทั้งนี้เกิดขึ้นจากอำนาจของกระแสพลังงานของเหล็กน้ำพี้ไปปรับธาตุขันธ์ให้ร่างกาย    ให้กลายเป็นทนสิทธิ์ตามตัวของมันไปด้วย   ซึ่งผู้ซึมซับพลังงานของเหล็กน้ำพี้จนถึงขั้นที่เส้นผมเป็นสีเหล็กหรือ  สีทองแดง  จะมีความคงกระพันชั้นเลิศ  แก่ช้า  มีอายุยาวนานปราศจากโรคภัยทั้งปวง  แต่ทั้งนี้ต้องหมั่นทำสมาธิบำเพ็ญภาวนา  โดยอาศัยการนำเหล็กน้ำพี้ไว้ในมือ  ดูดรับกระแสพลังงานจากเหล็กน้ำพี้เอาไว้ให้มาก และบ่อยๆ  ก็สามารถกลายร่างเป็นทนสิทธิ์ได้

จากจุดกำเนิดเหล็กน้ำพี้ที่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณ   จากหลักฐานพบว่าในสมัยรัชกาลที่ 5  สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า  หมู่บ้าน  น้ำพี้มีช่างตีดาบอยู่   แต่มาถึงปัจจุบันนี้อาชีพนี้และช่างตีดาบแทบจะสูญหายไปจากหมู่บ้านเกือบหมด   มาถึงจุดนี้วันนี้ก่อนที่จะสายเกินไป   ก่อนที่การตีเหล็ก ตีดาบอันเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนของหมู่บ้านน้ำพี้จะหยุดลงโดยสิ้นเชิง  ควรที่ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นภาคราชการ และเอกชนจะได้รีบเร่งเข้าดำเนินการสนับสนุนด้วยการเข้าช่วยเหลือ ฟื้นฟูอาชีพช่างตีเหล็ก เข้าช่วยฟื้นฟูการฝึกสอน การถ่ายทอดวิชาการตีเหล็กเช่น อดีต   ศราตราวุธ หรือเครื่องมือ เครื่องใช้สามารถัดแปลงให้เหมาะสม สวยงาม กะทัดรัดเหมาะแก่การสะสมเป็นวัตถุมงคล และของที่ระลึกเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ชุบชีวิตชีวาชาวบ้านน้ำพี้ให้เลื่องลือชาเช่นกาลก่อน  สิ่งที่จะเป็นผลประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อประเทศชาติก็คือ  การสืบทอดมรดกประเพณีการตีดาบที่มีมาแต่โบราณให้สืบทอดต่อไป 

ทำไมคนบ้านน้ำพี้ และคนไทยที่เชื่อเรื่องเหล็กน้ำพี้ แม้เพียงหยิบก้อนแร่ก้อนเล็กๆ ขึ้นมาจากพื้นดินเพียงก้อนเดียวก็ต้องยกมือไหว้  แล้วออกปากขอทั้ง ๆที่มองไม่เห็นว่าใครเป็นเจ้าของ เท่านี้คงยังไม่เพียงพอสำหรับการที่จะเชื่อ จึงขอนำตำนานประสบการณ์ อภินิหาร ความลี้ลับ มาลำดับโดยสรุปดังต่อไปนี้ พิธีกรรม ในสมัยก่อนการที่จะตีดาบดี ๆขึ้นมาใช้สักเล่ม  ไม่ใช่ทำกันง่าย ๆ เหมือนอย่างเช่นสมัยนี้   ที่พอไปเก็บเหล็กมาแล้วก็ลงมือตีกันได้เลย  แต่ก่อนต้องมีพิธีกรรมหลายอย่าง หลายขั้นตอนเริ่มตั้งแต่การไปนำแร่มาจากบ่อ  การหาของผสมมาให้ครบ  การก่อเตาตีดาบ  เรื่อยไปจนกระทั่งเสร็จเป็นดาบที่สมบูรณ์  ทั้งยังต้องมีการทดลองคุณภาพอีกครั้งจึงจะแล้วเสร็จ และนำไปใช้ได้   พิธีกรรมเหล่านี้เริ่มต้นจาก  เมื่อค้นพบแหล่งแร่เนื้อดีแล้ว ใช่ว่าจะไปขุดกันมาใช้ได้เลย   

