ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ผีที่บ้านนาย...อยากตายรึไง กรูจะเอาไปทั้งคันรถเลย


ผีที่บ้านนาย...เมื่อวานมีโอกาสได้อ่านเรื่องผีในพันธิป เรื่อง "ธี่....หยด" นอนหลอนอยู่สักพักแล้วนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่แม่เคยเล่าให้ฟัง 

ช่วงที่แม่มาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ ตอนนั้นอายุได้ 20 ปี ย้ายมาทำงานเป็นแม่บ้านอยู่บ้านนายญี่ปุ่น ที่ประกาศรับสมัครงานตามเสาไฟ บ้านนายตั้งอยู่ย่านหนองจอก สมัยนั้นหนองจอกนี่กันดารมาก แม่บอกว่าบ้านตั้งอยู่กลางทุ่งเลย ละแวกนั้นมีบ้านชาวบ้านอยู่ 2-3 หลัง ส่วนใหญ่เป็นบ้าน 2 ชั้น ใต้ถุนโล่ง ส่วนบ้านนายเป็นปูนชั้นเดียว แต่ค่อนข้างใหญ่ มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องเก็บของ ส่วนแม่จะนอนห้องเก็บของ มีห้องน้ำในตัว ซึ่งห้องแม่จะติดกับห้องลูกสาวนายแต่ห้องลูกสาวนายจะไม่มีห้องน้ำในตัว 

แม่ใช้เบอร์ตู้โทรนัดพบกับนายญี่ปุ่นบริเวณหน้าตลาดแห่งนึงที่เคยเปิดเป็นสวนสนุกมาก่อน แม่เล่าว่าครั้งแรกที่โทรไปไม่ทันมีเสียงตู๊ด ปลายสายก็รับทันที แต่เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงผู้ชาย พูดรัวๆ เร็วมากๆ เร็วจนฟังไม่รู้เรื่องเลย ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นภาษาญี่ปุ่น แม่ก็ฟังไม่รูเรื่อง เสียงพูดรัวมาไม่ถึงนาที สายก็ตัดไป แม่ก็งง เลยหยอดตู้โทรใหม่ คราวนี้เสียงตู๊ด ดังอยู่แป๊บนึง ก่อนจะมีเสียงผู้ชายรับโทรศัพท์ แม่แนะนำตัวเสร็จ ผู้ชายคนนั้นตอบกลับมาด้วยภาษาไทยสำเนียงญี่ปุ่นว่าตกลงๆ เดี๋ยวไปรับ นัดที่เสร็จแล้ว มีรถเก๋งคันนึงมารับ พอขึ้นรถไปแม่บอกว่ารถเหม็นสาบมาก เหม็นเหมือนกลิ่นตัวคนขับไม่ได้อาบน้ำมาเป็นปีๆ ระหว่างทางคนขับรถก็ชวนคุย บอกว่าเป็นคนญี่ปุ่นมาอยู่เมืองไทยหลายสิปปีแล้ว เป็นคนขับรถให้นาย บลาๆ    พอเข้าโซนหนองจอก แม่ก็ได้ยินเสียงแบบตอนโทรศัพท์ครั้งแรกอีก ดังมาจากเสียงวิทยุในรถ คนขับรถก็หันมามองหน้าแม่ เหมือนประมาณว่าแม่จะมีอาการยังไง แล้วก็เอื้อมไปปิดวิทยุ แม่ผมก็พยายามเก็บอาการ ในใจก็เริ่มหวั่นๆ   

ระหว่างทาง รถจะวิ่งผ่านหลายหมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านห่างประมาณ 2-3 กิโลเมตรได้ ร้านค้าที่ใกล้บ้านที่สุดอยู่อีกหมู่บ้านนึง ห่างไปประมาณ 2 กิโลเมตร   เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ตอนที่กำลังเข้าเขตบ้าน รถก็สะเทือนเหมือนมีอะไรบางอย่างขย่มอยู่บนหลังคา คนขับรถก็หันมามองหน้าแม่อีก คราวนี้แม่มองกลับ แบบสื่อให้รู้เลย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่คนขับรถไม่พูดอะไร พอจอดรถ คนขับรถก็พาไปที่ห้องเก็บของที่จัดระเบียบไว้แล้ว ห้องค่อนข้างกว้างพอสมควร ตอนนั้นเวลาประมาณเที่ยง คนขับรถบอกว่าตอนนี้นายออกไปธุระ จะกลับมาก็คงเย็นๆ ส่วนลูกสาวนายก็ไปเรียน พักอยู่หอพัก จะกลับอีกทีก็วันเสาร์ ให้แม่จัดของและพักผ่อนไปก่อน ส่วนตัวเขาจะไปรอรับนายกลับมาอีกทีก็คงเย็นๆเลย ก่อนคนขับรถจะออกไป เขาเดินมาบอกกับแม่ว่า อย่าไปเดินมั่วซั่วในบ้าน ให้รออยู่ในห้อง จนกว่าเขาจะกลับมา 

