ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เสียงอว๊อค อว๊อค...เจ้ากรรมนายเวรหรือเรื่องบังเอิญ!!


อว๊อค อว๊อค ขออภัยหากไม่รู้ว่าอ่านออกเสียงว่ากระไร เพราะข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะสะกดออกมายังไงให้มันเป็นเสียงคล้ายกับที่ข้าได้ยิน แต่ถ้าข้าบอกออเจ้าเลยว่านี่คือเสียงของกระไรก็คงจะขัดใจข้ายิ่งนัก แบบว่าอยากให้ออเจ้าจินตนาการเอาเอง สุดแท้แต่จะเป็นเสียงแบบใดก็แล้วแต่ออเจ้าเถิด แต่หากอ่านแล้วก็ยังจินตนาการไม่ออก ข้าจะมาแปะที่มาของเสียงนี้นะเจ้าคะ...

-เกริ่นนำ-
เมื่อครั้งเรายังเด็กวัยประถมมีช่วงชีวิตหนึ่งได้ไปใช้ชีวิตอยู่ภาคเหนือกับปู่ย่า จำความเหตุการณ์หนึ่งได้แม่นยำ ปู่มีเพื่อนสนิทรุ่นน้อง คนหนึ่งชื่อ ตามัน บ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามกันในหมู่บ้านของตัวอำเภอ ในวันหนึ่งที่บ้านของตามันมีงานแต่งงานของลูกสาว ภายในงานมี หมอขวัญประจำหมู่บ้านมาทำพิธีสู่ขวัญผูกข้อมือให้คู่บ่าวสาว ชาวบ้านละแวกนั้นมาร่วมงานกันแต่เช้า บ้างก็มาช่วยงานในครัวกันตั้ง แต่เช้ามืด งานแต่งงานนั้นจัดเล็ก ๆ พอเป็นพิธีไม่มีเวทีใหญ่โตฉลองมีเพียงโต๊ะไม้แผ่นยาวที่ขัดมันกันเสี้ยนมาเรียงต่อกัน ปูสาด (เสื่อ)  นั่งกินกับพื้นบ้างก็เป็นธรรมดาของชาวบ้านที่นี่ และอาหารก็ถูกลำเลียงเสริฟขึ้นโต๊ะอาหารโดยฝีมือของพ่อครัวใหญ่ประจำหมู่บ้าน พร้อมชาวบ้านที่คอยช่วยเป็นลูกมือ ย่าพาเราแต่งตัวสวยแล้วเดินข้ามฝั่งมาบ้านตามัน ปู่ย่าและชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างนั่งกินเลี้ยงสังสรรค์ตามแบบฉบับชาวบ้าน ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุขกับตามันและคู่บ่าวสาวป้ายแดง เราที่เป็นเด็กคงอยู่ไม่นิ่งนักเพราะบรรยากาศ

มันเกินกว่าที่เด็กอย่างเราจะเข้าใจความหมายของคำว่า แต่งงาน เราจึงไม่ได้รู้สึกอิ่มเอมหรือยินดีกับลูกสาวตามันเท่าไหร่นัก ดังนั้น เราจึงลุกออกจากโต๊ะแล้วเรียกเพื่อนวัยเดียวกันไปเล่นกันที่อื่นจะดีกว่า พวกเราเลือกเล่นซ่อนแอบภายในงาน จากที่วิ่งเล่นซ่อนแอบกันรอบหน้างาน เราก็วิ่งเลยเถิดเข้าไปในครัวที่อยู่หลังบ้าน ชามหม้อไหกาละมังกองพะเนินเป็นกองโตวางซ้อนกันมีชาวบ้านบางส่วนมาช่วยอาสาล้างจานหม้อไหอยู่ ไหน ๆ ก็วิ่งเลยเถิดเข้ามาในนี้แล้วเราจึงสอดส่ายสายตามองตามพื้นครัวเพื่อมองหาอะไรบางอย่าง ที่เราเคยติดค้างไว้ที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ แต่ยังไม่ทันจะได้มองหาให้ทั่ว เพื่อนก็วิ่งมาโป้งข้างหลังเราเสียก่อน เราจึงจำเป็นต้องเป็นฝ่าย ปิดตาแล้วหาเพื่อนแทนบ้าง แม้ภายนอกจะดูร่าเริงแต่ใครจะรู้ว่าภายในใจเรานั้นมีความรู้สึกติดลึกและโศกเศร้าเพียงใด...

-ก่อนวันงาน-
ก่อนวันงานมีผู้ชายคนหนึ่งที่เขาเรียกกันว่าพ่อครัวใหญ่ขับรถกระบะมาจอดหน้าบ้านตามันพร้อมเครื่องไม้เครื่องมือทำอาหาร  หม้อชามกระทะเครื่องปรุงวัตถุดิบพื้นเมืองถูกลำเลียงลงจากหลังรถพร้อมลูกมือที่มาช่วยงาน ปู่เราเดินข้ามฝั่งไปบ้านตามัน แล้วส่งเสียงพูดคุยปนหัวเราะชอบใจ ว่าแล้วย่าก็เดินข้ามฝั่งไปร่วมสมทบด้วยอีกเช่นกัน คล้อยบ่ายแก่ ๆ เราตัดสินใจไปวิ่งเล่น ฝั่งบ้านตามันเพราะตอนนี้บ้านตามันคนเริ่มมากันคึกคัก ชาวบ้านเริ่มทยอยกันมาช่วยงานตกแต่งสถานที่ เมื่อเราเห็นว่าบ้านตามัน คนเริ่มเยอะจอแจเราจึงวิ่งข้ามไปฝั่นนู้น จะมานั่งหง่าวอยู่บ้านคนเดียวทำไมจริงไหม?  "ไปวิ่งเล่นตรงอื่นไป ตรงนี้ให้ผู้ใหญ่เขาจัดสถานที่กัน" ย่าไล่เราเมื่อเราวิ่งเข้าไปกลางบ้านที่เขากำลังร้อยสานใบตองเป็นแพขันหมาก