ในขั้นแรกที่จะไปขุดเอาแร่เหล็กจะต้องทำตนให้บริสุทธิ์เสียก่อน  ซึ่งจะต้องนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลอย่างน้อย  7-15 วัน  ระหว่างนั้นจะต้องงดเว้นจากการเบียดเบียนไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ดื่มสุราเมรัย  ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเสพกาม  ไม่พูดเพ้อเจ้อ  หรือกล่าวคำเท็จ  เป็นต้น  สรุปคือจะต้องรักษาศีล 8 ให้สมบูรณ์อย่างเคร่งครัดนั่นเอง  เมื่อครบกำหนดแล้วจะต้องดูฤกษ์ ดูยาม หาวันเวลาที่เหมาะสมเพื่อทำพิธีบวงสรวงเจ้าที่เจ้าทาง   ที่ปกปักษ์รักษาบ่อแร่เหล็ก   เป็นการบอกเล่าเก้าสิบกับให้รู้ หรือขออนุญาตเจ้าของเขาเสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้นผู้ที่ไปขุดอาจได้รับเภทภัยอย่างไม่คาดคิด  จากนั้นก็ทำพิธีที่เรียกว่า“ล้อมแร่”  ซึ่งเป็นการป้องกัน    แร่ธาตุหนี   ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าไม่ล้อมแร่ไว้ก่อน  ถึงจะขุดไปอย่างไรก็จะไม่พบแร่ธาตุเหล็กที่ต้องการ  จะพบก็แต่แร่เหล็กที่ไม่มีคุณภาพ  ที่อาจเรียกว่าขี้เหล็กก็ได้ และถ้านำมาหลอมมาตีเป็นดาบ ดาบนั้นจะเปราะ ไม่แข็งแรง แตกหักได้ง่าย  

การขุดตัดแร่เหล็กนี้นี้ไม่ต่างไปจากการตัดเหล็กไหลเท่าใดนัก  เพราะเชื่อว่าอยู่ในตระกูลเดียวกันกับเหล็กไหล ซึ่งจะต้องตั้งศาลบวงสรวงขออนุญาตจากเจ้าที่ที่ดูแลปกปักษ์รักษาเสียก่อน  จึงจะทำการขุดหรือ  ตัดได้  ข้อสำคัญประการหนึ่งที่จะละเลยไม่ได้คือ   จะต้องทำพิธีตัดกันในวันดับ  ซึ่งถ้ากล่าวตามโหราศาสตร์ ก็คือ วันแรม 15 ค่ำ เป็นวันที่ดวงจันทร์โคจรมาที่บ่อเหล็กน้ำพี้แห่งนี้ ได้มีแร่เหล็กที่มีตำนานเล่าขานหลายร้อยปี ว่ามีคุณภาพสูง เป็นที่เลื่องลือ นับแต่อดีตได้นำมาถลุงทำเป็นอาวุธต่อสู้กับศัตรูจนรักษาเอกราชมาได้ เช่น พระยาพิชัยดาบหัก  ดาบของสมเด็จพระนารายณ์  พระแสงของ้าวของพระนเรศวร  เป็นต้น  อยู่ในราศีเดียวกับดวงอาทิตย์ ทำให้แสงแห่งดวงจันทร์ไม่ปรากฏ  จึงเรียกวันนั้นเป็นวันดับ  ซึ่งมีเฉพาะวันนี้วันเดียวที่เชื่อว่าจะได้เหล็กที่มีคุณภาพสูง