พอสิ้นเสียงรถที่ขับออกไป แม่ก็เริ่มจัดแจงของใช้ส่วนตัว จัดไปสักพักเลยนึกขึ้นได้ว่าลืมเตรียมแปรงสีฟันมา แม่เลยรีบจัดของให้เสร็จแล้วเดินไปซื้อแปรงสีฟันที่ร้านค้าที่อยู่อีกหมู่บ้านนึง ก่อนออกมาก็ลังเล เพราะไม่มีอะไรล็อคบ้านเลย แต่เมื่อตอนขามาทีแรกก็ไม่เห็นคนขับไขบ้านหรือปลดล็อคอะไร เลยคิดว่าคงไม่มีอะไรหรอก ระหว่างทางที่เป็นดินแดง แม่ได้กลิ่นแปลกๆตลอดทาง กลิ่นเหมือนตอนขึ้นรถมาเลย แต่เป็นกลิ่นจางๆ พอเข้าเขตหมู่บ้านที่มีร้านค้ากลิ่นก็หายไป พอเข้าร้านค้าก็ซื้อแปรงสีฟันกับของอื่นๆด้วย ระหว่างนั้นแม่ค้าที่เป็นป้าแก่ๆก็ถาม ว่าเป็นใครมาจากไหน ไม่คุ้นหน้าเลย แม่ก็บอกไปว่ามาทำงานเป็นแม่บ้านอยู่บ้านนายญี่ปุ่น ป้าก็มองหน้าแต่ไม่พูดอะไร ระหว่างทางแม่รีบเดินกลับบ้าน แต่กลับไม่ได้กลิ่นอะไร พอมาถึงหน้าบ้าน แม่เห็นเหมือนคนเดินออกมาจากห้องเก็บของ แม่เลยรีบวิ่งไปดูในบ้าน ผลปรากฎว่าห้องแม่ถูกรื้อของกระจัดกระจาย ในใจคิดว่าโจรแน่ๆ เลยสำรวจดู ปรากฏว่าไม่มีของอะไรหาย เลยออกมาดูห้องนั่งเล่นก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลยสำรวจห้องอื่นๆ 

ห้องแรกสุดเป็นห้องนอนของนายที่นอนกับเมียเขา ห้องถัดมาล็อค ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องลูกสาว ชมพูหวานแหววเลยและที่ติดกับห้องลูกสาวคือห้องเก็บของที่แม่นอน แม่สำรวจของอีกที ผลปรากฏว่าก็เหมือนเดิม ของทุกอย่างอยู่ครบ แม่เลยต้องจัดของใหม่จนเสร็จ ดูเวลาก็ บ่าย 3 กว่าเข้าไปแล้ว แต่กว่านายจะกลับมาคงอีกนาน แม่เลยจะออกไปเดินเล่น แต่นึกขึ้นได้ว่าคนขับรถบอกว่าให้รออยู่แต่ในห้อง แม่เลยเอนหลังนอนบนเบาะลูกฟูกที่เขาเตรียมไว้ให้ นอนไปสักพักขณะที่กำลังเคลิ้มๆ แม่ได้ยินเสียงกุกๆกักๆอยู่ในห้องที่ล็อคอยู่ ห้องๆนี้ประตูห้องจะตรงกันกับห้องลูกสาวนาย แม่เปิดประตูไปชะเง้อดูก็ไม่มีอะไร พอกลับเข้าห้องมา ปิดประตูปั๊บ เสียงมาอีก คราวนี้แม่ไม่ออกไปดูแล้ว อาการขี้ขึ้นสมองมาแล้ว เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนคนพยายามจะทุบประตูออกมา

แม่เริ่มใจไม่ดีแล้ว ภาวนาให้นายกลับมาไวๆ เสียงดังอยู่ 2-3 นาทีก็เงียบไป แม่ก็เผลอไป แล้วฝัน ฝันว่าเดินอยู่ในที่ไหนสักที่หมอกเต็มไปหมด ในฝันแม่เดินไปไหนสักที่ ไม่รู้ตัวเองจะไปไหน พอเดินไปสักพัก เจอผู้ชายตัวดำๆ ร่างใหญ่นุ่งโสร่งถอดเสื้อยืนอยู่ตรงหน้า เดินเข้ามาหาแม่ด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร แถมท่าเดินก็แปลกๆ คือเขาเดินโดยก้าวขาซ้ายข้างเดียว แต่ขาขวาก็ไม่ได้เป๊นะ คือยกก้าวได้ แต่ใช้ขาซ้ายก้าวอย่างเดียว แขนแนบลำตัวเหมือนคนยืนเคารพธงชาติ    แม่เห็นท่าไม่ดีเลยถอยหลังแล้ววิ่งหนี แต่ผู้ชายคนนั้นยังก้าวเข้ามาเรื่อยๆ   แม่หนีสุดชีวิต จนสะดุ้งตื่นเพราะเสียงคนขับรถมาเรียก ดูเวลาก็เกือบๆ 6 โมงเย็นแล้ว  แม่ล้างหน้าล้างตาก่อนเดินตามคนขับรถมาที่ห้องนั่งเล่น แม่ยกมือไหว้สวัสดีนายญี่ปุ่นกับเมียที่เป็นคนไทย ก่อนจะแนะนำตัว ส่วนนายญี่ปุ่นก็ให้เมียเป็นล่ามให้ มอบหมายหน้าที่เสร็จ สรุปว่าหน้าที่แม่คือ ทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า ล้างจาน ล้างรถ 