เราจึงเดินออกจากบริเวณนั้นแล้วเตร็ดเตร่ลัดเลาะไปเรื่อยจนเลยไปถึงห้องครัวที่อยู่สุดทางเดินของหลังบ้าน บ้านตามันเป็นบ้านไม้ ยกพื้นสูงชั้นเดียว บนบ้านเป็นห้องโล่งมีกั้นห้องนอนสองห้องสำหรับตาและลูกสาว รอบบ้านเป็นระเบียงไม้ซี่ห่าง ๆ รอบบ้าน ส่วนครัว ก็เหมือนกับบ้านคนอื่นที่ครัวนั้นแยกตัวออกจากตัวบ้านไม่ได้อยู่ตรงใต้ถุนบ้านโดยตรงเพราะเวลาทำกับข้าวก่อฟืนควันก็จะลอยเหนือ ขึ้นไปบนบ้าน ฉนั้น ครัวจึงถูกสร้างให้แยกออกจากตัวบ้านอย่างชัดเจน ครัวเป็นแบบเปิดโล่งด้านข้าง มีหลังคาสังกะสีมุงเสริมต่อมา จากตัวบ้านอีกที

เมื่อเราเดินเข้าไปในครัวก็กะว่าจะหาหยิบอะไรกินเล่นพอหอมปากหอมคอสักหน่อย สายตาก็สะดุดไปที่ถุงกระสอบขนาดย่อม ถูดมัดปากกระสอบติดอยู่กับเสาครัวต้นหนึ่ง เราขยับเข้าไปใกล้เพราะความอยากรู้อยากเห็นว่าในกระสอบนั้นมีอะไรอยู่ เมื่อเสียงฝีเท้าของเราดังขึ้นกระสอบนั้นก็เริ่มขยับ เราหยุดชะงักเล็กน้อยและคิดว่าในกระสอบต้องมีตัวอะไรอยู่แน่นอน เมื่อเราหยุดนิ่งเงียบ กระสอบก็นิ่งไม่ไหวติง พอเราเริ่มขยับเท้ากระสอบก็ขยับตามเช่นกัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็กทำให้เรารีบปรี่เข้าไปใกล้
กระสอบอย่างรวดเร็วแล้วคว้าเอาปากกระสอบขึ้นมา จากนั้นก็รีบถ่างปากกระสอบออกทั้ง ๆ ที่ยังมีเชือกมัดอยู่นั่นแหละ  เราหรี่ตาลง ข้างหนึ่งเพื่อให้ตาอีกข้างหนึ่งมีขนาดเล็กใกล้เคียงกับปากกระสอบ เชือกถูกมัดหลวม ๆ ทำให้เรามองหรี่ตาเข้าไปในกระสอบได้เล็กน้อย  สายตาเรามองปะทะกับลูกตาคู่หนึ่งที่อยู่ในกระสอบ ต่างฝ่ายต่างมองจ้องตากันจนกระทั่ง 

อว๊อค!!! 

ตัวที่อยู่ในกระสอบอ้าปากเปล่งเสียงร้องออกมาหนึ่งที เสียงนั้นทำให้เราตกใจปล่อยมือออกจากกระสอบแล้วผงะหงายหลัง ก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น กอปรกับย่าเดินเข้ามาตามเรากลับบ้านพอดี เมื่อย่าเห็นเรานั่งอยู่กับพื้นก็ดึงแขนเราขึ้นมาแล้วบอกให้กลับบ้าน  เราดึงแขนย่าไว้และถามย่าว่าทำไมมันถึงมาอยู่ในกระสอบ ย่าไม่ตอบแล้วบอกให้กลับบ้านเพราะพ่อครัวใหญ่จะเข้ามาทำอาหารแล้ว แต่เรายังคงดื้อดึงไม่ยอมกลับง่าย ๆ ย่าดึงแขนเรายื้อยุดไปมาก็พอทำให้สิ่งที่อยู่ในกระสอบนั้นส่งเสียงออกมาอีกรอบ 

อว๊อค!!! 

