ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เมื่อผมสู้กับผีในโรงพยาบาล"ไงล่ะโดนสินะ เลื่อนผ้าห่มตรูดีนัก!!" - ห้องเตียงคู่


ขอเกริ่นก่อนเลยนะครับว่าโดยส่วนตัวผมเองแล้วเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับแต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นงมงายซะจนเชื่อไปทุกอย่างนะครับ เพียงแต่ว่าตัวเองเจอมาบ่อยตั้งแต่เด็กๆ อย่างที่เข้าใจกันแหละครับ คนเจอก็เชื่อคนไม่เคยเจอพูดยังไงก็ไม่เชื่ออยู่ดี แต่เรื่องที่อยากจะเล่าครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตาเนื้อของตัวเอง แบบชัดๆ ไม่ใช่แว๊บไปแว๊บมาเหมือนที่เคยเจอ เริ่มเลยแล้วกันครับ

ตอนที่ 1 : ปฐมบท...ช่วงปลายปีที่แล้วผมป่วยหนักเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธ์เอ ตอนแรกอาการก็เหมือนคนเป็นไข้หวัดธรรมดานี่แหละครับแต่เป็นติดต่อกันประมาณ 3 วัน ได้แต่นอนซมอยู่ที่ห้องพัก ไม่มีเรี่ยวแรงไข้ขึ้นสูง พอที่เข้าวันที่ 4 รู้สึกตัวเองเริ่มไม่ไหวเลยโทรให้น้องที่ทำงานพาไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ผมไปรักษาตัวเป็นประจำนี่แหละครับ น้องเค้าขับรถพาผมไปถึงที่โรงพยาบาลประมาน 10 โมงเช้า พยาบาลเห็นว่าอาการหนักเลยให้รอหมอแล้วนอนรออยู่ในห้องฉุกเฉินให้ยาแก้ไข้ รักษาตามอาการมาเรื่อยๆโดยที่ยังไม่รู้ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ จนสักเที่ยงกว่าๆคุณหมอก็มาตรวจผลออกมามีไข้สูงมาก 40 กว่าๆ เลยขอให้ผมนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ส่วนน้องที่มาส่งขอกลับไปทำงานต่อเนื่องจากมีงานด่วนต้องรีบทำ ผมก็นอนรอไปเรื่อยๆเพื่อที่จะย้ายไปอยู่เตียงประจำ ด้วยความที่ผมเจออะไรพวกนี้มาบ่อยผมเลยบอกพยาบาลว่าขอนอนห้องเตียงรวม ไม่นอนเตียงเดี่ยว เพราะไม่มีคนมาเฝ้าด้วยไม่อยากให้ญาติพี่น้องต้องมาลำบาก และไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นอะไรมาก
          
จนแล้วจนรอดผมนอนรอแล้วรออีก ตั้งแต่เที่ยงที่หมอตรวจจนถึงประมาน 6 โมงเย็นก็ยังหาเตียงให้ไม่ได้ แต่ได้ยินพยาบาลคุยกันว่าข้างบนมีเตียงว่างอยู่เตียงนึงทำไม่ไม่รับขึ้นไป แล้วได้ยินเค้าโทรเช็คให้ตลอดแต่ก็ยังไม่ได้ย้ายขึ้นไปสักที จนสัก 3 ทุ่มพยาบาลเปลี่ยนเวรมาอีกชุดก็พูดคำเดิมว่าทำไมไม่ย้ายเตียงนี้ขึ้นข้างบน แล้วก็ได้ยินเสียงโทรประสานอีก ตอนนั้นผมเริ่มไม่คิดอะไรหละมึนๆยา ง่วงๆหลับๆตื่นๆ สะดุ้งอีกทีมีพยาบาลมาปลุกเหลือบดูนาฬิกาก็ประมาณ 5 ทุ่มกว่าได้ บอกให้ย้ายขึ้นไปเตียงข้างบนชั้น 6 ห้องรวมไม่มีเตียงว่าง แต่เป็นห้องคู่ได้ไหม ผมบอกได้อย่างน้อยก็มีคนนอนเป็นเพื่อนกัน พอขึ้นมาถึงที่ห้องก็เจอเตียงข้างๆเขานอนติดหน้าต่างปิดผ้าม่าน ส่วนผมนอนติดกำแพงห้องน้ำ สภาพของเตียงข้างๆเป็นลุงอายุสัก 50 กว่าๆ ตัวผอมเกร็ง ผมนอนมองหน้าเค้าแวปนึงเห็นแต่ตาขาวๆ แทบจะมองไม่เห็นตาดำ สภาพแบบช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย อยู่กับเมียเค้าซึ่งมาเฝ้าอยู่ พยาบาลถามผมว่าจะอาบน้ำก่อนทานยานอนไหม ผมบอกว่าไม่มีแรง ขอให้เช็ดตัวให้หน่อยพยาบาลก็มารุมเช็ดตัวให้ 3-4 คน 