ส่วนกับข้าวเมียนายจะเป็นคนทำ บ้านนี้นายค่อนข้างใจดี อยู่ง่ายๆเหมือนครอบครัว  มีกฏข้อเดียวคือห้ามยุ่งกับห้องที่ล็อกอยู่ ตอนนี้แม่รู้ทันทีว่าในห้องมันต้องมีบางอย่างอยู่แน่ๆ   คืนนั้นผ่านไปด้วยดี ไม่มีเรื่องแปลกเกิดขึ้น  เช้าวันถัดมาแม่ตื่นมาตอนตี 5 เพื่อเตรียมลุยงานวันแรก  แม่จะต้องตื่นมาเตรียมขัดรองเท้าให้นาย  ตอนออกมาจากห้องมองไปรอบๆบ้าน ยังดูมืดๆอยู่ แต่แม่ไม่ได้สนใจ  มานั่งขัดรองเท้าอยู่หน้าบ้าน  ขณะที่ขัดรองเท้าอยู่ สายตาดันมองไปนอกบ้านและเห็นชางบ้านคนนึง แบกอุปกรณ์ จอบ เสียม พลั่ว พะรุงพะรัง  ยืนจ้องแม่อยู่หน้าบ้าน  แต่ไม่พูดอะไร  แม่ก็ก้มหน้าก้มตาขัดรองเท้าต่อ  พักเดียวคนขับรถก็ตื่นมาเช็ดรถ  ปัดฝุ่น  แล้วหันมาถามว่า เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ย แม่ก็ตอบไปว่าดีค่ะ  ลุงเขาก็ถามอีก  ไม่เจออะไรเลยหรอ แม่ก็ตอบว่าค่ะ  เช็ดอยู่พักนึง ลุงเดินกลับเข้าไปในบ้านพร้อมพูดเป็นสำเนียงไทยๆเลย บอกว่า เตรียมตัวไว้เถอะ เดี๋ยวเจอแน่   แม่ตกใจมาก หันไปทางที่ลุงเดินเข้าบ้านไป ผลปรากฏว่าลุงหายไปแล้ว  

แม่นึกขึ้นได้ว่าลุงเขาไม่ได้นอนนี่นี่หว่า บ้านมีแค่ 3 คน คือแม่ นาย แล้วก็เมียนาย....แม่วิ่งเข้าห้องเลยครับ ร้องไห้เลยตอนนั้น  ตั้งสติอยู่พักใหญ่จนแสงแดดแยงตา เสียงประตูห้องนายเปิดออก แต่ยังไม่มั่นใจว่าใช่นายแน่รึเปล่าจนเมียนายมาเรียก  แม่เปิดประตูออกมา พอเมียนาย (ขออนุญาตเรียกว่าน้านุช) เห็นแม่ร้องไห้ เลยปลอบใจ  คงรู้ว่าเจออะไรมา  น้านุชถามว่าเจออะไรมา แต่แม่บอกแค่ฝันร้าย  พอนายกับเมียออกไปข้างทำงาน  สิ่งแรกที่แม่คิดคืออยากรู้ว่ามันมีอะไรกันแน่  คนแรกที่แม่อยากถามคือลุงคนขับรถ  แต่แกไม่อยู่  คนต่อมาคือป้าร้านขายของ  แม่เลยรีบจัดการงานบ้านจนเสร็จ  และดิ่งตรงไปร้านขายของทันที  ถามป้าก็ได้ความเลย  ป้าบอกว่าก่อนหน้านี้  ก่อนที่นายจะมาอยู่บ้านหลังนี้  ประมาณ 3-4 ปีก่อน  เจ้าของบ้านคนเก่าเป็นคนฝรั่ง  ได้เมียเป็นคนไทยหน้าตาสวยแต่เป็นผู้หญิงอย่างว่า ได้มาจากสถานเริงรมย์ที่นึง ถูกอกถูกใจกันจึงหาที่สร้างบ้านไว้ให้ผู้หญิงอยู่  แต่ตัวผู้ชายเองทำงานอยู่ต่างประเทศ นานๆจะแวะมาหาผู้หญิงสักที  อยู่มาวันนึง ผู้หญิงไปบอกผัวฝรั่งว่าเหนื่อย ให้จ้างคนมาช่วยงานบ้าน  ผัวฝรั่งก็ตามใจ  

ชาวบ้านแถวนั้นก็ลือว่าคนใช้ในบ้านกับคุณนายแอบชู้กัน  คนใช้คนนั้นคงทำของใส่  เพราะเป็นคนที่อยู่ชายแดนติดเขมร  ยิ่งนานวันผู้หญิงยิ่งหน้าตาหมองคล้ำ  แต่ไม่รู้ไปแอบเล่นชู้กันอีท่าไหน  โดนผัวฝรั่งจับได้  เขาก็ทิ้งเลย  ไม่ส่งเสีย  ผู้หญิงก็เครียด  ไอ้คนใช้หลังจากโดนจับได้ก็หายตัวไปเลย  จนวันนึงชาวบ้านแถวนั้นไปเจอผู้หญิงอีกทีคือเป็นศพแล้ว  ผูกคอตายกับพัดลมเพดานในห้องนอน  ไม่รู้ตายนานแค่ไหน ศพไม่อืด แต่หนังแห้งติดกระดูก   คราบเลือดออกทุกทวารก็แห้งกรัง  ของเสียทั้งเบาทั้งหนักกองเต็มพื้นใต้จุดที่ผูกคอ  กลิ่นเหม็นสาบคละคลุ้งทั่วทั้งห้อง   ป้าบอกว่าตอนตายคงธาตุแตก  เล่าจบก็ถามแม่ว่าเจอผีผู้หญิงหรอ  แม่ก็บอกว่าเปล่า  ที่เจอน่าจะผู้ชายขาเป๊ด้วยมั้ง  ป้าบอกว่าคนใช้มันไม่ได้ขาเป๊นะ แต่เป็นคนตัวดำๆ  ร่างใหญ่  ชอบนุ่งโสร่งถอดเสื้ออยู่บ้าน  แม่เลยคิดในใจว่าใช่แน่  แต่ครั้นจะลาออกเลย ก็กลัวไม่มีกิน  ก็ต้องทนทำไปก่อน  