เราและย่าหยุดและหันกลับไปมองที่มาของเสียง อว๊อค!!! เสียงดังขึ้นอีกพร้อมกับกระสอบเริ่มขยับ สิ่งที่อยู่ในนั้นกำลังดิ้นคลุก ๆ กลิ้งไปมากับพื้นในครัวพร้อมส่งเสียง อว๊อค... อว๊อค... มาเป็นระยะ เรากับย่ายืนมองดูกระสอบดิ้นอยู่อย่างนั้นจนมันหยุดแน่นิ่ง คงเป็นเพราะสิ่งที่อยู่ในนั้นเริ่มหมดแรง เมื่อเหตุการณ์สงบลงเราเริ่มร้องไห้ออกมาพร้อมเงยหน้าขึ้นมองหน้าย่า ย่าเองก็รู้ว่าเรารู้สึก อย่างไรจึงคว้าแขนจูงมือเราออกมาแล้วพากลับบ้าน ย่าปลอบประโลมให้เข้าใจว่า  "นี่คือเรื่องธรรมชาติเขาเกิดมาเพื่อประทังชีวิตมันเป็นสัจธรรมของมนุษย์" เราสวนกลับทันทีว่า "เขามีแม่และเขาไม่ได้อยากถูก ฆ่าตายมาให้เรากิน!!!" ย่าบอกต่อว่า "มันเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะกิน สัตว์เล็กก็เป็นเหยื่อของสัตว์ใหญ่ ถ้าไม่สบายใจเรามาแผ่เมตตา
ให้มันดีไหม?" 

และนั่นก็ถือเป็นครั้งแรกที่เราเรียนรู้การแผ่เมตตาจากย่า และเข้าใจความรู้สึกที่อยากจะละ และต้องการให้สิ่งนั้นได้ไปดีพ้นทุกข์ไม่เจ็บปวดจริง ๆ การแผ่เมตตาครั้งแรกของเราที่ให้กับสิ่งมีชีวิตที่รอเวลานับถอยหลังอยู่ตรงนั้น เราผู้รู้ชะตากรรมว่ามันกำลังจะเจอกับอะไร ทำให้เราใช้ความตั้งใจทั้งหมดที่มีแผ่เมตตาให้สิ่งนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจตะวันใกล้ตกดิน ความรู้สึกเศร้าเหงาหนาวหน่วงในใจไม่มีทีท่าว่าจะคลาย จนเมื่อได้ยินเสียง อว๊อค!!! ดัง ๆ ยาว ๆ หนึ่งทีแล้วเงียบไป ความเศร้าหดหู่มันกลับทวีคูณเพิ่มขึ้น เรานั่งคลุมโปงน้ำตาไหลอาบแก้มรู้สึกแย่ที่ทำไมไม่ช่วยเขาออกมา นึกถึงลูกตาคู่นั้นที่จ้องมองเรา ความคิดตอนนั้นของเขาเป็นเช่นไรหรืออาจจะกำลังอ้อนวอนขอให้ช่วยหรืออย่างไรไม่ทราบได้

เสียงมีดทุบกับของหนักดังตุ้บ ตุ้บ ได้ยินมาถึงบ้านเราที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ทำให้เราต้องชะเง้อออกมาดู และเห็นพ่อครัวใหญ่กำลัง เดินออกมาจากครัวที่อยู่หลังสุดของบ้าน เขาเดินหิ้วหัวของตัวอะไรบางอย่างออกมาแล้วชูให้ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่ตั้งวงกินเหล้า แล้วบอกว่า “เดี๋ยวสู่ขวัญวันพรุ่งนี้เสร็จผมขอหัวเน้อ” ตามันที่นั่งอยู่ในวงเหล้าก็ส่งเสียงว่าให้เอาไปเลย จนเมื่อวันงานแต่งมาถึง อาหารทุกอย่างถูกลำเลียงขึ้นเสริฟที่โต๊ะอาหาร เราได้แต่นั่งนิ่งมองดูอาหารแต่ละจานที่มีทั้งลาบ น้ำพริกอ่อง แกงฮังเล ทุกเมนู ล้วนใช้วัตถุดิบหลักมาจากแหล่งเดียวกัน เราเพ่งพินิจอาหารแต่ละจานเขี่ยไปมาไม่มีความรู้สึกอยากกินมีแต่จะอยากอาเจียน ทำได้เพียงแค่หันหน้าหนีและตัดสินใจลุกออกจากโต๊ะมาเล่นกับเพื่อนแทน และนั่นก็เป็นครั้งล่าสุดที่เรามีส่วนร่วมกับบ้านตามัน ก่อนที่เราจะเปิดเทอมและเดินทางกลับกรุงเทพฯ จนกระทั่งเวลาผ่านไปไม่นานเวียนมาบรรจบที่เรากลับมาเที่ยวที่บ้านปู่ย่าอีกครั้ง