พอเสร็จพยาบาลถามผมว่าจะเปลี่ยนชุดไหมผมบอกว่ายังก่อนเพราะคิดว่าคงนอนดูอาการอย่างเดียว เช้าคงกลับบ้านได้ สักพักพยาบาลก็ออกไปกันหมดเหลือแต่ผม คุณลุงและแฟนของแกซึ่งกำลังจะกลับบ้าน ลุงแกก็คุยกับผมดีอยู่ถามว่าเป็นอะไร บลาๆๆ ตามประสาคนป่วยคุยกัน ผมจะโทรบอกที่บ้านแต่มือถือกลับแบตหมดพอดี ผมเลยขอยืมที่ชาร์ตจากแฟนลุง แกบอกว่าไม่ได้ติดมาด้วย แต่แกกำลังจะกลับบ้านพรุ่งนี้เช้าแกจะเอามาจากที่บ้านให้ ผมก็เลยไม่ได้บอกใครเลยคืนนั้น จากนั้นพยาบาลก็เอายามาให้ ผมกินยานอนไป ลืมบอกไปว่าเสื้อที่ผมใส่นอนเป็นเหมือนเสื้อกันหนาวมีตราของมหาวิทยาลัยที่ผมจบมาเป็นรูปธรรมจักร(ที่ต้องบอกเพราะมันมีเหตุผล) สรุปคืนนั้นก็นอนหลับไปด้วยความเพลียมาก มีไข้ หนาวสั่น จนถึงตอนประมานตี 5 พยาบาลมาปลุกบอกผลตรวจเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอให้ผมสวมแมสตลอดเวลาเพราะกลัวไปติดลุงข้างๆ เท่าที่รู้แกเป็นโรคเกี่ยวกับช่องท้องอะไรสักอย่าง คืนแรกผ่านไปด้วยดี 

จนมาช่วงสายๆ คุณหมอบอกผมว่าคงต้องนอนพัก 4-5 วันถึงจะหายเพราะไข้ยังสูงอยู่ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาบน้ำแต่พยาบาลเอาชุดของโรงพยาบาลมาเปลี่ยนให้ วันนั้นผมก็นอนซมอยู่ทั้งวัน แต่ที่สังเกตได้อย่างหนึ่งก็คือคุณลุงแกจะไม่ยอมให้แฟนแกเปิดม่านหน้าต่างเลย แกบอกผมว่าแสบตา แกถามผมว่าอยู่มืดๆได้ไหม ผมก็บอกแกไปว่าสบายมากผมชอบมืดๆหลับสบายดี ระหว่างวันนั้นผมก็หลับๆตื่นๆ ส่วนแฟนแกมาแป๊บเดียวเพราะแกบอกจะต้องรีบไปขายของ ซื้อขนมมาฝากผมด้วย พร้อมกับเอาที่ชาร์ตแบตมาให้ผมเสียบชาร์ตไว้ แต่ผมก็ยังไม่มีโอกาสที่จะบอกใคร มีแต่ที่ทำงานโทรมาถามอาการผมเลยบอกว่าหมอให้นอน 4-5 วัน กว่าจะหาย สรุปวันนั้นนอนทั้งวัน พอตอนเย็นมีแรงลุกนั่งบ้างเลยสงสัยที่ปลายเตียงมียาที่ผมต้องกินตามรอบวางอยู่เต็มไปหมด เลยแอบสงสัยว่าทำไมพยาบาลไม่ปลุกผมเวลาเอายามาให้ ปกติทั่วไปพยาบาลต้องถามชื่อคนไข้ บอกว่ายาต้องกินยังไงนิ งง แต่ก็ไม่เอะใจอะไร คุณลุงเตียงข้างๆก็ถามผมจะกินข้าวกินปลาไหม เห็นนอนทั้งวัน ผมบอกไม่หิว จากนั้นก็ต่างคนต่างนอน ที่ผมจำได้คือปิดไฟมืดหมดเหลือแต่ไฟหน้าห้องน้ำ สีแดงๆที่ส่องมาถึงแค่ปลายเตียงของผม แต่หากมองไปทางเตียงของคุณลุงจะเห็นแกนอนชัดเจน ที่จำได้ติดตาคือสายตาเวลาแกหันหน้ามาเจอกับผมแกมองตาแข็งๆ เห็นตาขาวเยอะๆตาดำไม่ค่อยจะมี แล้วเรื่องของเรื่องก็เกิดขึ้นคืนนี้แหละครับ