พอถึงเวลาเที่ยงหน่อยๆ  แม่เริ่มหิวแล้ว  ห่วงบ้านก็ห่วง  กลัวผีก็ก็กลัว  แต่ทำไงได้  แม่ต้องฝืนความกลัว  กลับบ้านก่อน  กลับมาถึงแม่ก็จัดแจงทำกับข้าวกิน  พอทำเสร็จยังไม่ทันกิน  แม่ก็ได้ยินเสียงคนกดกริ่งหน้าบ้าน  จึงรีบวิ่งไปดู  ผลปรากฏว่าคนที่มายืนอยู่หน้าบ้าน  คือ  ชาวนาคนเมื่อเช้า  คราวนี้เห็นหน้าชัดเจน  ดูท่าทางใจดี ไม่มีอันตราย  แม่เดินไปต้อนรับ   "มีอะไรคะ?"  "มาอยู่บ้านนี้นานแค่ไหนแล้ว" ลุงถามแม่ปนยิ้มเล็กๆ  "วันนี้วันที่ 2 ค่ะ"  แล้วลุงแกก็ยอกให้แม่ออกไปคุยนอกรั้ว  แม่เองก็ลังเล  เพราะถึงแกจะดูไม่มีพิษภัย  แต่ก็ไม่ใช่คนรู้จัก  ตอนนั้นแม่ก็คิด แค่หน้าบ้านคงไม่เป็นไร  พอแม่ออกมาหน้าบ้าน  ลุงแกบอกให้แบมือ  แม่ก็แบ  ลุงแกหยิบของบางอย่างให้ ทันทีที่แม่รับมา  เสียงในบ้านก็ดังขึ้น  เพล้ง!!  เสียงเหมือนอะไรสักอย่างตกแตก  ลุงแกหันไปมองในบ้านแล้วหันมาบอกแม่  อย่าให้ห่างตัวนะ รักษาดีๆ   แม่หยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นพระ  องค์สี่เหลี่ยมเล็กๆ  ลุงแกก็บอก  แถวนี้ไม่มีขโมยหรอก  ถ้าเหงาก็ไปนั่งเล่นบ้านลุง  ลุงอยู่กับป้า แค่ 2 คน  แล้วแกก็เดินกลับบ้านไป

จากนั้นแม่เดินเข้าบ้านไปดูต้นตอเสียง  สิ่งทร่เห็นคือจานข้าวแม่แตกกระจาย  แต่ที่แปลกคือเหมือนมีใครปาดข้าวไปหน้าห้องที่ล็อคไว้  แม่เลยทำความสะอาด พอมาถึงบริเวณหน้าห้องก็สังเกตเห็นว่าเหมือนข้าวมันจะถูกปาดเข้าไปในห้องด้วย  แต่แม่ก็ไม่กล้าที่จะเปิดไปทำความสะอาด  แม่ทำเท่าที่ทำได้  ตอนที่แม่ก้มลงไปเช็ดกวาดข้าวหน้าห้อง  แม่เห็นแสงที่ลอดออกมา  เหมือนมีคนเดินไปมาอยู่ในห้อง  แม่รีบเช็ดรีบไปทันที   รีบเข้าห้องไปคว้าพระที่ลุงให้มา  ระหว่างวันนั้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติอีก  เย็นวันนั้นตอนที่นายกับน้านุชกลับมาถึง  น้านุชเตรียมตัวไปตลาดในหมู่บ้านที่อยู่ข้างใน  แม่จึงขอติดรถไปด้วย  กะว่าจะเลี่ยมพระคล้องคอ  ก่อนออกจากหมู่บ้านที่นายอยู่   แม่หันไปเห็นลุงคนเมื่อกลางวันนั่งโบกพัดอยู่ใต้ถุนบ้านที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ข้างๆมีป้าที่เหมือนกำลังตำอะไรอยู่สักอย่าง  ตอนนั้นแม่เลยคิดถึงตากับยายขึ้นมา  นั่งน้ำตาซึมอยู่ในรถ  น้านุชเห็นจึงถามว่าเป็นอะไร  พอแม่บอกว่าคิดถึงบ้าน  