เมื่อเราได้กลับมาเยี่ยมปู่ย่าอีกครั้ง เราก็ไม่ลืมที่จะวิ่งไปบ้านฝั่งตรงข้ามนั่นคือบ้านตามัน ตามันนั่งอยู่บนเก้าอี้เอนหลังที่ม้าตั่ง (เก้าอี้เล็ก) เอาไว้สำหรับรองเท้า ตานั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างล่างหันหน้าออกมานอกบ้าน เมื่อตาเห็นเราตาก็ส่งเสียงทักทายถามไถ่ว่าเรามาถึงเมื่อไหร่ อยู่นานไหม เมื่อเข้าไปใกล้ตามันจึงเห็นสภาพของตาที่แปลกตาไปเยอะกว่าเมื่อก่อน ผมสีดอกเลาสั้นเกรียน หน้าเป็นฝ้ากระตาหยี  ผิวเหี่ยวหย่อนยานหมองคล้ำและหลังโก่งโค้งกว่าเก่า ที่ดูแปลกเพราะว่าตามันไม่ได้เป็นชาวไร่ชาวสวน ตั้งแต่จำความได้หรือแม้จน ถึงวันงานวันแต่ง ตามันเป็นผู้ชายที่รูปร่างสันทัดผิวขาวเหลืองเนื้อหนังตึงเปล่ง กลับกันกับปู่เราที่ผอมสูงผิวแห้งกร้าน แต่ระยะเวลา หลังจากที่เราเจอตามันไม่ได้ห่างหายไปนานจนจะทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้เร็วขนาดนี้  "ขึ้นไปดูรูปงานแต่งงานสิ จำได้ไหม" ตามันบอกให้เราขึ้นไปดูรูปข้างบนบ้าน 

ภายในบ้านตามันมีกรอบรูปของลูกสาวลูกเขยติดอยู่ข้างฝาบ้าน มีรูปวันงานแต่งที่ตาเอาไปใส่กรอบใหญ่ ในรูปนั้นเป็นรูปพิธีสู่ขวัญ มีหมอขวัญ ชาวบ้านที่มาร่วมงาน มีปู่ย่านั่งอยู่ในวงล้อมด้วย รวมถึงมีหน้าเราติดมาหน่อย ๆ ครึ่งนึง ^^ เราเดินเข้าไปชี้หน้าเราและ ตะโกนลงมาว่า "ตอนนั้นหนูน่าจะมองกล้องเนอะตา จะได้มีรูปสวย ๆ ติดกับเขาบ้าง"  ตามันหันมามองยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วหันกลับไป ข้างกันเป็นรูปเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักวัยกำลังเตาะแตะนั่งอยู่ในอ้อมกอดของลูกสาว ติดเป็นกรอบรูปขนาดใหญ่กว่ารูปเมื่อกี๊ เราถามว่าน้องชื่ออะไรตอนนี้อยู่ที่ไหนอยากเล่นด้วย แต่ตาไม่ตอบหันหน้ามองออกไปหน้าบ้าน
เราจึงกล่าวลาตาและวิ่งข้ามกลับมาฝั่งบ้านเราและถามย่าถึงอาการของตาด้วยความเป็นห่วงตามันที่ดูไม่ค่อยร่าเริงเท่าใดนัก ย่าบอกว่า ตามันตรอมใจและให้เราไปคุยเล่นกับแกบ่อย ๆ แกจะได้หายเหงา เราจึงถามถึงลูกสาวและหลานของแกว่าอยู่ที่ไหน ย่าหันมาเอ็ดและ ทำปากจุ๊ ๆ ว่าห้ามพูดถึงให้ตามันได้ยินเด็ดขาดก่อนจะเล่าให้เราฟังว่าหลังจากลูกสาวตามันแต่งงานแล้วไม่นานก็ตั้งท้อง พอคลอดออกมาก็เป็นลูกสาวหน้าตาน่าเกลียดน่าชังจ้ำม่ำผิวขาว 

โดยที่ตาจะเป็นคนเลี้ยงหลานอยู่บ้านส่วนลูกสาวและลูกเขยจะเร่ขายขนมส่งรถสามล้อพ่วงข้างไปตามหมู่บ้านและไป ขายที่ตลาดประจำอำเภอ หน้าที่เลี้ยงหลานจึงตกเป็นของตาไปโดยปริยาย ตามันเห่อหลานคนนี้มากเพราะเป็นหลาน สาวคนแรกคนเดียว ที่สำคัญหลานยิ้มเก่งร่าเริงเข้ากับคนง่ายใครอุ้มก็ไม่ร้องงอแงโยเย ประคบประหงมดั่งไข่ในหิน เพราะตามันเป็นคนเลี้ยงเองใกล้ชิดหลานมากกว่าพ่อแม่ของเด็กซะอีก วันหนึ่งมีงานเทศกาลจัดที่ตัวเมืองลูกสาวและ ลูกเขยก็ตั้งท่าจะเอาของไปขายที่ตัวเมืองบ้างและจะเอาหลานไปด้วย แต่ตามันไม่อยากให้เอาหลานไปตากน้ำค้าง ตากยุงเพราะกว่าจะกลับบ้านก็ค่ำมืดดึกดื่น อีกทั้งระยะทางไปกลับก็ไกลกว่า 50 กิโลฯ คืนนั้นตามันจึงเอาหลานเข้าไป นอนในห้องของแกพร้อมร้องเพลงกล่อมตบตูดเหมือนอย่างที่เคยทำ แต่คืนนี้ด้วยเหตุใดไม่ทราบ ระหว่างที่กำลังกล่อม
หลานให้หลับ ตัวเองดันเผลอหลับไปก่อนซะนี่ จนค่อนคืนรู้สึกตัวสะดุ้งตื่นกลางดึกนึกขึ้นมาได้ ตายละหว่านี่เราเผลอหลับ ก่อนหลานหรอวะเนี่ย ว่าแล้วก็รีบเอามือควานข้างตัวหาหลานในความมืด เมื่อควานข้างตัวแล้วไม่เจอหลานก็ตกใจกุลีกุจอ ลุกขึ้นมาเปิดไฟในห้องแล้วกวาดสายตามองรอบห้องไม่เจอหลาน อีกทั้งประตูยังเปิดแง้มออกมาจึงรีบวิ่งออกไปนอกห้อง เปิดไฟให้ทั่วบ้าน ปากก็ร้องตะโกนเรียกชื่อหลานทั้งที่รู้ว่าหลานคงตะโกนตอบไม่ได้ แต่ก็คาดหวังว่าหลานจะได้ยินเสียง แล้วส่งเสียงอะไรก็ได้ตอบกลับมาให้รู้เป็นสัญญานว่าอยู่ตรงไหน แต่เปล่าเลย มีเพียงเสียงตามันที่ตะโกนหาหลานอยู่บนบ้าน 
มือก็คว้าเอากระบอกไฟฉายส่องตามร่องพื้นไม้ระหว่างบนบ้านกับข้างล่าง พลางก็คิดว่าไม่มีทางที่หลานจะอยู่ข้างล่างเพราะ ไม่น่าจะลงบันไดไปได้เองนอกเสียจาก... 

