ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตำนานหลอน "บ้านพิษณุโลก" บ้านประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ที่อยู่ได้ไม่เกิน 2 คืน


สวัสดีครับ เชื่อว่าหลายคนๆ ต้องคุ้นหูชื่อของ "บ้านพิษณุโลก" บ้านที่หลายคน หรือนักข่าวสายการเมืองหลายๆ รุ่นเล่าสืบต่อกันว่า เป็นบ้านประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ที่ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนกล้าเข้ามาอยู่ 

หลายคนมองว่า อาจเป็นเพราะบ้านหลังนี้ไม่สะดวกสบายเท่าบ้านจริงของท่าน แต่ก็มีหลายคนมองว่า เพราะที่นี่ "เจ้าที่แรง" รวมไปถึงมักจะมีเสียงแปลกๆ ที่มาจากรูปปั้นต่างๆ ภายในบริเวณบ้าน เราไปย้อนรอยบ้านหลังนี้กันเลยครับ บ้านพิษณุโลกที่ว่านี้ ตั้งอยู่ในกรุงเทพครับ (ที่เรียกว่าบ้านพิษณุโลก เพราะตั้งอยู่บนถนนพิษณุโลก) บ้านหลังนี้เป็นบ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เป็นบ้านที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ออกแบบและสร้างโดย มาริโอ ตามานโญ สถาปนิกประจำราชสำนักสยามชาวอิตาลี มีเนื้อที่ 25 ไร่ 3 งาน แต่เดิมชื่อว่า "บ้านบรรทมสินธุ์"

บ้านหลังนี้มาประวัติความเป็นมายาวนาน โดยจุดกำเนิดเกิดขึ้นครั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดให้สร้างบ้านพักอาศัยเพื่อพระราชทานให้กับมหาดเล็กส่วนพระองค์ 4 ท่าน คือ....

- บ้านบรรทมสินธุ์ พระราชทานแก่ พลตรีพระยาอนิรุทธเทวา (หม่อมหลวงฟื้น พึ่งบุญ)
- บ้านนรสิงห์ พระราชทานแก่ พลเอก เจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ)
- บ้านมนังคศิลา พระราชทานแก่ มหาเสวกเอก พระยาอุดมราชภักดี (โถ สุจริตกุล)
- บ้านพิบูลธรรม พระราชทานแก่ เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล)

ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนั้นตรงกับรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำการซื้อบ้านหลังนี้จากเจ้าของเดิมเพื่อไม่ให้ญี่ปุ่นซื้อไปเป็นสถานทูต เนื่องจากบ้านนี้ตั้งอยู่ใกล้กับกองพันทหารราบที่ 3 ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ โดยหลังจากซื้อแล้วรัฐบาลสมัยนั้นได้ใช้บ้านนรสิงห์ เป็นทำเนียบรัฐบาล (ภายใต้ชื่อ "ทำเนียบสามัคคีชัย") สำหรับบ้านบรรทมสินธุ์นั้น ในช่วงแรก ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "บ้านไทยพันธมิตร" ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น "บ้านพิษณุโลก" เนื่องจากบ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนถนนพิษณุโลก ข้างโรงพยาบาลมิชชั่น ได้ใช้เป็นที่ต้อนรับแขกเมืองสำคัญของรัฐบาลมาจนปัจจุบัน

- บ้านบรรทมสินธุ์ ปัจจุบันคือ บ้านพิษณุโลก
- บ้านนรสิงห์ ปัจจุบันคือ ทำเนียบรัฐบาล
- บ้านมนังคศิลา ปัจจุบันคือ ที่ตั้งสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์
- บ้านพิบูลธรรม ปัจจุบันคือ กระทรวงพลังงาน

สำหรับบ้านพิษณุโลกนั้น ภายหลังรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม รัฐบาลยุคต่อมาได้ปรับปรุงบ้านพิษณุโลก เพื่อใช้เป็นบ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเริ่มปรับปรุงทั้งหมด 2 ปี มาแล้วเสร็จในรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในปี พ.ศ. 2524 พลเอกเปรม ได้ย้ายเข้าไปพัก แต่ก็อยู่ได้เพียง 2 วัน จึงย้ายออกไปพักที่บ้านพักเดิมคือ "บ้านสี่เสาเทเวศร์"

บ้านพิษณุโลกแห่งนี้ มีกิตติศัพท์ร่ำลือกันว่าผีดุจนเป็นเหตุให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พักได้เพียง 2 วันเท่านั้นก็ย้ายออกไป แต่เมื่อสื่อมวลชนไปสัมภาษณ์ พล.อ.เฟื่องเฉลย อนิรุทธเทวา ซึ่งเป็นทายาทของพระยาอนิรุทธเทวา ซึ่งเคยพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้เมื่อสมัยเด็กก็ได้รับการยืนยันว่า "ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องผีดุแต่อย่างใดทั้งๆ ที่ตนอาศัยอยู่มาตั้งแต่เด็กจนหนุ่ม" จนกระทั่งรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ซื้อบ้านหลังนี้ไปแต่กิตติศัพท์เรื่องผีดุนี้ก็ได้รับการตอกย้ำ จนไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดย้ายเข้าไปพักอย่างเป็นทางการ แม้แต่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ยังได้ใช้บ้านหลังนี้เป็นเพียงที่รับแขกเท่านั้น
  
