ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เรื่องเล่าไม่ควรเล่า : เผาทั้งเป็น


เรื่องนี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านของเพื่อน จขกท ค่ะ เพิ่งเกิดเมื่อประมาณปี 2555 เองค่ะ ตอนนั้นพวกเราเรียนมหาวิทยาลัยกันอยู่ ก็มีเรื่องมาแชร์กันแก้ว่างประจำ แล้วเล่าเรื่องผีที่ไร ก็มักไม่ยอมกลับหอกันทุกที ก็กระจุกอยู่หอคนใดคนนึงนั่นแหละค่ะ เรื่องหนึ่งที่จำได้ดีคือเรื่องเล่าจากดาด้า เพื่อนสาวประเภทสองหนึ่งเดียวในแก๊งค์เราเองค่ะ

หมู่บ้านของดาด้ามีสาวประเภทสองเยอะมาก และในอำเภอนั้นก็มีแก๊งค์สาวประเภทสองแทบทุกหมู่บ้าน คนเหล่านี้สร้างความสนุกสนานเฮฮาให้กับพวกเราอย่างดีจริงมั้ยคะ พี่อาจ สาวประเภทสองรุ่นใหญ่ อายุอานามก็สามสิบปลายๆ พี่อาจเป็นสาวประเภทสองที่แต่งหญิงเต็มตัว รูปร่างใหญ่โต ผิวเข้ม หน้าตาเค้าโครงผู้ชายชัดเจน พี่อาจเป็นที่รักของบรรดาสาวประเภทสองในหมู่บ้าน รวมทั้งดาด้าด้วย ดาด้ามักมีเรื่องตลกของพี่อาจมาเล่าให้ฟังเสมอ ดาด้าเรียกพี่อาจว่าขุ่นแม่ เวลาดาด้าเล่าเรื่องพี่อาจพวกเราก็หัวเราะท้องแข็งทุกที พี่อาจเป็นขวัญใจของคนในหมู่บ้าน เป็นคนสนุกสนานเฮฮา แกไปที่ไหนก็มีแต่เสียงหัวเราะ แกไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครโดยตรง มีแต่บรรดาลูกๆ สาวประเภทสองของแกไปหาเรื่องมาให้แกปวดขมับเสมอ เรื่องผู้ชายบ้างล่ะ เรื่องหมั่นไส้กันบ้างล่ะ สัพเพเหระ ถึงอย่างนั้นพี่อาจก็เคลียร์ได้เสมอ เพราะแกเป็นผู้ใหญ่ ถ้าลูกๆของแกไปตบตีสาวประเภทสองต่างหมู่บ้าน แกก็ไปประกันตัว ไปเสียค่าปรับ ไปเคลียร์ให้แทบทุกกรณี ทุกคนจึงเคารพและเกรงใจพี่อาจมาก กฏเหล็กของแก๊งพี่อาจคือ ห้ามตีผู้หญิง เพราะเป็นเพศแม่ หากใครฝ่าฝืน พี่อาจจะตัดขาดทันที ซึ่งเรื่องก็สงบสุขมาตลอด ไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้