ตอนที่ 2: มันเริ่มแล้ว...หลังจากที่ผมทานยาเสร็จ ก็นอนหลับไปด้วยความมึนๆ เพลียๆ อีกทั้งยังมีไข้สูงหนาวสั่น จนไม่รู้ตัวว่าหลับไปนานเท่าไหร่ กระทั่งมีความรู้สึกว่ากำลังจะพลิกตัวจากที่ตัวเองนอนหงาย มาเป็นนอนตะแคง เท่านั้นแหละ โครมมมมม..... ได้ยินเสียงดังมากก และก็รู้สึกเหมือนตัวเองลอยตกมาจากเตียงพร้อมเสียงของอุปกรณ์การแพทย์พวกถ้วย ชาม แสตนเลสหล่นลงมาด้วย อารมณ์ประมาณกึ่งหลับกึ่งตื่น คิดในใจแค่ว่า เห้ยยย กรูนอนตกเตียงเหรอ เลยกะว่าจะหันตัวกลับขึ้นไปมองที่เตียง ปรากฎว่าลืมตาได้นิดๆ พยายามเท่าไหร่ก็ลืมตาไม่ขึ้น ขยับตัวก็ไม่ได้ ได้เพียงแต่กรอกตาไปมา มองเห็นแสงไฟจากหน้าห้องน้ำที่สาดมาปลายเท้าตัวเองงงง เลยพยายามจะพลิกตัวให้ได้ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ลืมตาได้นิดๆ หันคอได้หน่อยๆเหมือนเดิม จากนั้นผมก็พยายามกวาดตามองไปทั่วๆอีกครั้ง มองเห็นเหมือนกับว่าตัวเองนอนอยู่ใต้เตียง ทั้งยังพอมองเห็นโครงเหล็กของเตียงพยาบาลได้ในเงาสลัวๆ แต่ตัวก็ยังขยับไม่ได้อีกอยู่ดี ยังพยายามที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆ พอที่จะหันหัวกลับไปด้านหลังได้ กลับมีความรู้สึกว่าเหมือนมีคนเอาแขนมากอดผมไว้แน่น เอาขาล็อคตัวไม่ให้ขยับ แต่ที่ทำให้ตกใจสุดๆคือตอนที่จะหันหน้าพลิกกลับไปดูว่าใครรรรร กลับเจอสายตาคู่นั้นเลย ตาขาวๆ มองตาเเข็งๆ หน้าผอมแห้ง ตัวดำๆ ใช่เลยยยยย อิลุงเตียงข้างๆนี่เองงงง 
          
ตอนนั้นสติผมเริ่มมาบ้างแล้ว คิดในใจว่าเห้.. แล้ว กรูโดนเข้าแล้วสิ จะขยับปากพูดก็ไม่ได้ ได้แต่สบถในใจออกมามากมาย รู้ว่าด่าไปเยอะมาก 555 %$%$&^%% คำหยาบทั้งนั้น นานโขอยู่แต่ก็ดิ้นไม่หลุดสักที สักพักก็ได้ยินเสียงกระซิบมาข้างหูเบาๆมาว่า อย่าด่าเลย... กรูชอบ... น่ารักดี... ขอกอดหน่อยยยย ในใจคิดกรรมแหละ เลยด่าออกไปอีกรอบ ไม่เอา กรูไม่ชอบเมิง ขยะแขยง สัต.....%$^&@*^%^ ด่าไปอีกชุดใหญ่ ก็ยังไม่หลุด เลยตั้งสติใหม่ กลับมาสวดมนต์ สวดอิติปิโส ยังไม่ทันจะจบบทดีนัก ก็พลิกตัวกลับมานอนหงายได้เฉยเลยยยย แต่ว่าตัวเองกลับนอนอยู่บนเตียงปกติ ไม่ได้ตกไปอยู่ใต้เตียงอย่างที่เข้าใจแต่แรก ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย แอบมองดูนาฬิกาแขวนที่ปลายเตียงเห็นเข็มเรืองแสงบอกเวลาประมาณตี 1 นิดๆ...

เลยคิดในใจว่า กรูโดนแล้วเต็มๆเลย เอาวะลองสักตั้ง ด้วยความที่เคยเจอมาบ่อย ถ้ามาถึงภาวะแล้วนี้จะไม่มีความกลัวหลงเหลืออยู่เลย(ใครเจอบ่อยๆจะเข้าใจ) นึกได้ว่าด้วยความเพลียก่อนอนเลยยังไม่ได้ไหว้พระสวดมนต์ ไม่ได้ซื้อเตียง ไม่ได้ไหว้เจ้าที่เจ้าทางหรือทำอะไรทั้งสิ้น รวมกับคืนแรกที่นอนไม่เจออะไรเลยคิดว่าปลอดภัยแน่แล้ว ผมพยายามลุกขึ้นมานั่ง เปิดไฟฉายจากมือถือ หันไปมองอิลุงข้างๆ นอนตะแคงตัวมาหันหน้าทางผมในความมืดสลัวๆ เลยตั้งจิตสวดมนต์ หยิบเงินจากกระเป๋าตังค์(สมบัติเพียงชิ้นเดียวที่ติดตัวมา คือกระเป๋าตังค์เพราะไม่คิดว่าจะได้นอนโรงพยาบาล) 20 บาทออกมาซื้อเตียง พร้อมอธิฐานว่าข้าพเจ้าขอซื้อเตียงนี้เป็นสมบัติของข้าฯ อย่าให้มีสิ่งใดที่เป็นอันตรายเข้ามาในอณาเขตของข้าฯ โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต หากมีสิ่งใดรุกล้ำเข้ามาขอให้มันมีอันเป็นไป หากเป็นผีสางนางไม้ก็ขอให้มันตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด บลาๆๆๆ แล้วลองหาของศักดิ์สิทธิ์มาวางบนหัวเตียง เจอแต่ฮู้(เขียนแบบนี้หรือเปล่าไม่รู้) มันคือยันต์ของคนจีนที่เจ้านายเคยไว้ให้ป้องกันตัวตอนตรุษจีน เป็นกระดาษพกใส่ไว้ในกระเป๋าตังค์ 3 ผืนมาวางเรียงไว้ พระจากในรถก็ไม่ได้หยิบมา เห้อออออ ในใจคิดว่าแค่นี้น่าจะปลอดภัยหละ

