ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

หนีไม่พ้นผี...ขนาดหนีลงมาที่ล๊อบบี้ ยังตามมาหลอกจนได้!!


เหตุการณ์เกิดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกําแพงเพชร เมื่อประมาณห้าปีที่ผ่านมา คุณกอล์ฟทำอาชีพเป็นนักจัดรายการวิทยุ และรับเป็นพิธีกรในงานอีเว้นท์ต่างๆ ช่วงนั้นช่องของคุณกอล์ฟได้สิทธิ์ในการถ่ายฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลการหนึ่ง

หน้าที่ของคุณกอล์ฟคือต้องไปเป็นพิธีกรให้อีเว้นท์นี้ โดยปกติแล้ว ทางฝ่ายจัดจะเป็นคนจัดการหารถและที่พักไว้ให้ทีม แต่บังเอิญวันนั้น คุณกอล์ฟรู้อยู่ก่อนแล้วว่าโรงแรมที่ทางฝ่ายจัดได้จัดหาไว้ให้นั้น มีประวัติค่อนข้างเยอะ ทำให้คุณกอล์ฟไม่อยากที่จะเข้าพักในโรงแรมแห่งนั้น เมื่อถึงวันงาน คุณกอล์ฟสแตนบายในงานจนบอลจบประมาณสี่ทุ่ม และต้องอยู่เคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จก่อน กินเวลาไปจนถึงห้าทุ่ม รุ่นพี่ที่เคยรู้จักกันคนหนึ่ง รู้ว่าคุณกอล์ฟได้มาทำอีเว้นท์ที่นี่ จึงได้ชวนคุณกอล์ฟออกไปดื่มต่อ คุณกอล์ฟก็คิดในใจว่าเข้าทางพอดี คืนนี้จะได้ไม่ต้องนอนที่โรงแรม จึงตกลงออกไปด้วยกัน และมีช่างเทคนิคในทีมตามไปด้วยหนึ่งคน จนเวลาล่วงไปถึงตีหนึ่ง แต่พอดีว่าช่างเทคนิคได้ไปคุยถูกคอกับสาวเสริฟ และได้ออกไปต่อกันที่อื่นสองคน โดยขอเอารถที่นั่งมาด้วยกันไปด้วย เท่ากับว่าเหลือคุณกอล์ฟกับรุ่นพี่สองคน รุ่นพี่จึงอาสาไปส่ง แต่ตัวคุณกอล์ฟเองไม่ได้อยากนอนโรงแรมที่ทางฝ่ายจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว จึงขอวานให้รุ่นพี่ไปส่งอีกโรงแรมหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก

เมื่อไปถึงโรงแรมอีกแห่ง คุณกอล์ฟรีบตรงเข้าไปขอเปิดห้องทันที รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเปราะนึง ที่หลุดมาจากโรงแรมผีเฮี้ยนตรงนั้นได้ แต่เมื่อลองพิจารณาดูดีๆ โรงแรมแห่งนี้ก็น่ากลัวไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ตั้งของโรงแรมจะอยู่สุดซอย บริเวณโดยรอบแทบจะไม่มีบ้านเรือนเลยสักหลัง ปลูกต้นไม่ต้นใหญ่ไว้หลายต้นจบแทบจะไม่เหลือที่โล่ง ถ้าตอนกลางวันมันคงจะเป็นพื้นที่ที่ร่มรื่นและสวยงามอยู่ไม่น้อย แต่ในยามกลางคืนแบบนี้บรรยากาศมันเป็นคนละเรื่องกันเลย ลักษณะของโรงแรมจะเป็นปูนที่ตกแต่งด้วยไม้ สภาพยังไม่เก่ามากแต่ก็ไม่ใหม่ มีสี่ชั้น เปิดไฟสีส้มๆไว้เพียงไม่กี่ดวง ห้องโถงใหญ่ถูกตกแต่งด้วยไม้ทั้งหมด ดูๆแล้วก็น่าขนลุกพิลึก