วันหนึ่ง มีหมอลำอยู่ต่างหมู่บ้าน บรรดาลูกสาวพี่อาจต่างแต่งตัวสวยเพื่อที่จะไปดูหมอลำ ตอนนั้นประมาณสองทุ่ม เหล่าลูกสาวสุดสวยเกือบสิบคนของแกก็มารอแกที่หน้าบ้าน พร้อมรถมอเตอร์ไซด์ที่ครบคน วันนั้นพี่อาจปวดหัว แกก็พยายามปฏิเสธลูกสาว แต่ก็เป็นห่วง กลัวจะไปมีเรื่องมีราวกับใครอีก เพราะไปต่างถิ่น พี่อาจจึงบอกลูกสาวทั้งหลายให้ล่วงหน้าไปก่อน เดี๋ยวขอพ่อกับแม่ก่อน เดี๋ยวตามไป แกจึงไปขอพ่อแม่แกว่าจะไปดูหมอลำ พ่อแม่ก็ไม่อยากให้ไป เพราะทางไปมันอันตรายแถมไกลจากบ้านตั้งหกกิโลเมตร พี่อาจรั้นที่จะไปจนได้ เพราะทั้งเป็นห่วงเด็กๆ และอยากไปดูหมอลำ ตามประสาคนรักสนุก พี่อาจไปถึงเวทีหมอลำ ก็เจอกับเหล่าลูกสาวของแกที่กำลังเต้นส่งเสียงวี๊ดว๊าดอยู่หน้าเวทีอย่างสนุกสนาน แกไปสมทบด้วย พี่อาจเห็นว่าเด็กๆไม่มีเรื่องมีราวอะไร ด้วยความที่แกปวดหัวอยู่แล้ว พอประมาณเที่ยงคืนแกก็ขอกลับก่อน เด็กๆเป็นห่วง จึงจะกลับด้วย แต่พี่อาจเห็นว่าเด็กๆสนุกอยู่จึงไม่อยากขัดจังหวะ แล้วบอกว่าให้สนุกกันต่อ พี่อาจเดินไปแก๊งสาวประเภทสองหมู่บ้านที่มีหมอลำนั้น แล้วแกก็ฝากเด็กให้ช่วยดูด้วย เพราะแกกลัวมีเรื่องมีราว เพราะมีคนต่างถิ่นมาเยอะเหมือนกัน คู่อริก็เพียบ หลังจากนั้นพี่อาจก็ขับมอไซด์กลับบ้าน

วันต่อมาพี่อาจยังไม่กลับบ้าน พ่อแม่พี่อาจออกถามหาพี่อาจตามสาวประเภทสองที่ไปดูหมอลำด้วยกัน ปรากฏว่าไม่มีใครเห็นพี่อาจ และยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าพี่อาจกลับบ้านแล้ว กลับตั้งแต่เที่ยงคืน ทุกคนเริ่มร้อนใจ เพราะพี่อาจไม่เคยเถลไถล แกไม่เคยไปนอนที่อื่น และไม่ได้มีแฟน หรือผู้ชายมาพัวพันแต่อย่างใด ทุกคนช่วยกันออกตามหาพี่อาจ ย้อนกลับไปดูที่หมู่บ้านนั้น ภาวนาว่าอย่าให้เกิดอุบัติเหตุอะไร จนเที่ยงก็ยังไม่มีใครพบพี่อาจ จึงพากันมารวมตัวที่บ้านพี่อาจ สุดท้ายพ่อแม่พี่อาจทนไม่ไหว ออกไปแจ้งความ แต่ตำรวจก็ไม่รับแจ้งเพราะยังไม่ถึง 24 ชั่วโมง แต่ก็มีตำรวจที่รู้จักกันและดูแลกันมา ขออนุญาติผู้บังคับบัญชาไปช่วยตามหาให้

ทั้งหมดกำลังจะออกจากโรงพัก มีชาวบ้านโทรมาแจ้งว่าพบศพถูกเผาอยู่ที่นาหลังป่าช้าทางเข้าหมู่บ้าน แม่พี่อาจเข่าอ่อน ทุกคนภาวนาว่าขอให้ไม่ใช่พี่อาจ ตำรวจและทุกคนรีบไปดูสถานที่ พอไปถึงพี่ชะเอม สาวประเภทสองถึงกับร้องไห้โฮ ว่านี่คือพี่อาจ เพราะจำยกทรงได้ เพราะยกทรงตัวนี้พี่อาจชอบมาก และตัวเองเป็นคนพาไปซื้อเอง แม่พี่อาจเป็นลมแล้วเป็นลมอีก สภาพศพพี่อาจคือถูกเผาทั้งคนทั้งรถมอเตอร์ไซด์ ร่างไหม้เกรียมไม่เหลือเค้าโครงให้ใครจำได้ แต่แปลกคือยกทรงตัวนั้น กับไม่ไหม้ทั้งหมด ปรากฏเหลือลายให้พอจำได้ว่าใครเป็นเจ้าของ ตำรวจสันนิษฐานว่าพี่อาจไปดูหมอลำแล้วมีเรื่องกับคนต่างถิ่น เขาจึงตามมาฆ่า แต่ทุกคนไม่เชื่ออย่างนั้น เพราะพี่อาจไม่เคยมีเรื่องกับใคร ตำรวจจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่า คนร้ายอาจจะจำคนผิด หรือแค้นใจที่พี่อาจคอยช่วยเหลือเด็กๆ ของแกเสมอ ตำรวจตั้งเป้าไปที่สาวประเภทสองแต่ละหมู่บ้านทันที เพราะข้าวของทุกอย่างของพี่อาจยังอยู่ครบ สร้อยทองที่ไหม้ละลายติดเนื้อศพ กระเป๋าตังค์ มีร่องธนบัตรชัดเจน ตำรวจจึงตัดปมนี้ไป