หลังจากนั้นก็ล้มตัวนอนหงาย พยายามควานหาเสื้อกันหนาวที่ใส่มาตอนแรกก็ไม่เจอเลยคิดว่าช่างมัน หยิบผ้าห่มมาห่มไว้ประมานแค่อก จำได้ดีเลยว่านอนหงายเอามือ 2 ข้างวางไว้ข้างลำตัว เท้า 2 ข้างเหยีดตรงแต่ขัดกันที่ปลายเท้าไว้เป็นเคล็ดว่าเรายังไม่ตายนะ 5555  จากนั้นก็หลับตาลง แต่ก็ยังไม่ทันจะหลับสนิทดีนัก เหมือนจะสลึมสลือ เคลิ้มๆ ก็เริ่มมีความรู้สึกอย่างนึงขึ้นมา..... อันนี้แหละเด็ดมาก ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเจออะไรแบบนี้

ตอนที่3 : สู้กันสักตั้ง...หลังจากที่ผมเริ่มนอนหลับตาไปสักพัก กำลังเคลิ้มๆ ช่วงที่กำลังจะหลับสนิทนั้น ผมก็เริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างบนตัวผม นั่นคือผ้าห่มที่ผมเอามาห่มไว้ประมาณช่วงอกนั้น มันค่อยๆเลื่อนลงไปเองอย่างช้าๆ ผมงัวเงียลืมตามองขึ้นมาในเงาสลัวๆ เห็นมันค่อยเลื่อนลงไปเรื่อยๆ ผมเลยมองตามจากชายผ้าลงไปจนถึงปลายเท้า ท่ามกลางแสงไฟที่สาดมาจากหน้าห้องน้ำ ผมก็เห็นสิ่งหนึ่งที่ปลายเตียง ตอนแรกไม่แน่ใจตัวเองว่าฝันไปไหม ผมลองกระพริบตาตัวเองถี่ แอบชำเลืองมองกะภาพที่เห็นนั้น โดยที่ไม่กล้าจะมองชัดๆ ให้เต็มตาเพราะกลัวสิ่งนั้นมันจะรู้ตัว พร้อมกับเห็นผ้าห่มค่อยๆเลื่อนลงจากตัวอย่างช้าๆ แน่นอนหละ ไม่ใช่ฝันแน่ เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาจริงๆที่เห็นอะไรชัดๆด้วยตาเนื้อแบบนี้ พิมพ์ไปนี่ขนลุกไป เพราะภาพที่เห็นตอนนั้นยังติดตาและจำได้ดีคือ...

จากแสงไฟที่สาดมาทางปลายเตียงนั้นผมเห็นเงาของคนรูปร่างผอมเกร็ง ตัวดำๆ แต่ที่เห็นชัดมากคือ ตาขาวๆคู่นั้น พร้อมกับภาพที่เค้าพยายามก้มตัวลักษณะโก่งหลังค่อมปลายเตียง เพื่อไม่ให้ตัวเขาโดนขอบเตียง(ถ้าเรานึกภาพออกเตียงของโรงพยาบาลปลายเตียงมันจะมีที่กั้นสูงๆ) พยายามเอื้อมเอามือ 2 ข้างของเขาค่อยๆมาดึงผ้าห่มผมลงไปเรื่อยๆๆ ผมคิดในใจ ยังไม่เลิกอีกเหรอ อีกส่วนหนึ่งคิดไปได้ว่าที่อธิฐานซื้อเตียงตะกี้มันคงได้แค่เตียงสินะ ส่วนข้าวของบนเตียงมันยังจับต้องได้ ผมละสายจากจากสิ่งที่เห็นมามองภาพชายผ้าห่มที่ค่อยๆเลื่อนจากอกลงไปเรื่อยๆอีกครั้ง ในใจคิดไปอีกไม่ใช่ใช่ฝันแน่กรู จนชายผ้ามันเลื่อนไปจนถึงช่วงเอวซึ่งเป็นช่วงที่ตรงกับมือของผมที่วางไว้ข้างลำตัวพอดี วินาทีนั้นผมจึงตัดสินใจจับชายผ้าห่มแล้วกระชากขึ้นมาสุดแรง ภาพที่เห็นคือเงานั้นที่มันไม่ได้ทันระวังตัว ตอนที่ผมกระชากผ้าห่มขึ้นมานั้นแขนของมันไปโดนขอบเตียงพอดี ผมเห็นมันรีบสะบัดแขนเล็กๆของมันออกจากขอบเตียง และสะบัดไปมาอย่างนั้น สักพักสายตาของมันหันมาสบกะสายตาผมอย่างจัง ขอบอกเลยว่าอารมณ์นั้นผมยิ้มมุมปาก แอบขำใจในนิดๆ ไงหละเมิงงงง โดนหละสิ แล้วมันก็ค่อยๆหายไปในความมืดดดด