ธาตุอาถรรพ์+ของประสม เมื่อตัดแร่เหล็กน้ำพี้มาแล้ว  ก่อนที่จะนำมาหลอมตีเป็นดาบได้   ตามตำรากล่าวว่าจะต้องเสาะหาธาตุเหล็กที่มีพลังอานุภาพมาหลอมประสมลงไปด้วยหลายอย่างสำคัญ ๆ คือ เหล็กแกนจากยอดเจดีย์หัก ,เหล็กตะปูตอกโลงศพจาก 7 ป่าช้า จะต้องเป็นตะปูที่ตอกโลงศพผีตายทั้งกลมเท่านั้น เป็นการเพิ่มความเข้มแข็งของพลังจิตวิญญาณให้แก่ดาบ   ส่วนผสมนี้ มีกล่าวถึงในเสภาเรื่อง ”ขุนช้างขุนแผน” ฉบับหอสมุดแห่งชาติ เล่ม 1 พ.ศ. 2513 หน้า 356 - 158
เตรียมการตีดาบ  หลังจากที่ได้เหล็กน้ำพี้และธาตุอื่น ๆ มาครบแล้ว ผู้ที่จะตีดาบน้ำพี้จะต้องทำพิธีบวงสรวงทวยเทพจนจิตวิญญาณที่รักษาธาตุเหล็กเหล่านั้นอยู่  แล้วจึงนำธาตุทั้งหมดมาหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน เตรียมนำไปตีเป็นดาบต่อไป  ซึ่งต้องมีการเตรียมการอีกเช่นเดียวกัน  จะตีดาบอย่างธรรมดาอื่น ๆไม่ได้ โดยจะเริ่มต้นที่การก่อเตาจะหลอมเหล็ก  เพื่อให้เนื้อเหล็กอ่อนสามารถขึ้นรูปได้ตามประสงค์  เรื่องนี้ได้รับการบอกเล่าว่า ก่อนที่จะก่อเตาเพื่อตีดาบน้ำพี้   จะต้องทำพิธีบวงสรวงหรือบูชาครูตีดาบกันเสียก่อน  แล้วจึงลงมือก่อเตาได้ และเตาที่ก่อนั้นจะต้องไม่อยู่ในที่ร่มหรือในโรงเรือน  โรงตีเหล็กต้องก่อเตาในที่โล่งแจ้งไม่มีหลังคาปิดบังเป็นร่มเงากั้น

วันตีดาบ การจัดเตรียมอุปกรณ์ในการตีดาบ จะมีเตาเผา คีมคีบเหล็กด้ามยาว ค้อนตีเหล็ก หินขัด ถ่าน(ไม้สัก) เป็นต้น  เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว  ต่อไปก็ต้องดูฤกษ์เพื่อหาวันทำวิธีบูชาครูดาบ  แล้วจึงลงมือตีได้โดยปกติถ้าจะทำให้ถูกต้องตามตำราโบราณจะต้องทำการตีเหล็กกันในคืน วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น  ถ้าตีวันอื่นประสิทธิภาพของดาบด้านความขลังจะมีพลังน้อย  สู้ตีคืนวันเพ็ญไม่ได้  และขณะที่ตีดาบ คนตีดาบต้องว่าคาถากำกับไปพร้อมกับการตีอย่างต่อเนื่อง  จนกว่าจะตีดาบเสร็จ  หากการตีดาบน้ำพี้ไม่แล้วเสร็จภายในคืนเดียว  ก็จะต้องเลื่อนไปตีในคืนวันเพ็ญต่อไป  ทำอย่างนี้จนกว่าจะแล้วเสร็จ
การประจุของขลัง เมื่อตีดาบเสร็จแล้วก็จะนำตัวดาบมาเข้าด้วย  ซึ่งปกติทำด้วยไม้ที่เหนียวคงทน และมีน้ำหนักเบา  ก่อนจะประกอบตัวดาบเข้าด้าม   จะต้องทำการประจุเครื่องรางของขลังของครูบาอาจารย์ที่แข็งกล้าในวิชาอาคม เช่น  ผ้าประเจียดพิสมร  เครื่องรางชนิดหนึ่งรูปสามเหลี่ยม หรือเหลี่ยมร้อยสาย เป็นต้น นอกจากนี้จะต้องนำเส้นผมของผีตาย 7 ป่าช้า  มาประจุรวมลงไปด้วย  จึงเป็นการดีส่วนปลอกหรือฝักดาบก็จะถักหวายซึ่งจะทำให้สวยงามและคงทนขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้ถัก