มีเพียงแต่นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวที่พำนักอยู่ในบ้านหลังนี้ได้นานที่สุดคือ นายชวน หลีกภัย เนื่องจากบ้านพักในซอยหมอเหล็งของนายชวนนั้นค่อนข้างเล็กและคับแคบ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงได้ย้ายเข้ามาพำนักในบ้านพิษณุโลก อย่างเป็นทางการทั้งสองสมัย โดยนายชวน หลีกภัยได้ใช้โซฟาในห้องทำงานซึ่งอยู่ด้านหน้าห้องนอนเป็นที่นอน และไม่ได้มีการใช้เตียงนอนภายในห้องนอนของบ้านแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นให้เกียรติเจ้าของบ้าน จึงเป็นที่พูดถึงความอาถรรพ์ของบ้านหลังนี้ และหลังจาก นายชวน หลีกภัย แล้ว ก็ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดใช้บ้านหลังนี้เป็นที่อาศัยอีกเลย จนถึงปัจจุบัน มีเพียงแต่ใช้เป็นที่ประชุมและรับแขกเท่านั้น

อีกเรื่องเล่าที่บอกต่อกันมาคือช่วงที่ นายทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น คุณหญิงพจมาน ผู้เป็นภริยาก็ได้นำคนเข้ามาทำความสะอาดของครั้งใหญ่ที่บ้านพิษณุโลกแห่งนี้ ในระหว่างที่กำลังปัดกวาดเช็ดถู คนงานหญิงคนหนึ่งก็ล้มตัวลงนั่ง จากนั้นมองไปรอบๆ ก่อนพูดออกมาเป็นเสียงคล้ายคนแก่ "อะไรๆ ก็รกหูรกตาไปเสียหมด อะไรๆ ก็สกปรก ไม่ยอมทำความสะอาดกันเลย" จนมีการนำน้ำมนต์และสร้อยพระมาคล้อง เธอจึงกลับมาเป็นตัวเธออีกครั้ง

อีกหนึ่งเรื่องที่ยังเป็นที่พูดถึงในกลุ่มนักข่าวรุ่นเก่าแก่ ที่เกิดขึ้นในสมัยนายกบรรหาร ศิลปอาชา ในสมัยนั้นท่านไม่ได้เข้ามาพักในบ้านหลังนี้ แต่ก็ได้ใช้เป็นที่ประชุมเรื่อยๆ โดยครั้งหนึ่ง ท่านได้ใช้เป็นที่ประชุมเหล่าสมาชิกผู้ทรงเกียรติของพรรค แล้วในระหว่างที่กำลังประชุมอยู่นั้น นายพวงเล็ก บุญเชียง ส.ส.ของพรรคในขณะนั้น ได้ลุกขึ้นยืนก่อนจะกราดนิ้วชี้ไปยังใบหน้าของผู้ร่วมสมาชิกพรรคทั้งหลายว่า "พวกแกมาทำอะไรกันที่นี่!" ทั้งหมดนี้คือเรื่องอาถรรพณ์ที่เล่าลือต่อๆ กันมา แต่ไม่รู้ว่ามีใครเคยเห็นจริงหรือไม่ รวมไปถึงเรื่องที่มักจะมีเสียงแปลกๆ ดังออกมาจากรูปปั้นต่างๆ ภายในบริเวณบ้าน เช่น ม้า รูปปั้นโรมัน ซึ่งคนงานที่เคยมาอาศัยต่างยืนยัน และมักจะได้ยินกันบ่อยๆ หลายคนตั้งข้อสงสัยไว้หลายอย่าง

ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังนี้ต้นไม่เยอะ ประกอบกับมองจากด้านนอกดึก จะรู้สึกน่ากลัวเลยคิดกันไปเอง หรือการที่นายกหลายๆ ท่านไม่มาพักที่นี่เพราะอาจไม่สะดวกสบายเท่าบ้านเดิม หรืออีกประเด็นที่ว่าตามประวัติบ้านหลังนี้ เจ้าของจำใจต้องขายให้กับรัฐบาล จึงยังมีความผูกพันจนถึงทุกวันนี้ เช่นเดียวกับ บ้านนรสิงห์ ที่ปัจจุบันคือ ทำเนียบรัฐบาล ที่ถูกขายพร้อมกันก็มีเรื่องราวชวนขนหัวลุกลักษณะนี้เช่นกัน


ขอบคุณ : https://www.dek-d.com/teentrends/45167/

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