ผมพยายามลุกขึ้นมานอนพิงหมอน ในใจคิดว่าจะกดปุ่มเรียกพยาบาลมาดีไหม เริ่มชักจะทนไม่ไหวแล้ว เห็นชัดๆแบบนี้ แต่พยายามหาปุ่มกดเรียกมะเจอ เหลือบดูนาฬิกาประมาณตี 2 ครึ่ง จึงตัดสินใจเอาวะลองสู้กะมันอีกสักครั้ง คราวนี้ลุกขึ้นมานั่งตั้งจิตอธิฐานเพิ่ม ว่านอกจากเตียงที่ซื้อไว้เป็นอาณาเขตของตัวเองแล้ว ข้าวข้องทุกชิ้นที่อยู่บนเตียงนี้ก็อย่าได้มีอะไรมาแตะต้องได้เช่นกัน พร้อมคำสาบเช่งต่างๆนาๆไว้ จากนั้นผมสวดมนต์คาถาบูชาพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ที่คุณตาผมสอนเอาไว้ให้ป้องกันตัวตอนเด็กๆ พึงระลึกถึงบุญบารมีของพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองนับถือ ซึ่งตอนนั้นยอมรับเลยว่าตัวเองไม่มีอะไรปกป้องยึดเหนี่ยวเลย พยายามอธิฐานอ้างถึงความดี กุศลผลบุญต่างๆที่ตัวเองเคยประพฤติปฎิบัติมาเป็นเกราะปกป้องคุ้มครองตัวเองจากนั้นก็ล้มตัวลงนอนด้วยความเพลียเพราะพิษไข้ที่ยังมีอยู่

ตอนแรกก็หลับไปได้แบบไม่รู้ตัว แต่มันไม่จบแค่นั้นนะสิ... ผมรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาเรื่อยๆ สะดุ้งตื่นเป็นพักๆ ชำเลืองมองนาฬิกาดูว่าจะตี 5 หรือยัง เหล่าแก๊งค์นางพยาบาลจะได้เข้ามาสักที แต่ยัง นี่มันแค่ตี 3 กว่าๆเอง จะลุกก็ยังไม่กล้าออกจากเตียง พยายามข่มตาหลับไปเรื่อยๆ อั้นฉี่ไว้ หลับตาลงไปสักพักไฟในห้องก็เปิดขึ้นนนนน


ตอนที่4 : ยังไม่หยุดใช่ไหม(ตอนนี้จัดไปยาวๆ เอาให้จบเรื่องไปเลย)...หลังจากที่ไฟในห้องถูกเปิดขึ้นมาได้สักพัก ในช่วงที่ผมกำลังอยู่หลับตาพอที่จะเห็นแสงมากระทบกับเปลือกตาอยู่นั้น ก็มีความรู้สึกว่ามีคนบางคนกำลังเดินวนเวียนอยู่รอบๆเตียงของผม เดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้นสักพัก ผมก็เอะใจคิดว่ามีนางพยาบาลเดินมาดูจะได้ลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำได้สักที เลยลืมตาขึ้นมาดู เปล่าเลยยย ยังไม่มีนางพยาบาลเข้ามา แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นลุงเตียงข้างๆ ที่เดินวนไปวนมารอบๆเตียงของผม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแกเต็มๆตัว เต็มๆตาแบบนี้ เป็นผู้ชายวัย 50 กว่าอย่างที่บอกตอนแรก สภาพผอมเกร็งเหลือแต่หนังติดกระดูก ตัวดำๆ ดวงตาปูดๆโปนๆออกมา ตาขาวเยอะๆ ลูกตาดำเหลือนิดนึง สูงสัก 160 กว่าๆเห็นจะได้ แขนขาเล็กๆยาวๆ  กำลังเดินวนรอบๆเตียงจากทางซ้าย วนไปปลายเตียง วนไปทางขวา วนไปวนมาอย่างนั้นเหมือนหาอะไรสักอย่าง ซึ่งสายตาแกก็จ้องมองมายังตัวผมที่นอนอยู่บนเตียงตลอด 

ผมเกิดความสงสัยจึงถามแกออกไปว่า “ลุง ลุกขึ้นไหวแล้วเหรอ” แกตอบกลับมาเหมือนเสียงเล็กๆว่า “พอไหวหละ” ผมเห็นสภาพแกแบบนั้นเลยถามแกต่อว่า “ทำไมลุงผอมขนาดนี้” แกตอบมาโดยไม่ได้สบตากับผมแต่กวาดตามองผมที่นอนอยู่บนเตียงว่า “อยู่นี่มาแรมเดือนหละ ยังไม่ได้กินอะไรเลย” ผมแอบสงสัยกับสิ่งที่แกมองหา ผมเลยถามกลับไปอีกว่า “ลุงจะเอาอะไรไหม ให้ผมช่วยหาไหม” คราวนี้แกหันมามองหน้าผมแล้วตอบกลับมาว่า “ ไม่มีอะไร ปวดฉี่ไม่ใช่เหรอ ให้ลุงพาเข้าห้องน้ำไหม”(เห้ยยย แกรู้ได้ไงว่าผมปวดฉี่) ตอนนั้นผมยังไม่เอะใจอะไร แต่คิดในว่าก็น่าจะดีปวดฉี่มากกกก ไม่ไหวหละ ผมตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไรลุง เดี๋ยวผมลุกไปเข้าห้องน้ำเองก็ได้” แกก็ได้แต่ยืนรอข้างเตียงอย่างลุกลี้ลุกลน ผมเองก็พยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่ด้วยความเพลียหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ พยายามลุกเท่าไหร่ก็ลุกไม่ขึ้น เอาแขนยันข้างๆลำตัวเพื่อจะดันตัวเองขึ้น ก็ทำได้แค่ยกตัวขึ้นได้นิดๆหน่อยๆ  