เมื่อคิดได้ดังนั้นตามันก็รีบวิ่งถลาลงบันไดไปข้างล่างทันที เมื่อถลาลงมาถึงข้างล่างแล้วก็ใช้ไฟฉายสาดส่องไปทั่วพื้นบ้านใต้ถุน ผ่านเลยไปทางด้านหลังของตัวบ้านที่เป็นพื้นที่โล่งไปทางครัว...ตามันมองเพ่งไปทางครัวเพราะดันไปมองเห็นวัตถุชนิดหนึ่งลักษณะเป็นก้อนดำ ๆ เห็นไม่ชัดนัก จึงส่องไฟฉายเข้าไป ปรากฏว่า เป็นหลานแกนอนหงายแอ้งแม้งอยู่ ตามันจึงรีบวิ่งเข้าไปอุ้มหลานมากอดและร้องเรียกให้หลานตื่น หลานลืมตาขึ้นมามองหน้าตา แต่ไม่ได้ส่งเสียงร้องสักแอะ ตาเลยไม่รู้ว่าหลานได้เจ็บตรงไหนหรือเปล่า  ตามันนั่งกอดหลานอยู่ทั้งคืนรอจนกระทั่งลูกสาวและ ลูกเขยกลับมาถึงบ้าน ตาจึงส่งไม้ต่อให้ลูกสาวกับลูกเขยและเล่าให้พวกเขาฟัง เมื่อลูกสาวรู้เรื่องก็บ่นให้ตาเล็กน้อยที่ไม่ดูหลานอย่างระมัดระวังและเตือนให้ล็อกประตูทุกครั้งถ้ามีเด็กเล็กนอนด้วย แต่ตาก็หวังดีหากว่าลูกสาวกลับมากลางดึกก็จะได้เข้ามาอุ้มหลานไปนอนกับตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องปลุกแกนั่นล่ะ แต่ลูกสาวก็ทำได้แค่บ่นเพราะพ่อยังไงก็คือพ่อและตัวเด็กเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ มีเพียงฝุ่นดินเท่านั้นที่เปรอะตามเนื้อตัวเสื้อผ้า เช้าวันต่อมา ตามันและลูกเขยเดินมาดูจุดเกิดเหตุบริเวณหลังครัวอีกครั้งและช่วยกันคิดว่าหลานมานอนตรงนี้ได้อย่างไร ขณะเดียวกันลูกสาวก็อุ้มลูกอยู่บนบ้านก่อนจะตะโกนเรียกทั้งคู่ขึ้นมาดู
ข้างบน 