ขั้นการทดลอง หลังจากได้ดาบที่สมบูรณ์แล้วอาจนำดาบนั้นไปให้ครูบาอาจารย์ที่แก่กล้าในเวทย์วิชาอาคมทำพิธีปลุกเสกประจุมนต์คาถาลงไปในดาบเป็นการเพิ่มอานุภาพให้แก่ดาบอีกชั้นหนึ่งด้วยก็ได้  จากนั้นจึงนำดาบมาทดลองคุณภาพว่าจะดีจริงพอที่จะใช้เป็นอาวุธประจำตัวของตนได้    หรือไม่ ในขั้นแรก จะชักดาบออกจากฝัก ยกขึ้นกวัดแกว่งในอากาศหากเกิดเสียงดัง”หวือๆ”จนผู้ถือดาบได้ยินอย่างถนัด ก็เป็นอันว่าดาบนั้นถูกต้องตามตำราเป็นดาบที่ใช้ได้ 
ขั้นสุดท้าย เป็นการทดลองด้วยการฟันไม้ไผ่   ซึ่งวิธีนี้ส่วนมากมักใช้ในการลองของต่อกันโดยการนำ  ไม้ไผ่ที่สอดไส้ด้วยเหล็กเส้นไว้ภายใน  นำมาปักบนพื้นดิน  ถ้าตวัดดาบครั้งเดียวทั้งไม้ไผ่และไส้เหล็กขาดกระเด็น ก็แสดงว่าดาบนั้นดีจริง  ในการทดลองครั้งที่ 2 และ 3 นี้ หากฟันไปแล้วแม้หัวตะปูขาดหรือไม้ไผ่และเหล็กเส้นจะขาดก็ตาม  แต่ถ้าเกิดมีเสียงดัง “แกร็ก” หรือตะปู หรือไม้ไผ่ล้มลง ดาบเล่มนั้นก็โยนทิ้งไป หรือไม่ก็ให้นักดาบมือใหม่นำไปใช้เป็นดาบฝึกต่อไป

ความเชื่อในเรื่องของการทดลองนี้  คาดว่าจะเป็นเรื่องของการแสดงเวทย์วิชาอาคม ให้ไปกระทำกับสิ่งต่างๆ ได้ดังประสงค์ โดยมีดาบเป็นเครื่องประกอบการกระทำ ซึ่งจะดูว่า ดาบมีอานุภาพมาก นอกจากนั้น ยังเป็นการแสดงอาการข่มกันของบรรดาครูดาบทั้งหลายเพื่อให้เกิดการนับถือ  เลื่อมใสในฝีมือ อำนาจลึกลับ เชื่อกันว่าดาบน้ำพี้ที่ได้จัดทำขึ้นถูกต้องตามกระบวนความตามตำราแล้ว ทุกครั้งที่พกพาดาบนี้จะเป็นเสมือนเพื่อนตายจะคอยปกป้องและเตือนภัยแก่เจ้าของทุกครั้งเช่น เมื่อยามมีอันตรายหรือศัตรูเข้ามาใกล้ ดาบจะสั่นกิ๊กถีบตัวออกจากฝักทันที เป็นสัญญาณบอกให้รู้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันได้เสมอ เหล็กล้างอาถรรพณ์ เหล็กน้ำพี้เมื่อตีเป็นอาวุธหรือของใช้ต่างๆเนื้อเหล็กจะคมวาวจะมีสีคล้ายปีกแมลงทับ  มีความเหนียวและอ่อน สามารถงอได้ตามต้องการเพื่อที่จะซุกซ่อนไม่ให้ศัตรูมองเห็น และหากฟาดฟันไปต้องร่างผู้ใด แม้ผู้นั้นจะเป็นผู้มีวิชาอาคมสูงถึงขนาดอยู่ยงคงกระพันฟันแทงไม่เข้า แต่หากโดนคมดาบน้ำพี้เข้าแล้ว 

ความเหนียวคงกระพันที่เคยมีก็กลับต้องสูญสลายไปอย่างหมดสิ้นอานุภาพขอดาบน้ำพี้นี้กล่าวกันว่า ไม่เฉพาะล้างอาถรรพณ์กับผู้มีวิชาอาคมเท่านั้น แม้แต่วิญญาณหรือภูติผีปีศาจก็ยังเกรงกลัว อานุภาพจากก้อนแร่เหล็ก นางจำรัส เชื้อนพคุณ ชาวบ้านน้ำพี้เล่าว่า  หลานชายรับราชการทหารอยู่ที่จังหวัดน่าน  อันเป็นดินแดนที่เคยมีผู้ก่อการร้ายชุกชุมมาก  วันหนึ่งขณะที่หลานของนางจำรัสออกลาดตระเวนกับเพื่อนหารด้วยกัน ได้เกิดปะทะกับผู้ก่อการร้าย  ถูกถล่มด้วยปืนและระเบิดอย่างหนักจนเพื่อนทหารเสียชีวิตไปหลายคน  แต่หลานของนางจำรัสรอดชีวิตมาได้อย่างอัศจรรย์ทั้ง ๆ ที่โดนกระสุนปืนและสะเก็ดระเบิดจนเสื้อผ้า   ฉีกขาด แต่เนื้อตัวกลับไม่มีบาดแผลอะไรเลย  นางจำรัสเชื่อว่าที่หลานชายแคล้วคลาดปลอดภัยมานั้นเป็นเพราะอานุภาพของก้อนเหล็กน้ำพี้มอบให้และนำติดตัวไว้เป็นประจำเพียงอย่างเดียว   นางจำรัส จึงเชื่อว่าแร่เหล็กน้ำพี้    มีความศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ รวมทั้งชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็เชื่อกันอย่างนี้ทุกคนโดยเฉพาะผู้ที่จะเดินทางไปไหนมาไหน   ไกล ๆ ถ้าพกพาแร่เหล็กน้ำพี้ติดตัวไปด้วยเสมอจะแคล้วคลาดปลอดภัยทุกครั้ง