พอลุงแกเห็นผมลุกขึ้นมาไม่ได้ แกเลยอาสาที่จะช่วยดึงผมลุกขึ้นด้วยอาการกระวนกระวายแปลกๆ ผมก็บอกกลับไปว่าดีเหมือนกันผมลุกไม่ขึ้นเลย ไม่รู้เป็นไร มึนยารึเปล่าก็ไม่รู้ จากนั้นลุงแกพยายามปัดข้าวของออกจากตัวผม ไม่ว่าจะเป็นผ้าห่ม หมอน ที่วางอยู่บนตัวผมออกไป ปัดของไปพลางสะบัดมือไป ตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรกะแกมากนัก คิดแต่ว่าทำไมตัวเองลุกไม่ขึ้น สุดท้ายแกยื่นมือของแกมาเพื่อที่จะช่วยจะดึงตัวผมให้ขึ้นมาจากเตียงให้ได้ ผมก็ใช้มือของผมจับมือที่เล็กๆผอมๆของแกเอาไว้ ดึงตัวเองเพื่อที่จะลุกจากเตียงให้ได้ คราวนี้ดีขึ้น ดึงตัวเองขึ้นมาจนหัวพ้นจากหมอน จนเกือบจะนั่งได้แล้ว แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นสิ เพราะมันเหมือนมีแรงกระชากแบบแรงมากมาจากด้านหลัง รู้ตัวว่าถูกกระชากแรงมากกกก จนมือที่ผมจับไว้กับลุงหลุดออกจากกันนนน หัวของผมตกมากระทบกับหมอนอย่างแรง หลังจากนั้นผมก็ลืมตาขึ้นมาจริงๆ กวาดตามองไปรอบๆ ห้องทั้งห้องยังอยู่ในสภาพเดิม คือมืดๆ สลัวๆ มีเพียงแสงไฟที่สาดมาจากหน้าห้องน้ำถึงปลายเท้าผมเท่านั้น

นั่นไง เอาแล้ว ผมคิดในใจ เล่นกันตัวๆ ไม่ได้ จะเล่นกันผ่านจิตแล้วใช่ไหม จะเอาจิตผมออกจากร่างให้ได้ใช่ไหม เท่าที่ผมคิดได้ตอนนั้นคือโชดดีมากที่จิตไม่หลุดออกไปตามแก ไม่งั้นจะเป็นยังไม่รู้ถ้าออกจากเตียงนี้ไป คงเป็นเพราะคำอธิฐานที่ตัวผมภาวนาไว้ให้เป็นเกราะป้องกัน แล้วดึงรั้งผมไว้กับเตียงแบบนั้นเองงงง ไม่เลิกแบบนี้กรูไม่ทนแล้วนะ ตอนนี้ผมรู้สึกแค่ว่าโมโหมาก คนไม่สบายจะหลับจะนอน จะพักผ่อนจะมากวนอะไรนักหนา ผมลุกขึ้นมานั่ง แล้วหยิบมือถือจากข้างหมอนขึ้นมา เปิดยูทูป หาบทสวดนี่เลย คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งได้ยินมาว่าผีกลัวสุดๆถ้าได้ยิน พอเจอผมก็เปิดเลยสุดเสียงจากมือถือ เสียงบทสวดออกมาจากลำโพงมือถือ ผมก็ล้มตัวลงไปนอนสักพัก คราวนี้นอนไม่หลับ โมโห ฟังเสียงบทสวดไปเรื่อยๆ 

สักพักได้ยินเสียงลุงเตียงข้างๆ(คราวนี้เป็นเสียงแกจริงๆหละ) ครางอือออออ อือออออ มาเป็นพักๆ พอบทสวดจบลง ผมหยิบมือถือมาเปิดบทสวดชินบัญชร 10 บทต่อเนื่องกันสมทบไปอีก เหมือนคราวนี้ลุงแกจะจนทนไม่ไหวมั้ง แกบ่นออกมาจากปากว่าร้อนๆ สักพักแกก็กดเรียกพยาบาลมาเช็ดตัวให้แกหน่อย แกร้อน แกบอกกับพยายาลอย่างนั้น ผมก็นอนนิ่งเงียบ ฟังเสียงบทสวดชินบัญชรไปเรื่อยๆ สลับกับได้ยินเสียงครวญครางมากจากลุงเตียงข้างๆ อืออออออ อือออออ ไม่เกิน 10 นาที เหล่าแกงค์นางพยาบาลก็เข้ามา 3-4 คน เปิดไฟแล้วมารุมเช็ดตัวให้แก ผมเหลียวมองดูนาฬิกาที่ปลายเท้า ตี 4 กว่าๆ เห็นเหล่าพยาบาลมากันเยอะแยะขนาดนั้นผมก็เลยกล้าพอที่จะลุกไปเข้าห้องน้ำ(อั้นมานานมากกก กรูปวดโว้ยยยย) แต่ก็ยังเปิดคาถาชินบัญชรทิ้งไว้อย่างนั้น พยาบาลได้ยินทุกคนแน่นอน พอเช็ดตัวลุงเสร็จแล้ว พยาบาลคนนึงก็หันมาถามว่าผมจะเช็ดตัวไปเลยไหม เพราะเขาเห็นว่าผมยังไม่นอน ผมเลยตอบกลับไปว่า ยังดีกว่า ยังไม่ได้นอนเลย ขอนอนก่อน พยาบาลก็พากันออกจากห้องไป คราวนี้ผมก็นอนหลับไปอย่างสบายพร้อมเสียงสวดชินบัญชร และเสียงลุงคราง อืออออ อือออออ มาเป็นระยะๆ