“หนูว่าลูกคลานแล้วกลิ้งตกหลังคาครัวหล่นไปนะพ่อ” เมื่อตามันมาดูก็คิดว่าอาจจะเป็นไปได้เพราะระแนงรอบบ้านซี่มันห่าง  ถ้าตัวขนาดหลานก็มีทางที่จะมุดตกไปได้ อีกทั้งที่บ้านปิดไฟมืดอาจทำให้หลานพลัดตกลงไปก็เป็นได้ ดังนั้นทุกคนจึงช่วยกัน หาไม้มาเสริมระหว่างระแนงให้มันถี่ขึ้นเพื่อป้องกันเหตุการณ์ซ้ำรอย วันหนึ่งลูกสาวตาก็เตรียมขนมใส่รถสามล้อพ่วงข้างไปขายตามหมู่บ้านและตลาดตามเคย แต่คราวนี้กลับรบเร้าตา ว่าจะเอาลูกไปด้วย ตาก็เห็นว่าหลานพูดจาอ้อแอ้เริ่มตั้งไขอยากเดินเตาะแตะอาจจะอยากไปเที่ยวบ้าง ก็เลยให้ ลูกสาวเอาหลานไปเปิดหูเปิดตาเจอผู้คนที่ตลาดบ้างก็ได้ ทิ้งช่วงห่างไปไม่ถึงชั่วโมง ปู่เราก็ขี่มอไซค์อย่างเร็ว กลับเข้ามาจากนอกบ้านแล้วเลี้ยวเข้าจอดหน้าบ้านตามันเสียงเบรคของล้อมอไซค์ดังเอี๊ยดดด... ย่าก็ตะโกนถาม “เอ้ยยยย ไม่เข้าบ้านหรือพ่อ” ปู่หันมองหน้าย่าแต่ไม่ตอบแล้วตะโกนเรียกตามันเสียงดัง  “มันเว้ย มันเว้ย เกิดเรื่องไม่ดีแล้วเอ็ง” ตามันวิ่งลงมาจากบนบ้านทำหน้าตาตื่นคุยกับปู่แล้วกระโดดซ้อนมอไซค์ปู่ออกไปอย่างรวดเร็ว ย่าได้แต่มองตามและกังวลใจ จึงรีบเรียกลูกหลานในบ้านให้ขี่มอไซค์ตามปู่ไป ย่ามุ่งหน้าไปทางตลาดทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นจะไปที่ไหน แต่เมื่อไปถึง ระหว่างทางก่อนเข้าตลาดก็เจอชิ้นส่วนรถกระจัดกระจายอยู่ที่พื้นถนน มีซากรถกระบะที่กันชนหน้าพังหลุดกระเด็นกระดอน กระจกแตกละเอียดยิบไปทั้งแผง หน้ารถบุบเข้าไปครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นร่างคนที่ถูกอัดก๊อปปี้อยู่ระหว่างพวงมาลัย  ย่าจึงบอกให้ชลอรถแล้วจอดเข้าข้างทางเพื่อหยุดดู ขณะนั้นมีคนมุงอยู่เต็มกลางถนนจนทำให้ย่ามองเห็นวงข้างในได้ไม่ชัดเจน แต่ย่ารู้สึกสังหรณ์ใจจึงลงจากรถมอไซค์แล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปตรงกลางถนน ในใจก็ภาวนาว่าอย่าเป็นอย่างที่คิดเลย...ย่าก้าวเท้าเข้าไปช้า ๆ ยึกยักว่าจะแหวกเข้าไปดีหรือไม่แหวกดี เพราะไม่รู้ว่าข้างในนั้นสภาพที่เห็นจะเป็นอย่างไร

ขณะที่ย่าลังเลและกำลังจะเดินเข้าไปกลางถนนที่มีคนยืนมุงเต็มนั้น ได้มีชาวบ้านคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มแล้วเจอย่า จึงได้ตะโกนบอกย่าให้รีบวิ่งเข้ามาปู่อยู่ในนี้!!! ย่าแขนขาหน้าชารู้สึกจะหมดแรงเสียตรงนั้นเมื่อได้ยินคนบอกว่าปู่อยู่ในนี้!!! ย่ารีบเดินดุ่ม ๆ แหวกฝูงชนแทรกตัวเข้าไป  คนแน่นหนาพูดกันระงมฟังไม่ได้ศัพท์ว่าพูดอะไรกัน เพราะตอนนั้นย่าหูอื้อฟังอะไรไม่รู้เรื่องเสียแล้ว แต่ก่อนที่ย่าจะแหวก เข้าไปกลางวงได้นั้น สายตาก็พลันเหลือบเห็นรองเท้าแตะคู่คุ้นตาอยู่ที่พื้นข้างหนึ่ง ย่าจำได้ว่าเป็นรองเท้าของใคร ทำให้ ย่าปากเริ่มสั่นเครือและเร่งมือแหวกคนเข้าไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อแหวกเข้ามาถึงกลางวงแล้วก็ผงะตาค้างทันที!!!ตามัน ตามันกำลังนั่งกอดลูกสาวไว้แนบอกแหงนหน้าขึ้นฟ้าปากร้องตะโกนเรียกชื่อลูกซ้ำ ๆ น้ำตาไหลนองอาบเต็มสองแก้ม เอามือคอยหยิกแขนลูกสาวดึงเนื้อที่แขนขึ้นมาบิด ๆ แล้วอ้าปากร้องไห้แบบไม่มีเสียง เสียงของตามันเริ่มแหบพร่าน้ำตาเริ่ม หมดร้องอย่างไรก็ไม่มีน้ำตา นั่นคืออาการของคนที่กำลังหมดแรง... ข้างลูกสาวตามันเป็นหลานตัวน้อยที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง 
ถูกเศษชิ้นส่วนของรถกระบะบางส่วนปิดทับตัวไว้ ย่าลงไปนั่งข้างตามันแล้วอุ้มหลานตัวน้อยขึ้นมา คอของหลานก็แอ่นเอนโงนเงนไม่ต่างจากลูกสาวตามัน  ย่าส่งหลานให้ตามันอุ้ม ตามันหันมองหลานตัวน้อยด้วยท่าทีหมดเรี่ยวแรง ปล่อยมือออกจาก ลูกสาววางไว้กับพื้นแล้วยื่นมือออกไปรับร่างของหลานตัวน้อยที่คอแอ่นเอนโงนเงนไปตามแรงอุ้ม เด็กน้อยหลับตาพริ้มพร้อม คราบเลือดเปรอะตามซอกจมูก ผิวพรรณที่เคยผุดผ่องน่าฟัดน่าถนอม บัดนี้กลายเป็นร่างที่บอบช้ำไร้วิญญานไม่ตอบสนองต่อ การเรียกของตา ตามันได้แต่นั่งก้มหน้าร้องไห้เงียบ ๆ กอดหลานตัวน้อยไว้ในอ้อมอก หมดหนทางจะยื้อคืนกลับมา  ปู่บอกว่า  “บุญมันน้อยไอมันเอ้ย มันคอหักคาที่ทั้งคู่เลย” 