 สับด้วยมีดปาดหมู  พระอธิการเจียน ปุณณธัมโม  เจ้าอาวาสวัดบ้านน้ำพี้เล่าว่าได้แจกวัตถุมงคลให้กับชาวบ้านไปมากมายล้วนทำด้วยแร่เหล็กน้ำพี้   วันหนึ่งโยมจากสุโขทัยมาขอวัตถุมงคลเพิ่มเติม และเล่าว่าเขาเป็นพ่อค้าขายหมูบังเอิญเกิดทะเลาะกับเพื่อนพ่อค้าหมูด้วยกัน และโดนเพื่อนสับด้วยมีดปาดหมูแต่คมมีดที่คมกริบนั้นไม่ระคายผิวของเขาเลยคู่ทะเลาะวิวาทเห็นว่าเขาหนังเหนียวฟันไม่เข้าเลยตกใจวิ่งหนีไปเรื่องจึงสงบลง ดาบขุนศึก นักรบไทยในอดีตที่ใช้ดาบซึ่งทำจากเหล็กน้ำพี้  มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์กล่าว  อ้างถึง  พระแสงของ้าวที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ทรงใช้ทำยุทธหัตถีรบกระทั่งมีชัยชนะเหนือพม่าข้าศึกนั้น เป็นพระแสงของ้าวที่ทำขึ้นมาจากเหล็กน้ำพี้ สมเด็จพระนารายมหาราช  มีดาบล้างอาถรรพณ์ซึ่งเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์  ขุนหลวงสรศักดิ์ นำมาปราบศัตรูนั้น  กล่าวว่าเป็นดาบน้ำพี้เช่นกัน  จากเรื่องขุนศึกมหาราชซึ่งคาดว่า ผู้แต่งมีข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ ประกอบการเขียนอธิบาย
สมเด็จพระพันวษาหรือพระรามาธิบดีที่ 2 ในสมัยของพระองค์มีขุนศึกชาวเมืองสุพรรณบุรีชื่อ ขุนแผนใช้ดาบฟ้าฟื้นเป็นอาวุธและเมื่อรบทัพทัพจับศึกปราบศัตรูราบคาบแล้ว  ขุนแผนได้ถวายดาบเล่มนั้นเป็นสมบัติของพระพันวษาดาบนี้กล่าวว่าตีจากเหล็กน้ำพี้  และปัจจุบันยังเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช   สมัยที่พระองค์ทำศึกสงครามมีทหารเอกคู่ใจอยู่หลายคนคนหนึ่งก็คือ พระยาพิชัยดาบหัก  ขุนศึกกล้าชาวอุตรดิตถ์เชื่อกันว่า”ดาบนันทกาวุธ”ซึ่งอยู่ในมือซ้ายของท่านเป็นดาบที่ทำจากเหล็กน้ำพี้ และเมื่อพระยาพิชัยมีดาบดีเป็นอาวุธจึงคาดว่าคงถวายดาบดีแด่พระมหากษัตริย์ที่ตนมีความเคารพ และจงรักภักดีไว้ใช้ด้วย  ดังนั้นจึงเชื่อว่าดาบที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงใช้ก็ต้องเป็นดาบน้ำพี้เช่นกัน