บทส่งท้าย(ตอนนี้ไม่มีผี แต่อยากให้อ่าน เขียนยากที่สุดหละตอนนี้)...เช้าวันต่อมา ผมงัวเงียตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงของแฟนลุงเข้ามาในห้อง พร้อมกับเก็บข้าวของที่แกหอบหิ้วใส่ถุงมาวางไว้ตรงโซฟาข้างหน้าต่าง ผมยกมือไหว้สวัสดีแก ป้าแกถามผมว่านอนหลับสบายดีไหม อาการดีขึ้นหรือยัง ผมเหลือบตามองไปยังลุงเตียงข้างๆที่นอนหลับตาอยู่ แล้วตอบไปว่านอนไม่ค่อยหลับ กว่าจะได้นอนก็เกือบจะเช้าหละ หันไปมองนาฬิกาก็ 9 โมงกว่าๆ เกือบ 10 โมง จากนั้นป้าแกก็เก็บข้าวเก็บของแกต่อ ผมหยิบมือถือขึ้นมา บทสวดชินบัญชรที่เปิดทิ้งไว้น่าจะจบไปนานแล้วระหว่างที่ผมหลับสบายอยู่นั้นแหละ จากนั้นรีบเปิดดูไลน์เพราะไม่ได้เปิดอ่านมาสองสามวันได้ เห็นแม่กะน้องที่อยู่ต่างจังหวัดส่งข้อความมาหลายข้อความ เลยตอบกลับแกไปว่ามานอนโรงพยาลได้สองคืนแล้วแต่ไม่เป็นไรมาก ไม่ต้องเป็นห่วง พร้อมกับตอบไลน์คนอื่นไปเรื่อยๆ

สักพักผมได้ยินเสียงป้าแกปลุกลุงให้ตื่นขึ้นมากินข้าว เพราะป้าแกจะได้ป้อนข้าวต้มอาหารมื้อเช้าที่โรงพยาบาลเอามาวางไว้ให้ ผมได้ยินแกเรียกลุงอยู่สามสี่ครั้งพร้อมเขย่าตัว ตาหมานๆๆ (เออ! เพิ่งรู้ว่าแกชื่อหมาน) ก็ได้ยินเสียงตอบจากลุงเบาๆ พร้อมกับบอกว่าร้อน ป้าแกก็บ่นไปเรื่อยของแกว่าร้อนอะไรแอร์เย็นจะตาย มาๆ ตื่นมากินข้าว ผมละสายตาจากมือถือดูแก 2 คนแปบนึง จากนั้นก็ได้ยินเสียงลุงแกบอกว่าเช็ดตัวแกให้ก่อน แกร้อน ป้าแกก็ไปเตรียมน้ำใส่กะลามังเล็กๆพร้อมผ้าขนหนูมาเช็ดให้ จากเช็ดหน้า ลงมาที่คอ หน้าอกมาเรื่อยๆ ปลายหางตาแอบเห็นป้าแกดึงแขนลุงออกมาจากผ้าห่มเพื่อจะมาเช็ดตัวให้ เวลานั้นเองผมได้ยินเสียงป้าแกโวยวายออกเสียงดังออกมาว่า “ตาหมานนนนน เมื่อคืนแกไปทำอะไรมา แขนเป็นรอยอะไรเต็มไปหมด” พอสิ้นเสียงผมงี้รีบหันไปมอง ได้ยินเสียงลุงครางตอบไปในลำคอ งือออ งือออ แค่นั้น ผมคิดในใจว่าเห้ยยย ตกลงเรื่องเมื่อคืนมันเป็นไงกันแน่ ทำไมแขนลุงถึงได้มีรอยอะไรขนาดนั้น หลักฐานชัดแบบนี้แสดงว่าเมื่อคืนเป็นเรื่องจริงใช่ไหมมมม แล้วผมก็เห็นป้าแกเช็ดตัวไป บ่นพึมพำไป ส่วนตัวผมเองรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้น เลยพยายามลุงมานั่งกินข้าวที่วางไว้ปลายเตียง ผมยังเห็นแก้วเล็กใส่ยาวางไว้อีก 2-3 ชุดที่ผมไม่ได้ตื่นขึ้นมากินเพราะวันก่อนลุกไม่ไหว แถมพยาบาลก็ไม่ปลุกขึ้นมากินอีกต่างหาก