เมื่อได้ห้องแล้ว คุณกอล์ฟเดินถือกุญแจขึ้นไปบนชั้นสี่ บรรยากาศด้านในจะดูสลัวๆ แม้ว่าจะมีไฟดวงเล็กๆที่ติดอยู่ข้างฝาผนังช่วยส่องสว่างให้ แต่มันก็ยังคงดูมืดทึบเกินไปอยู่ดี และตั้งแต่ที่เข้ามาในโรงแรม คุณกอล์ฟได้ยินเพียงแค่เสียงฝีเท้าของตัวเอง ย่ำลงบนพื้นไม้ดัง "ตุ๊บ..ตุ๊บ..ตุ๊บ" ที่นี่มันช่างดูไร้ชีวิตชีวา เหมือนว่าตนเองได้เข้าพักในโรงแรมแห่งนี้เพียงคนเดียว คุณกอล์ฟมายืนอยู่หน้าห้องสุดทางเดิน ประตูทำด้วยไม้อย่างดีมีลวดลายสวยงาม พยายามมองเลขห้องจากกุญแจ ว่าตนเองมาถูกห้องหรือเปล่า พรางคิดในใจว่าทำไมที่นี่ต้องใช้ไฟสีส้มด้วย มันดูสวยกว่าไฟสีขาวก็จริง แต่มันทำให้ดูมืดทึบกว่า และไหนจะมีโคมไฟที่ติดอยู่ข้างฝาผนังแค่ไม่กี่ดวง ทำให้แทบจะมองไม่เห็นประตูห้องที่อยู่สุดทางห้องนี้เลย คุณกอล์ฟเปิดประตูแล้วก้าวขาเข้าไปในห้อง กลิ่นอับรุนแรงพุ่งปะทะจมูกจนต้องเอามือขึ้นมาป้องจมูกไว้ พร้อมๆกับควานหาสวิทช์ไฟแถวๆข้างฝา เมื่อไฟติดส่องให้เห็นสภาพของห้อง มีเฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่อย่าง ด้านขวามือจะเป็นทีวี ถัดขึ้นไปจะเป็นเตียงไม้หลังใหญ่ ถัดไปอีกจะเป็นประตูออกไปนอกระเบียง ส่วนด้านซ้ายมือจะมีตู้เสื้อผ้าไม้หลังใหญ่ และถัดไปจะเป็นประตูห้องน้ำ ซึ่งจะตรงกับประตูทางเข้าห้องพอดี

ภายในห้องมีฝุ่นจับเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้เยอะมากจนเกินจะรับได้ คุณกอล์ฟไม่คิดอะไรมาก เพราะนี่มันก็ดึกมากแล้ว จึงเดินตรงเข้าอาบน้ำทันที เสร็จแล้วก็ปิดไฟนอนเปิดทีวีดู พร้อมกับเล่นมือถือไปด้วย แต่ในระหว่างที่คุณกอล์ฟกำลังนอนเล่นมือถืออยู่เพลินๆ หูมันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดัง "กึกๆ" เสียงมันเบามากจนแยกไม่ออกว่าต้นเสียงมาจากที่ไหน คิดว่ามันคงจะมาจากห้องข้างๆ จนมันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ "กึกๆ..กึกๆ" คราวนี้แน่ใจแล้วว่าเสียงมันดังอยู่ในห้องนี้ และน่าจะเป็นเสียงตู้ไม้หลังใหญ่ที่อยู่ปลายเตียง "กึกๆ..กึกๆ" คุณกอล์ฟเริ่มสงสัย คิดในใจว่าเป็นเพราะอาการเมาหรือเปล่า แต่ก็แย้งในใจว่าดื่มไปไม่เยอะเท่าไหร่ และตอนนี้ก็ยังรู้สึกตัวอยู่ คุณกอล์ฟค่อยๆละสายตาจากมือถือ แล้วมองไปยังตู้เสื้อผ้าปลายเตียง ปรากฏว่าตู้มันค่อยๆแง้มเปิดออก "แอ๊ดดดดด ดด ด" พร้อมกับมีผู้หญิงคนหนึ่งก้าวขาลงมาจากในตู้ เธอใส่เสื้อกล้ามสีน้ำเงิน กางเกงยีนส์ขาสั้น หน้าตาสะสวย ผิวสีขาวออกซีดๆ