น้านุชเลยบอกว่าวันศุกร์นี้กลับบ้านก็ได้นะ เดี๋ยวให้ลุงโก๊ะไปส่ง (คนขับรถ ชื่อญี่ปุ่นชื่อะไรสักอย่างแต่ขึ้นต้นด้วยคำว่าโกะ น้านุชเลยตั้งชื่อไทยให้ว่าลุงโก๊ะ)  แม่ยกมือไหว้ขอบคุณ   พอกลับจากตลาด แม่เลี่ยมพระเสร็จก็ซื้อสายสร้อยมาด้วย แต่เป็นแบบเส้นยาว  เพราะเส้นสั้นหมด  แม่ก็เลยจำเป็นต้องใช้ไปก่อน  นับตั้งแต่วันนั้นแม่ไม่เจออะไรผิดปกติอีก  จนวันศุกร์  ตอนสายๆ ลุงโก๊ะขับรถไปส่งแม่ที่อนุสาวรีย์เพื่อที่จะขึ้นรถกลับบ้าน  ระหว่างทางก่อนออกหน้าหมู่บ้าน หางตาเห็นชายร่างใหญ่ผิวดำกร้านพอหันไปมองเต็มๆ  ก็หายไป  แม่ได้แต่คิดว่าตาฟาดไป  พอขึ้นรถทัวร์เสร็จ  ระหว่างทาง  แม่รู้สึกว่าเหมือนมีคนมองตลอดเวลา  พอมาถึงปลายทาง  เป็นเวลาประมาณ 4-5 โมงเย็น ฟ้าก็เริ่มโพล้เพล้แล้ว  แม่ส่งจดหมายมานัดน้าชายว่าเจอกันที่ศาลาปากทาง  พอแม่ลงรถแม่ก็เดินเข้าศาลาเลย  แต่จังหวะที่รถออก  แม่หันไปมองพอดี   รถแล่นออกจากหน้าศาลาไม่ถึง 10 เมตร  เรียกว่าแค่ท้ายพ้นศาลาแค่นั้น  รถก็จอดอีก  ประตูเปิดออก  แต่ดันไม่มีคนลงสะงั้น  แม่ก็งงๆ  แม่นั่งรอน้าชายอยู่นานมาก จนพลบค่ำน้าก็ยังไม่มาสักที   พอฟ้ามืดความคิดหลอนๆก็เริ่มกลับมา   ระแวงไปหมด  แต่ก็ไม่เจออะไร  

จนน้ามา  เวลาก็เกือบ 3 ทุ่ม  ถามน้าว่าทำไมมาช้า  น้าก็ไม่พูดอะไร  แต่บิดหน้าตั้งเข้าบ้านอย่างไว  บ้านยายตั้งอยู่ห่างจากท่าจอดรถประมาณครึ่ง ชม.  พอมาถึงบ้าน  น้าชายถึงเล่าให้ฟัง  ว่าออกมาตั้งแต่บ่ายสามแล้ว  แต่พอมาถึงช่วงครึ่งทางเห็นผู้ชายคนนึงโบกรถ พอจอดก็บอกขอไปด้วย  น้าเห็นว่าเป็นทางผ่านเลยให้ขึ้นมาด้วย  ขับมาได้สักพักผู้ชายคนนั้นก็สะกิด  บอกให้จอด  พอน้าจอดรถแกก็ลงแล้วเดินลงป่าข้างทางไปดื้อๆ  ไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ  น้าก็ไม่ได้อะไร  ก็ขับไป แต่ขับเท่าไรก็ขับไม่ถึง  ทางก็ไม่มีทางแยก  แต่ขับไปขับมาก็วนอยู่แค่ตรงที่ผู้ชายมาขอขึ้นรถ  จนคิดว่าไม่ไหวแน่เลยขับกลับแม่มสะเลย  กลับมาถึงบ้านก็คว้าตะกรุดปู่คาดเอวไป  ในใจก็นึกว่าถ้าคิดว่าแน่กว่าตะกรุดพ่อกรูก็มา   ผลปรากฏว่าขับรวดเดียวถึงปลายทางถึงได้รับแม่ผม   ช่วงเสาร์-อาทิตย์นั้นแม่แฮปปี้มาก  ไม่เจอเรื่องร้ายๆ อะไร   แต่ดันมาเกิดกับน้าแทน  วันเสาร์ช่วงสายๆ น้าผมเข้าเมืองไปซื้อยาให้ตา  ทางไปเมืองก็คือทางไปรับแม่ผมนั่นแหละ   น้าบอกขับไปปกติจนถึงทางที่เคยรับผู้ชายขึ้นมา  มีแมวตัวใหญ่มาก  ตอนแรกนึกว่าเสือ พุ่งออกมาจากโพรงหญ้า วิ่งตัดหน้ารถไปอีกฝั่งถนน  น้าเบรคกระทันหันรถคว่ำไถลไปไกลมาก  น้าบอกก็ไม่ได้เจ็บมาก  หันมาข้างทางก็ไม่เห็นแมวแล้ว  แต่เห็นผู้ชายที่น้าเคยรับมายืนอยู่  แต่น้าก็ยังขับรถไปซื้อยาพร้อมทำแผลเสร็จสรรพ 

กลับมาถึง ขาขวาน้าผมพันผ้าก็อตมาทั้งขาเลย  วันอาทิตย์ช่วงประมาณสายๆ   น้าชายขับมอเตอร์ไซค์มาส่งแม่ที่ท่ารถ  ระหว่างเจอพระธุดงค์ 3 องค์   แม่เลยให้น้าจอด  กะว่าจะถวายปัจจัยทำบุญ   แต่พระท่านไม่รับแถมยังทักมาอีก  บอกว่าให้แม่ดูแลตัวเองดีๆ   เขาอาฆาต  ของเขาแรงมาก  แต่ยังดีที่แม่ผมชอบเข้าวัดทำบุญ   พระท่านบอกว่าให้หมั่นทำบุญบ่อยๆ   ของเขาแรงก็จริง  แต่ตอนนี้มันยังทำอะไรไม่ได้  บุญเอ็งยังเยอะ  พูดจบท่านก็เดินธุดงค์ต่อ  น้ามาส่งแม่ที่ท่ารถ  แล้วรอเป็นเพื่อนจนรถมา  รถคันนี้เป็นรถใหม่มาก  น่าจะเพิ่งออกมาหมาดๆ  แม่นั่งช่วงกลางๆรถ  ระหว่างทางรถจอดที่ศาลานึงถัดจากที่แม่ขึ้นประมาณ  4-5 ศาลา  มีผู้หญิงคนนึงเดินขึ้นรถมาตัวเปล่า  ไม่มีกระเป๋าใบใหญ่อย่างคนอื่น  ทั้งๆที่รถสายนี้ปลายทางคือกรุงเทพฯ  ผู้หญิงคนนั้นนั่งอีกฝั่งของที่แม่นั่ง ถัดไปข้างหน้าไม่กี่เบาะ  พอรถเคลื่อนตัวออกไป  ผู้หผู้หญิงคนนั้นหันมาหาแม่แล้วจ้องหน้าแม่อยู่อย่างนั้นจนแม้แต่คนรอบๆยังสงสัย  จนผู้หญิงที่นั่งข้างๆแม่หันมากระซิบถาม ว่ารู้จักกันหรอ  แม่บอกไม่รู้  ผู้หญิงข้างๆถามอีก  มองน่ากลัวจัง  ผีเข้ารึเปล่า  แม่ผมขนลุกซู่ทั้งตัว  แม่ไม่ทันตอบอะไร  ผู้หญิงที่นั่งจ้องหน้าแม่ก็ฟุบลงไป  กลายเป็นผู้ชายเบาะหน้าแทนที่หันมามองแล้วพูดกับผู้หญิงข้างๆแม่ "ชอบเสรือกนักหรอ  อยากลองดีหรอ"  พูดด้วยน้ำเสียงดังมาก  