ขอขอบคุณ : http://oknation.nationtv.tv/blog/sonorwut/2013/07/16/entry-4

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คืนบวงสรวง มหาวิทยาลัยพะเยา

เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาในหลายเรื่อง หลายวาระ แต่ละปีก็จะมีเหตุการณ์ที่แตกต่างกันออกไปบ้าง เสริมจากเรื่องที่เคยได้ยินมาบ้าง เรื่องที่เพื่อนๆ จะได้อ่านกันต่อไปนี้ ต้องขอบอกก่อนว่า “เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม” เราได้รวบรวมมา จากหลายๆ ที่ จะหลอนขนาดไหน ไปสั่นประสาทกันเลย เรื่องมีอยู่ว่า ที่มอเราจะมี 1 คืนที่ต้องเก็บของสีแดงทุกชิ้นเก็บไว้ให้มิดชิด เพราะเชื่อกันว่า คืนนั้นจะเป็นคืนที่กองทัพของพระนเรศวรออกมาเดินผ่านบริเวณหอใน รุ่นพี่ก็เล่าๆ สู่กันฟังบ้างว่าเคยเจอ บ้างก็ว่าเห็นเป็นกองทัพ บ้างก็ว่าได้ยินแต่เสียงคนเดินหลายๆ คนพอออกมาดูก็ไม่เจออะไร จริงๆแล้วเราไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้ เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องเล่าหลอกให้เด็กปี 1 กลัว แต่เมทเราบอกว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เราเลยจำเป็นต้องเก็บเสื้อผ้า เปลี่ยนผ้าปูที่นอน (เพราะเป็นสีแดง) และเก็บกล่องห่อข้าวของเราที่เป็นสีแดงมาจากหลังห้อง พอตะวันตกดินความน่ากลัวมันก็เริ่มขึ้น ปกติแล้วที่หอในจะคึกคักมาก โดยเฉพาะหน้ามินิมาร์ทและลานดาว ที่มักจะมีคู่รักมานั่งคุยกัน มีเพื่อนๆ พี่ๆ ที่มานั่งเล่น หรือคนที่ออกมาซื้อข้าวของเครื่อ...

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ...

โรงหนังผีย่านสมุทรปราการ

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงภาพยนต์แห่งนึงในจังหวัดสมุทรปราการ และเหตุการณ์นี้พึงจะเกิดขึ้นกับคุณโอ๋แบบสดๆร้อนๆ โรงหนังแห่งนี้ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสี่ถึงห้าปีที่แล้ว คนจะเยอะมาก แต่ปัจจุบันโรงหนังแห่งนี้ดูเล็กลงไปเยอะ ถ้าเทียบกับที่อื่นๆในปัจจุบัน จนตอนกลางวันแทบนับคนได้เลย แต่ด้วยความที่คุณโอ๋เป็นคนไม่ค่อยได้ดูหนังอยู่แล้ว พอดีคุณโอ๋ไปบ้านเพื่อน แล้วอยากดูหนังเรื่องนี้อยู่พอดี เพราะเพื่อนเล่าให้ฟัง คุณโอ๋จึงได้เข้าไปซื้อตั๋ว และตั้งใจว่าจะดูก่อนรอบสุดท้าย แต่มันเลยเวลามาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว เลยได้ซื้อตั๋วดูรอบสุดท้ายแทน ประมาณสี่ทุ่ม...คนน้อยมาก คุณโอ๋เลือกนั่งแถวหลังสุด ที่นั่งห้าเอ ก่อนหนังฉายคุณโอ๋ได้เดินเข้าห้องน้ำก่อน ห้องน้ำเก่าและน่ากลัวมาก ใหญ่พอสมควรแต่ไม่มีคนเลย คุณโอ๋เลือกเข้าห้องตรงกลาง พอคุณโอ๋เสร็จกิจและเปิดประตูออกมา พอจะหวังที่กำลังเปิดประตู คุณโอ๋ได้ยินเสียงกดชักโครกของห้องข้างๆ ซึ่งตอนที่คุณโอ๋เดินเข้ามา ทุกห้องจะเปิดประตูหมดและไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลย คุณโอ๋พยายามไม่ใส่ใจ และเดินออกไปซื้อขนม และกลับเข้ามานั่งที่นั่ง มีคนดูน้อยมาก แถวที่คุณโอ๋นั่งจะไม่มีคนนั่งเ...