คุณกอล์ฟตาเบิกโพลง ตัวแข็งทื่อ รู้สึกขนลุกตั้งไปทั้งตัว ขยับร่างกายไม่ได้เพราะกำลังอยู่ในอาการช็อค เธอคนนั้นค่อยๆเดินผ่านปลายเท้าของคุณกอล์ฟไปทางขวาอย่างโซซัดโซเซ เหมือนคนอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ต้องเรียกว่ากำลังพยุงร่างกายของตัวเองมากกว่า เธอมาหยุดอยู่ทางขวามือของคุณกอล์ฟ โดยหันหน้าเข้าฝาผนัง ตอนนี้คุณกอล์ฟรู้สึกจุกที่หน้าอก เพิ่งรู้ว่าการหายใจเข้าออกมันช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกิน อยากร้องตะโกนออกมาดังๆว่าช่วยด้วย แต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลยแม้แต่ปาก ไม่กี่อึดใจ เธอค่อยๆหันหน้ามาทางคุณกอล์ฟช้าๆ ทำให้ได้เห็นใบหน้าของเธอแบบชัดๆอีกครั้ง ใบหน้าซีกคล้ำ นัยตาเศร้าหมองไร้แววของคนมีชีวิต แต่บางครั้งเหมือนกับว่ามีความโกรธแค้นอาฆาตแฝงอยู่ด้วย ขยับริมฝีปากซีดๆเล็กน้อย เหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่าง

ความอดทนของคุณกอล์ฟมาถึงขีดสุด จนอารมณ์หลุดจากการควบคุม ดีดตัวลุกขึ้นจากเตียง กระโดดก้าวเดียวไปถึงหน้าประตู แล้วกระชากมันเปิดออกอย่างแรง มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่นั่งตัวสั่นอยู่บนโชฟา ในห้องโถงใหญ่หน้าเคาน์เตอร์ พนักงานต้อนรับสองคนที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์ในตอนแรกกลับหายไป ทำให้ห้องโถงใหญ่ในเวลานี้ดูเงียบเชียบและวังเวงกว่าตอนที่เข้ามาครั้งแรกมากทีเดียว เวลาเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนหน้าหงุดหงิด เมื่อคลายความหวาดกลัวลงบ้างแล้ว คุณกอล์ฟจึงหยิบมือถือขึ้นมาดู และตั้งใจว่าจะขอนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้า ทบทวนว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิตดี จะโทรไปหาเพื่อนก็กลัวไปขัดจังหวะความสุขของเพื่อน สักพักใหญ่ๆมีผู้ชายคนหนึ่ง ลักษณะการแต่งตัวประมาณเสี่ยโรงตี๋ เดินโผล่มาจากตรงไหนไม่ทราบได้ มานั่งอยู่บนโชฟาข้างๆคุณกอล์ฟอย่างเงียบๆ ชายคนนั้นเอ่ยปากถามคุณกอล์ฟว่า "ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะครับพี่"