คืนแรกที่สวดศพ ป้าเจิมป้าของพี่อาจก็มีอาการแปลกๆ ร้องไห้โวยวาย "มันทำกูทำม๊ายยย ทำกูทำมายยย" อยู่แบบนั้นหลายครั้ง หลายคนคิดว่าพี่อาจมาเข้าสิงห์ร่างป้าเจิม เพราะป้าเจิมเองก็เป็นคนขวัญอ่อน และมีผีเข้าบ่อยๆ ตามความเชื่อของชาวบ้าน ชาวบ้านกลัวป้าเจิมจะเป็นลม เพราะอายุอานามแกก็ปาไปเกือบเจ็บสิบแล้ว ก็ขอร้องให้พี่อาจออกไปจากร่าง ป้าเจิมก็กลับมา แล้วบอกว่า "ไม่ไหวอาจเอ้ยยย แกแรงเกินไป ร่างป้ารับไม่ไหว แกไปบอกผ่านคนอื่นเถอะลูก" สักพักพี่สาวของพี่อาจซึ่งรูปร่างใหญ่ ก็ร้องวี๊ดขึ้น "กูหิววว กูร้อนน กูหิ๊วววว" แล้วก็กรี๊ดๆ พระที่มาสวดศพต่างมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งสักคน ขนาดพระยังกลัว แม่พี่อาจร้องไห้สะอึกสะอื่น "อาจเอ๊ย ใจเย็นๆ ลูก ร่างมันจะรับไม่ไหว ค่อยๆพูดลูก" "กูหิ๊ววววว" พี่อาจที่อยู่ในร่างของพี่อินพี่สาวยังคงร้องกรี๊ดเหมือนเดิม ชาวบ้านจึงไปหยิบข้าวเหนียวที่อยู่ใกล้มือมาปั้นนึง พี่อิน คว้าหมับ ยัดเข้าปากคำโต ทั้งร้องไห้ไปกินไป "อาจเอ๊ย ไปก่อนลูกค่อยมาใหม่ ไอ้อินมันไม่ไหวแล้ว" ชาวบ้านต่างไล่พี่อาจออกจากร่างพี่อิน เพราะพี่อาจโมโหร้ายแรงเหลือเกิน พี่อาจยอมออกไป พี่อินเป็นลมล้มพับไม่เป็นท่า ประถมพยาบาลกันอยู่นาน ผ่านไปสักยี่สิบนาที พี่อินก็บอกว่า "อาจเอ๊ย มาเถอะ มาบอกว่าใครทำเมิง ใครทำอะไรเมิง"

พี่อาจมาในร่างพี่อินอีกครั้ง คราวนี้นั่งร้องไห้เข้าไปกอดแม่ แล้วก็ก็บอกว่า "ข้อยเจ็บหลาย ข้อยเจ็บ ข้อยแสบ มันเฮ็ดข้อยเฮ็ดหยัง มันเฮ็ดข้อย " (ให้รู้ว่าเป็นภาษาอีสาน 555 กลับไปซัพไทยตามเดิมดีกว่าเนาะ ) พอพูดแกได้แค่นั้น ตาพี่อินก็แข็งขึ้นมาทันที เสียงพี่อินใหญ่และดังทุ้ม พี่อินออกจากแม่ แล้วนอนกลิ้งไปกลางบ้าน บริเวณหน้าโลงศพนั่นแหละ แกร้องแล้วจับที่ขาด้วยความทรมาน แกบอกว่า "กูเจ็บตรงนี้ กูเจ็บตรงนี้ " ทุกคนที่อยู่ในงานศพต่างหวาดกลัวระคนสงสาร ต่างร้องไห้ออกมาเพราะสงสารพี่อาจมาก
"มันทำอะไรเมิง มันทำยังไง ทำไมมันทำเมิง" ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ถามขึ้น พี่อินเริ่มกรี๊ดอีก แม่พี่อาจบอกว่าให้พี่อาจใจเย็นๆ เดี๋ยวพี่อินไม่ไหว ร่างพี่อินลุกขึ้น ทำหน้าเหมือนจับอะไรทุบอะไรสักอย่าง "มันทุบข้อย มันตีหัวข้อย มันก็เอาพร้ามาฟันขาข้อยจนขาด" พี่อินล้มลงเอามือจับขา ดิ้นพรวดๆ เสมือนเจ็บปวดมาก ชาวบ้านบอกค่อยๆ พูด ค่อยๆ เล่า พี่อาจในร่างพี่อินพูดต่อ "มันตีมันฟันกูเสร็จ มันก็ผลักกูล้มลง เอามอเตอร์ไซด์มาทับกู มันเอาน้ำมันราด แล้วจุดไฟเผากู" พี่อินกรี๊ดลั่น "ใครทำเมิง ใครทำเมิง"