จนคนขับรถได้ยิน  คนขับรถก็มองกระจกมา  เหมือนท่าไม่ดีเลยจอด  แล้วเดินมาปราม  ผู้ชายที่จ้องหน้าแม่หันไปมองหน้าคนขับรถ นัยน์ตาไม่มีตาขาว มีแต่ตาดำล้วนๆ  คนในรถก็ผงะเลย  หนีลงเลยก็มี  แต่คนขับรถก็ใจดีสู้เสือ  ขับรถต่อไปจนผ่านวัดวัดๆนึง  แกเลี้ยวเลย  เข้าวัดเลย  ไอ้ผู้ชายที่จ้องหน้าแม่หันขวับไปทางคนขับ แล้วตะโกนลั่นรถเลย  "i-Sad อยากตายรึไง  กรูจะเอาไปทั้งคันรถเลย"   คนขับรถก็วิ่งไปตามหลวงพ่อในกุฏิเลย  แต่ตอนนั้นผีมันออกไปสะก่อน  พระท่านมาถึงทุกคนยืนยันว่ามีจริง  พระท่านก็เอาน้ำมนต์มาพรมรอบรถ  แล้วหันไปบอกคนขับ  "ไหว้แม่ย่านางสะบ้าง  ไปหมิ่นเขามาก  เขาก็ไม่อยู่คุ้มครอง"   พอพระท่านเดินมาพรมให้คนบนรถ  มาถึงแม่  พระท่านก็ทัก  "ไปทำอะไรมารึเปล่า"  แม่ก็บอกว่าเท่าที่นึกออกไม่มีค่ะ  พระท่านก็เอาน้ำมนต์ให้ดื่มเลย  แล้วยังบอกส่งท้ายอีก  "ดูแลตัวเองดีๆล่ะ  ออกมาได้ก็ออกมาสะ  ที่ไม่ดีอยู่ไปก็อัปมงคล"  แม่ก็ตอบแค่ค่ะคำเดียว  เมื่อพรมน้ำมนต์เสร็จแล้ว  คนขับรถก็เดินไปส่งหลวงพ่อพร้อมกับถือพวงมาลัยกลับมาพวงนึง  ไหว้แม่ย่านางเสร็จก็ออกเดินทางต่อ  ตอนนั้นก็ 4 โมงแล้ว  ตลอดข้างทาง  ทุกๆศาลาที่ไม่ได้ส่งหรือรับคน  แม่จะเห็นชายนุ่งโสร่งยืนอยู่ทุกศาลา  

เมื่อถึงปลายทาง  แม่ลงรถที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  แต่ก่อนลงก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอบคุณคนขับรถ  พอลงรถเสร็จ  เมื่อรถขับออกไป  แม่เห็นข้างๆรถเปรอะเปื้อนไปหมด  จากที่เคยเป็นรถใหม่ๆ  ตอนนี้เละเทะด้วยคราบอะไรสักอย่างที่เหมือนมีคนเอามือมาป้ายไว้  แม่หยอดตู้โทรศัพท์โทรหาลุงโก๊ะ ให้มารับที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  พอมีคนรับโทรศัพท์ แม่ไม่ทันพูดอะไร  เสียงย้อนสายกลับมาก่อนเลย  "ยังคิดจะกลับมาอีกหรอ"  ด้วยความตกใจแม่วางหูทันที  รวบรวมสติแล้วโทรใหม่  ในใจก็นึกว่าเสียงเมื่อกี้ไม่ใช่เสียงลุงโก๊ะแน่นอน  เพราะสำเนียงไทยแท้ ไม่มีญี่ปุ่นปนเลย   คราวนี่น้านุชเป็นคนรับโทรศัพท์  นัดสถานที่กันเรียบร้อย  ตอนนั้นเวลาระมาณ 5 โมงเย็น  แม่มารอที่ท่ารถ  เลือกที่คนเยอะๆไว้ก่อน  จนลุงโก๊ะมารับ ประมาณทุ่มนึง  แม่สังเกตเห็นว่าลุงโก๊ะถอดวิทยุออกไปแล้ว  แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถามอะไร  ระหว่างทางก็นึกถึงเรื่องที่พระที่วัดทัก ว่าถ้ามีโอกาสให้ออกเสีย  แต่เหมือนตัวขาวตัวดำตีกันอยู่ในหัว  ข้างนึงบอกลาออกเถอะ  อีกข้างบอกเงินดีขนาดนี้  ทำๆไปก่อนแม่กับพ่อ(ยายกับตา) จะได้สบาย  