คุณกอล์ฟตอบออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อยว่า "เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอกครับ" อาจเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เพิ่งจะประสบมาหรืออะไรก็แล้วแต่ ทำให้คุณกอล์ฟรู้สึกไม่ค่อยอยากคุยด้วยเท่าไหร่นัก
ชายคนนั้นพูดขึ้นว่า "พี่รู้มั้ย..คนเราทำอะไรซ้ำๆเนี่ย..มันเจ็บปวดแล้วก็ทรมารมากนะ" ด้วยความมึนงงและแปลกใจ คุณกอล์ฟจึงหันไปมอง ชายคนนั้นพูดขึ้นอีกว่า "พี่รู้มั้ย..ผมรักผู้หญิงคนนึงมาก..มากจนผมไม่คิดว่าเค้าจะหักหลังผมได้" สิ้นเสียงคำพูด ชายโรงตี๋ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ควักเอาแท่งดำๆออกมา แล้วยกมันขึ้นมาระดับเดียวกับศีรษะ และเกิดเสียงดังลั่นคล้ายฟ้าฝ่า "เปรี้ยง!!" ภาพที่เห็นทำให้คุณกอล์ฟสติหลุดรอบสอง ร้องตะโกนโวยวาย กระโดดพุ่งตัวออกห่างจนแทบจะหน้าทิ่ม แล้วหันกลับไปดูเพราะความหวาดกลัวปนความอยากรู้ ผู้ชายคนนั้นนอนกองอยู่กับพื้น ในลักษณะนอนตะแคงข้าง หันหน้ามาทางคุณกอล์ฟ ทำให้คุณกอล์ฟมองเห็นว่าเค้าจ้องมองมาด้วยดวงตาที่อาฆาตแค้น เลือดสดๆค่อยๆไหลออกจากศีรษะของชายคนนั้น ฉาบพื้นไม้จนเป็นสีน้ำตาลเข้ม คุณกอล์ฟอยากตะโกนออกมาดังๆอีกครั้ง แต่ทำได้เพียงแค่อ้าปากค้าง เนื้อตัวสั่นเทาเพราะความหวาดกลัว

อึดใจต่อมา พนักงานหญิงสองคนก็วิ่งออกมาดู และร้องถามคุณกอล์ฟว่า "พี่!! พี่เป็นอะไร" คุณกอล์ฟพูดอะไรไม่ออก เหมือนคนที่อยู่ในอาการช็อคเต็มที่ ทำได้เพียงแค่ชี้ไปทางศพของผู้ชายคนนั้น แต่พนักงานทั้งสองคนก็ต้องทำหน้ามึนงง รวมทั้งคุณกอล์ฟด้วย เพราะตรงจุดนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากชุดโชฟา คุณกอล์ฟอึ้งไปพักใหญ่ๆ ทบทวนว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่คิดจนหัวแทบระเบิดก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ จึงหันไปถามกับพนักงานด้วยเสียงสั่นๆว่า "น้อง! นี่มันเกิดอะไรขึ้น" แต่พนักงานหญิงทั้งสองกลับยืนนิ่ง ไม่ยอมพูดหรือตอบอะไรคุณกอล์ฟบ้างเลย คล้ายกับเข้าใจเหตุการณ์แล้ว แต่พูดออกมาไม่ได้ สักพักมีลุงยามคนหนึ่งเดินเข้ามาหา คงเป็นเพราะได้ยินเสียงคนเอะอะโวยวายเมื่อครู่ ส่วนคุณกอล์ฟเองก็เริ่มหมดความอดทนอดกลั้น จึงซักไซ้เอาคำตอบมาให้ได้ ได้ความว่า ก่อนหน้านี้ประมาณสามอาทิตย์ที่ผ่านมา มีชายหญิงคู่หนึ่งพักอยู่ในห้องที่คุณกอล์ฟขึ้นไปพัก ฝ่ายชายได้ฆ่าฝ่ายหญิง แล้วยัดศพไว้ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นตนเองก็ลงมายิงตัวตายที่โชฟาหน้าเคาร์เตอร์ กว่าจะพบศพของฝ่ายหญิงก็เข้าช่วงเที่ยงของอีกวัน

และตั้งแต่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ห้องนี้ก็ไม่ได้เปิดให้ใครเข้าพักอีกเลย แต่อาจเป็นความโชคร้ายของคุณกอล์ฟ ที่พนักงานเผลอหยิบกุญแจห้องนี้ให้โดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก หรืออาจจะอยากให้คุณกอล์ฟเข้าไปลองของเล่นๆดู และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด

เล่าโดย : คุณกอล์ฟ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