สามคนพ่อ แม่ ลูกกำลังนั่งรถสามล้อพ่วงข้างไปขายขนมที่ตลาดตามกิจวัตรเดิม เพิ่มเติมคือวันนี้มีลูกสาววัยกำลังน่าฟัดนั่งรถมาด้วย พ่อขี่มอไซค์ ส่วนแม่อุ้มลูกนั่งอยู่ส่วนที่ต่อเป็นสามล้อพ่วงข้าง เด็กน้อยดูตื่นเต้นกับการได้ออกมานั่งรถกินลมเป็นครั้งแรก ผู้เป็นพ่อ ชะลอรถ ณ จุดกลับรถก่อนทางเข้าตลาด แต่รถกระบะที่วิ่งตามหลังมาไม่ชะลอตามกลับวิ่งตามหลังมาด้วยความเร็วสูงก่อนจะมีเสียง
เบรคลากล้อเสียงดังและชนท้ายรถสามล้อพ่วงข้างทันที โครมมมมม!!! ร่างของแม่และลูกกระเด็นลอยละลิ่วออกจากรถสามล้อพ่วง ทันที ผู้เป็นพ่อไถลติดไปกับรถที่ตัวเองขี่หลายร้อยเมตรแล้วไปพลิกคว่ำข้างทาง ส่วนรถกระบะก็ไถลเห็นรอยลากของรถเป็นทางยาว แล้วไปพลิกคว่ำห่างจากจุดที่ชนไม่ไกล เสียงรถชนดังสนั่นหวั่นไหวทำให้คนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจและรีบวิ่งกรูออกมาดูทันที เมื่อเสร็จสิ้นงานศพ ลูกเขยก็ย้ายตัวเองออกไปกลับบ้านเกิด มีการส่งข่าวหาตาเป็นระยะ ซึ่งไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้จะมีครอบครัวใหม่แล้วหรือยัง  ในส่วนของตามันก็กลายเป็นคนเก็บตัวซึมเศร้า เมียตายไปนานแล้ว ลูกสาวคนเดียวและหลานสาวก็มามีอันเป็นไป ยังดีที่บ้านปู่ย่าอยู่ฝั่ง ตรงข้ามกันจึงทำให้ยังดูแลไปมาหาสู่กันได้ ตามันก็ได้ปู่ย่าและลูกปู่ย่าก็คือน้า ๆ อา ๆ ที่คอยช่วยเหลือแบ่งปันดูแลกันไปเพราะความสงสาร  แกไม่เหลือใครอีกแล้วในชีวิตนี้ หากได้เพื่อนดีก็เป็นกัลยาณมิตรที่ดีของชีวิต วันเวลาผ่านไป ความเจ็บปวดที่กัดเซาะอยู่ในหัวใจของชายชรากลับไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แต่กลับทวีคูณเพิ่มเขึ้นเพิ่มขึ้น ทั้งยังสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้ตามันอยู่เป็นเนือง เมื่อตามันคิดถึงลูกสาวและหลานมากจึงมาขอร้องปู่ให้ช่วยเหลือ

"อยากเจอลูกกับหลานแทบขาดใจแล้ว" นี่คือประโยคที่ตามันบอกปู่ ปู่เราไม่ได้เป็นหมอผี แต่ก็พอมีวิชาคาถาอยู่บ้างตามแบบของตำรวจสมัยนั้น ด้วยความสงสาร ปู่จึงยอมไปนอนบ้านตามันในคืนหนึ่ง
และเอาแป้งโรยไว้ที่หน้าบันไดบ้านขั้นบนสุดและสวดคาถาบางอย่าง กำชับว่าคืนนี้อย่าออกจากห้องหากได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามออก  มาดู ตอนเช้าตื่นมาค่อยดูอีกทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น ย่าเล่าว่าคืนนั้นย่าก็นอนไม่หลับทั้งคืน กระสับกระส่ายเพราะรู้ว่าปู่จะไปเชิญวิญญาน มาบ้านตามัน อยากเห็นก็อยากเห็นกลัวก็กลัวแต่ก็ไม่กล้าไปนอนค้างบ้านตามันด้วยอีกคน หวังรอฟังข่าวตอนเช้าที่บ้านนี้ดีกว่า แต่จะด้วยอากาศร้อนหรืออย่างไร ย่าลุกขึ้นมาและผลัดผ้าถุงเดินออกไปอาบน้ำที่อยู่ด้านนอก สายตาไม่วายสอดส่ายไปบ้านตามัน อยากรู้ว่าจะมีอะไรผิดสังเกตไหม จนกระทั่ง สายตาเจ้ากรรมไปปะทะกับร่างหนึ่งยืนประจันอยู่บนบ้านหันหน้าเข้าบ้านตามัน ย่าหยุด นิ่งค่อย ๆ ก้มตัวต่ำหลังโอ่งหน้าห้องน้ำแล้วแอบมอง ร่างนั้นมาเป็นเงาดำพอเห็นเป็นรูปร่างแต่ไม่เห็นรายละเอียด ร่างนั้นค่อย ๆ  เดินเข้าไปในบ้านแล้วหายวับไปกับตา ย่าตกใจแต่ก็ต้องรีบดึงสติลุกขึ้นก้าวขาจะวิ่งเข้าบ้าน อว๊อค อว๊อค.......... เสียงเหมือนอะไร
สักอย่างร้องดังขึ้นใกล้ ๆ ย่าบอกเอาแล้วมาแล้ววววววว แล้วรีบวิ่งเข้าบ้านอย่างรวดเร็ว เช้าวันรุ่งขึ้น ย่าพร้อมชาวบ้านแถวนั้นมามุง กันที่บ้านตามัน เพราะที่บ้านมีรอยเท้าขนาดไม่ใหญ่มากคู่กับรอยเท้าขนาดเล็กเท่าฝ่ามือเกิดขึ้นอยู่รอบบนบ้าน รอยเท้านั้นเริ่มตั้งแต่ หน้าประตูบนบ้านสะเปะสะปะมาถึงหน้าห้องตามันแล้วเลี้ยวออกไปทางห้องนอนของลูกสาวที่อยู่ข้างกัน แต่ที่น่าสังเกตุคือ รอยเท้าขนาดไม่ใหญ่มากนั้นจะปรากฏคู่กันกับรอยเท้าเล็กเสมอ นี่คือการพิสูจน์ที่ปู่เราทำเพื่อพิสูจน์ว่าลูกสาวกับหลานตามันได้กลับมาบ้านตามคำเรียกร้องหรือไม่ (ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคลนะคะ) 