ขณะที่คิดๆอยู่  จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมา  "กลับไป!!" เป็นผู้ชายตวาดใส่ข้างๆหู  แม่ไม่แน่ใจว่าลุงโก๊ะรึเปล่า  เลยหันไปถาม  ลุงโก๊ะว่าอะไรนะคะ  ลุงบอกยังไม่ได้พูดอะไรเลย  ตอนนั้นทั้งคู่รู้แล้วว่าบนรถไม่ได้มีเพียงสองคนแน่ๆ  ลุงโก๊ะจึงทักแม่ไป  ถ้าเป็นไปได้หาพระดีๆมาติดตัวไว้สักองค์นะ  แม่นึกขึ้นได้เลย  ลืมพระไว้ที่บ้าน  เพราะแม่เลี่ยมแบบสแตเลส  เวลาอาบน้ำกลัวน้ำเข้าเลยต้องถอด  ในใจก็นึก  ถึงว่ากลับมาถึงเจอเรื่องไม่ดีตลอดทาง  พอมาถึงบ้านเห็นบ้านมืดสนิท   เลยถามลุงโก๊ะว่านายกับน้านุชไปไหน  ลุงโก๊ะตอบมาแม่ถึงกับสะอึก  "อ๋อ  เขาไปงานศพลุงกับป้าที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน  หลับอยู่ดีๆก็ตาย  แต่แปลก  ไม่เน่าไม่อืด  แต่ผิวแห้งติดกระดูก  ของเสียกองเต็มที่นอนไปหมด  มาเข้าฝันน้านุช  ให้น้านุชไปดู  ถึงได้รู้ว่าตาย"   แม่ฟังคำตอบแล้วใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม  ตัดสินใจเขียนจดหมายไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้ยายกับตาฟัง   

คืนนั้นแม่ไม่ได้นอนทั้งคืน  ห้องที่ล็อกอยู่ลากอะไรไม่รู้เดินวนไปวนมาเสียงเหมือนเหล็กหรืออะไรสักอย่าง   คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ลูกสาวนายกลับมาบ้าน  อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน  อาจจะแก่หรืออ่อนกว่าไม่เกินปีสองปี คืนนั้นช่วงตีสองกว่าๆ  แม่ได้ยินเสียงลูกสาวนายอ้วก  แล้วกดชักโครกอยู่หลายครั้ง  แต่ก็ไม่ได้อะไร  เพราะกังวลกับเสียงลากเหล็กที่เพิ่งจางหายไปเมื่อกี้มากว่า  แต่จะไม่สนก็ไม่ได้  เพราะลูกสาวนายเล่นอ้วกหนักมากๆ  อ้วกชนิดเหมือนคนแพ้ท้องเลย  แทบจะทุกๆ 5 นาทีและทุกครั้งจะอ้วกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ  จนช่วง ตีสามแม่ตัดสินลุกไปด้วยความเป็นห่วง  แต่ก็ไม่ได้เคาะ  เพราะถึงเคาะมาก็คุยไม่รู้เรื่อง  มายืนฟังอยู่สักพักถึงนึกขึ้นได้  ห้องลูกสาวนายไม่มีห้องน้ำนี่หว่า  ละเสียงใครวะ  แม่กระโดทีเดียวถึงที่นอนเลย  ทันทีที่เข้ามานอนในห้อง  แม่คลุมโปง  ร้องห่มร้องไห้หนักมาก  แต่นั่นยังไม่จบ  ตอนนั้นไม่ใช่แค่เสียงแล้ว  แม่บอกว่าแม่รู้สึกได้เลยว่ามีคนเดินอยู่บนที่นอน ย่ำไปย่ำมา  จนแม่ไม่ไหวแล้ว  กรี๊ดออกมาสุดเสียง  แต่เหมือนจะไม่มีใครได้ยิน  แม่บอกว่าตอนนั้นไม่ไหวแล้ว  ด่ากราดเลย  สารพัดสารเพที่นึกคำด่าได้  ด่าจนมันหยุดเดิน  

สุดท้ายแม่วิ่งออกนอกบ้านไป  ยืนอยู่หน้าบ้าน  คิดไว้ในใจว่ายังไงวันนี้กรูต้องออกไม่กลับเข้าไปเด็ดขาด  ตอนที่มองบ้านสุดหลอนอยู่  แม่ก็เห็นว่ามีคนยืนอยู่บนหลังคารถ  ไม่ใช่แค่คนเดียว  แต่อยู่  3-4 คน  ในหัวแม่ตอนนี้คิดแต่จะวิ่ง  แต่ขามันก้าวไม่ออกยืนอยู่ยังงั้นจนแดดออก  นายออกมาเจอเหมือนเขาจะตะโกนเรียกน้านุช  น้านุชวิ่งออกมา  เห็นแม่ยืนร้องไห้อยู่  จึงค่อยๆปลอบไปถามไป  น้านุชบอกว่าครั้งนี้เล่นแรงไปแล้ว  วันนั้นน้านุชลางานแล้วพาแม่ไปหาหมอ ที่แกรู้จักอยู่แปดริ้ว  พอมาถึงหน้าบ้านหมอ หมาหอนกันเกรียว  รถดับ  ขับต่อไม่ได้  น้านุชจึงพาแม่เดินเข้าเลย  แต่พอลงรถมาผลปรากฏว่าหมามาไล่กัดจนเข้าใกล้บ้านหมอไม่ได้เลย  น้านุชจึงพาแม่ไปนั่งในรถ  ตอนนั้นแม่ร้องไห้เหมือนคนสติแตก  พอแม่น้านุชเดินคนเดียว หมากลับไม่เห่าไม่ไล่กัด  แต่กลับมายืนหอนอยู่รอบรถที่แม่อยู่  พอน้านุชเข้าบ้านหมอไป  ทีนี้แม่ยิ่งโดนหนัก  ทั้งทุบรถ  ทุบกระจก  บอกให้เปิดบ้าง  ไล่กลับบ้านบ้าง  หมาก็หอนไม่เลิก  แม่ได้แต่ยกมือไหว้ หลับหูหลับตาร้องไห้  