พอสายๆหน่อยสัก 10 โมงกว่าๆ คุณหมอเวรก็เดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาลเข้ามาในห้อง มาตรวจร่างกาย วัดไข้ให้ผม แล้วบอกว่าตัวยังร้อนอยู่เลย ไข้ยังไม่ลด แต่!!! คุณหมอกลับบอกว่าขอให้ผมกลับไปนอนพักที่บ้านจะได้ไหม หมอรู้ดีว่าคนไข้ยังไม่หายดีคงอีกสัก 2-3 วัน แต่อยากให้ไปนอนพักที่บ้านแทน ถ้ามีอะไรฉุกเฉินค่อยมาที่โรงพยาบาลใหม่ เพราะเหตุผลคือกลัวผมเอาไข้มาติดกับคุณลุงที่นอนอยู่ด้วยกัน(เห้ออออ ไล่กันแบบนี้ก็ได้เหรอ) แต่เว้นช่วงไปนิดนึง คุณหมอพูดอีกทีว่า แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆจะนอนต่ออีกสักคืนก็ได้นะ ผมแอบยิ้มแล้วคิดในใจว่าผมอะไหว แต่ลุงข้างๆผมนี่แหละจะไหวไหม 5555  พอหมอเดินออกห้องไปผมบอกกับพยาบาลว่าผมกลับไปพักที่บ้านก็ได้ครับ เกรงใจลุงเค้า พยาบาลบอกได้เลย เดี๋ยวจะไปเตรียมเอกสารให้เซ็นต์ข้างนอกที่เค้าท์เตอร์นะ ให้เก็บข้าวเก็บของแล้วตามออกมาเลยก็ได้

ผมก็พยายามลุกขึ้นจากเตียง เก็บสมบัติข้าวของของตัวเองที่อยู่บนเตียง ไปเจอเสื้อกันหนาวที่ใส่มาวางกองอยู่ปลายเท้านู้น เก็บของเสร็จก็คิดว่าจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่คิดไงก็ไม่รู้ ได้แต่เดินไปล้างหน้า ดูตัวเองในกระจกหัวฟูฟ่อง เลยเอาน้ำลูบๆผมลงหน่อย ไม่กล้าอาบน้ำซะงั้น เดินออกจากห้องน้ำ เอาที่ชาร์ตแบตไปคืนป้า พร้อมคุยกับลุงบอกลุงว่าขอให้หายไวๆนะครับ ผมไปก่อนหละ ยกมือไหว้แกทั้ง 2 แล้วก็ออกจากห้อง เดินตามทางมาเรื่อยๆเพื่อจะไปที่เค้าท์เตอร์พยาบาล เพิ่งจะรู้ว่าห้องที่ผมนอนเป็นห้องที่อยู่เกือบสุดท้ายของตึกแล้ว กว่าจะเดินไปถึงเค้าท์เตอร์พยาบาลก็ไกลอยู่ เดินวนไปวนมา พอมาถึงเค้าท์เตอร์ พยาบาลคนนึงก็หยิบเอกสารมาให้เซ็นต์เป็นส่วนของค่าใช้จ่ายที่ผมต้องเบิกกับประกัน+ประกันสังคม ตอนที่ผมกำลังเซ็นต์เอกสารอยู่นั้น พยาบาลคนนั้นก็ถามมาว่า "เมื่อคืนเจออะไรหรือพี่ เห็นเวรเช้าบอกพี่เปิดบทสวดมนต์จากมือถือตอนเมื่อเช้า" ผมเงยหน้ามองสบตาแล้วยิ้ม แล้วตอบกลับไปว่า “แล้วห้องนั้นมีอะไรหละ” แล้วพยาบาลอีกคนนึงเหมือนจะเดินมาฟัง แต่ก็ได้ยินคำตอบกลับมาก่อนว่า “ไม่มีอะไรนะคะ” ผมก็เลยตอบไปว่า “งั้นก็ไม่มีอะไรครับ” พร้อมกับยิ้ม แล้วก็เดินเข้าลิฟท์ลงไปที่ล๊อบปี้ของโรงพยบาล

พอลงมาถึงชั้นล่าง ผมเดินไปซื้อของที่ร้าน S&P แอบเห็นคนรอบๆตัวมองตามผมกันหลายคน ผมไม่แปลกใจหรอกที่คนจะมอง เพราะว่าสภาพของผมตอนนั้นคือคนที่ไม่ได้อาบน้ำมา 3-4 วัน หัวฟูๆ ใครที่เห็นผู้ชายๆตัวสูงๆ ขาวๆ สภาพนั้นเดินไปซื้อของที่โรงพยาบาลแถวประชาชื่นช่วงเที่ยงๆ บ่ายๆ คนนั้นก็ผมเองแหละ 55555 จากนั้นผมก็ขึ้นแท็กซี่กลับไปนอนพักที่ห้องต่ออีก 2-3 วันกว่าจะหายจากไข้ แล้วก็ไม่ได้สนใจกับลุงเตียงข้างๆผมอีกเลยว่าแกจะหายดี หรือเป็นยังไงต่อไป...
จบแล้วจ้า........ ดีจัยยยยย

ขอบคุณที่ติดตามนะครับ https://pantip.com/topic/37098707

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