ย่าเล่าให้ปู่และตามันฟังว่าคืนนั้นได้ยินเสียงร้องแบบไหน ตามันนั่งก้มหน้าถอดหายใจและเล่าว่า ก่อนวันงานแต่งงานลูกสาว  ลูกสาวได้มาถามถึงอาหารที่จะใช้เลี้ยงแขกในวันงาน ลูกสาวเสนอตาว่าให้เอาที่ตัวมันน้อย ๆ (เล็ก ๆ) ไม่ต้องใช้ใหญ่มากเพราะ แขกไม่เยอะและขอเอาตัวที่ตาเลี้ยงไว้ก็ได้จะได้ไม่ต้องไปซื้อ ตาปฏิเสธไม่อยากให้เอาตัวที่เลี้ยงไว้เพราะมันยังเด็ก แต่เมื่อลูกสาว ดื้อดึงจะเอาให้ได้ ตามันก็ทำใจอยู่นานกว่าที่จะยกตัวนั้นให้ลูกสาวแต่มีข้อแม้ว่าตาจะไม่เป็นคนลงมือทำอะไรทั้งสิ้นให้หาคนมาทำเอง 
ลูกสาวจึงว่าจ้างพ่อครัวใหญ่ที่เป็นคนในหมู่บ้านมาลงมือ ลูกสาวให้พ่อครัวใหญ่เป็นคนเข้าไปในคอกเพื่อจับมันออกมา และไม่รู้ว่าด้วย สัญชาตญาณของสัตว์หรือไม่ ในคอกนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 แม่ ลูก พ่อครัวใหญ่เข้าคอกไปและกระโดดตะครุบตัวทันที มันวิ่งหนีกระเจิง รอบคอกวิ่งซุกหลังแม่มันบ้างกระโจนออกบ้าง จนมันหมดแรงถูกเขาจับอุ้มใส่กระสอบแล้วเอามาอดข้าวอดน้ำอยู่นอกคอก เมื่อทิ้งไว้ได้ สักระยะหนึ่ง ลูกสาวตาเดินมาแง้มปากถุงพร้อมตะโกนบอกตาว่า  ”ร่ำลากันหรือยังล่ะพ่อ จะให้เขาทุบหัวตัดคอมันแล้วเน้อ” 

พูดเสร็จก็หัวเราะ ตามันจึงลุกเดินมาแง้มกระสอบมองหน้ามันแล้วเอ่ยขอว่าเป็นวันมงคลถือว่าทำบุญนะ จากนั้นตาจึงหันหลัง เดินออกมาแล้วได้ยินเสียงมันร้องดัง ๆ หนึ่งที เสียงที่ว่านี้กลับกลายเป็นเสียงเดียวกันกับที่ย่าได้ยินคืนนั้น ย่าว่าขนลุกทั้งตัว เพราะนึกภาพลูกสาวกับหลานตาตอนที่ถูกรถชน สภาพคือคอหักเอนแอ่นทั้งคู่ ตามันว่ามันคงเป็นเวรกรรม ทุกคนที่อยู่ใน เหตุการณ์ต่างมีส่วนร่วมในการชดใช้ ตามันจึงก้มหน้ายอมรับกับสภาพและผลของมันตราบจนตามันสิ้นลม

ปล. หากมองเป็นเรื่องความประมาทก็นับว่าเป็นได้ หรือหากจะมองเป็นเรื่องเวรกรรมก็นับว่าเป็นได้อีกเช่นกัน คงเป็นเรื่องบังเอิญที่เจ้าของรถกระบะคันนั้นคือพ่อครัวใหญ่ที่เคยมาช่วยงานแต่งของลูกสาวตามัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