จนน้านุชเดินออกมาพร้อมพ่อหมอ เหตุการณ์ถึงสงบ  พอพ่อหมอมาถึงก็รับแม่ขึ้นบ้านไป  ทำพิธีอยู่พักนึง  ก่อนจะผูกสายสิญจน์ให้   ขากลับน้านุชจึงเล่าทุกอย่างให้ฟัง  ว่าในห้องที่ปิดตาย  จริงๆเป็นห้องของคนใช้เขมรมาก่อน  ส่วนห้องที่ผู้หญิงผูกคอตายคือห้องลูกสาว  ผลตรวจศพบอกว่าเธอตายขณะที่มีเด็กในท้อง  แต่ไม่รู้แน่ว่าลูกใคร  ส่วนคนใช้เขมรก็กลายเป็นบ้าหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นผูกคอตาย  อาการเหมือนคนเล่นของแล้วทำผิดกฏ  ของจึงเข้าตัว  เพิ่งตายเมื่อก่อนที่แม่จะมาได้ไม่กี่เดือน  ชาวบ้านเจอศพเขานอนอยู่ทางเข้าหมู่บ้าน  หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นตาย  ทุกๆคืนนายกับน้านุชจะได้ยินเสียงคนสวดภาษาเขมรแบบรัวๆ เร็วๆ อยู่ในห้องข้างๆ  เสียงมันดังน่ากลัวจนแม่บ้านคนเก่าลาออก  นับแต่นั้นนายก็เริ่มตามหาบ้านใหม่ทันที  จะมีแต่ลูกสาวที่ไม่เคยเจออะไรเพราะไม่ค่อยอยู่บ้าน   น้านุชบอกว่าก็คงไม่ว่าอะไรถ้าจะออกตอนนี้  แม่ผมไม่ลังเล  เมื่อกลับถึงบ้านก็เก็บข้าวของตอนนั้นเลย  พอเดินมาหน้าบ้านเพื่อรอน้านุช  แต่สิ่งที่แม่ไม่หายสงสัย คือ คนมากมายที่ยืนอยู่บนรถ  น้านุชอาสาขับรถไปส่งถึงบ้านแม่ที่ต่างหวัด  ตลอดทางไม่เจอเหตุการณ์อะไรผิดปกติ  มีอย่างเดียวที่คาใจแม่คือเรื่องบนหลังคารถ  เมื่อกลับมาถึง  แม่เล่าทุกอย่างให้ยายฟัง  แล้วเอาพระมาคล้อง  เช้ารุ่งขึ้นอีกวัน ยายพาแม่ไปทำบุญ  เล่าให้พระอาวุโสฟัง  ท่านก็ดูดวงให้  ท่านบอกว่าหมดเวรกรรมกันแล้ว  เขาไม่ราวีแล้ว  เขาไปตามคนที่ทำเขาแทน  แม่ก็งงๆ  แต่ก็โล่ง  อย่างน้อยตัวเองก็หมดพันธะแล้ว



หลายปีผ่านไป  แม่มีผมแล้ว  และเอาพระไปเลี่ยมทองให้ผมใส่ตอนเด็กๆ (ขอบอกว่าตอนเด็กๆ ผมกัดเล่น ทองยู่หมดเลย -.-)  น้านุชมาทำธุระแถวบ้านแม่  น้านุชเตรียมหาที่ไปตั้งโรงงาน  แต่หาไม่ได้ เพราะชาวบ้านไม่ขาย  เลยแวะมาหาแม่ผม  ถามสารทุกข์สุขดิบกันพักนึง  แม่จึงถามถึงลุงโก๊ะ  น้านุชทำหน้าเจื่อนๆ แล้วบอกว่าแกเสียแล้ว  ขับรถชนไฟเสาตายคาที่  หลังจากวันนั้น ตัวที่อยู่ในห้องก็หายไปเลย  พระที่วัดที่จัดงานบอกว่าลุงโก๊ะนี่แหละ  ที่เขาอาฆาต  ใครดีกับลุงโก๊ะเขาเกลียดหมด  แล้วไม่ใช่แค่คนเดียว  พระท่านบอกไม่รู้ชนมากี่คน  แต่วิญญาณที่อาฆาตเขาเยอะมาก  สรุป นายไม่ได้ย้ายบ้าน  ใช้ชีวิตปกติ  แม่เข้ามาทำงานกรุงเทพ  แต่ไม่ได้ทำที่เดิม  หลังจากนั้นแม่ก็ยังไม่เคยเจอน้านุชอีกเลย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