ชาวบ้านร้องไห้โฮด้วยความสงสาร แต่พี่อาจไม่ตอบคำถาม "กูแค้น มันฆ่ากูทำไม มันทำกูทำไม" แล้วแกก็ดิ้นพรวดๆ สักพักชาวบ้านเห็นท่าไม่ดี จึงช่วยกันเอาพระห้อยคอให้พี่อิน เพราะพี่อาจไม่ยอมออกไป กลัวพี่อินจะเป็นอะไรไปซะก่อน แม่พี่อาจไปจุดธูปบอกพี่อาจว่า ให้พาคนผิดมาให้ตำรวจจับให้ได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดผวาไปทั้งหมู่บ้าน กลางคืนไม่มีใครก็ออกไปไหนเลย ปกติแล้วหากตายโหงเค้าไม่ให้เอาเข้าบ้าน แต่บางบ้านก็ไม่มีความเชื่อเรื่องนี้ ด้วยความที่รักลูกมาก พ่อแม่ก็ย่อมอยากให้ลูกกลับบ้าน แม้ชาวบ้านจะเตือนแล้วก็ตาม แต่ศพพี่อาจได้ตั้งที่บ้านแค่สองคืนเท่านั้น คืนที่สองไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งวันเผามีคนมาร่วมไว้อาลัยพี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายมากมาย ทั้งคนในหมู่บ้าน และแก๊งค์สาวประเภทสองต่างหมู่บ้านก็มา อยู่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่ค่อยดีขึ้น พี่อาจมาเข้าร่างพี่อิน แล้วก็ร้องไห้ปานจะขาดใจ "กูไม่อยากต๊ายยย กูเจ็บ กูเจ็บ กูแค้น" พี่อินร้องโวยวายขึ้น ทุกคนในงานต่างร้องไห้ตามด้วยความสงสาร แล้วการเผาศพก็ผ่านไป วิญญาณพี่อาจไม่ได้ว่าสิงห์ร่างใครอีก แต่ก็ยังไม่ไปไหน ใครที่ผ่านมาผ่านไปตรงจุดเกิดเหตุตอนดึกๆ ก็จะได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยคามเจ็บปวด จนไม่มีใครกล้าออกไปไหนดึกๆ อีกเลย

อีกเรื่องคือในวันเผาพี่อาจ หลังจากเผาเสร็จชาวบ้านบางส่วนก็แยกย้ายกลับบ้าน บางส่วนก็กลับไปช่วยเก็บข้าวของบ้านงาน พอเก็บของเสร็จก็มืดแล้ว น้าพวงกับลูกสาววัยเจ็ดขวบก็เดินกลับบ้าน ซึ่งทางกลับบ้านแกก็ต้องผ่านเมรุที่เพิ่งเผาศพพี่อาจไป ปรากฏว่า แกและลูกสาวเห็นพี่อาจนั่งห้อยขาอยู่ที่เมรุ และขาข้างนึงของแกก็ห้อยแต่งๆ เหมือนกำลังจะขาด

#ตอนนี้เราไม่รู้ว่าจับคนร้ายได้หรือยังนะคะเพราะไม่ได้ติดตามอีกเดี๋ยวว่าจะโทรไปถามเพื่อนอยู่เหมือนกัน#

ที่มา : pantip. Mint
ขอบคุณ : กลุ่มเรื่องสยองของคนเห็นผี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