เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเองค่ะ อาจจะเหมือนอ่านบันทึกการเดินทางนิ๊ดนุงนะคะ ดิฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจกับทัวร์นี้จริง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อน ๆ ของคุณแม่ ที่ค่อนข้างมีอายุแล้วทั้งนั้น (ทัวร์คนแก่ว่างั้นเถอะ) แต่ละที่ ๆ เราไป ขอบอกเลยว่าไม่ธรรมดา หมายถึงการเดินทาง…
บางที่รถตู้ไม่สามารถเข้าถึง…ต้องใช้รถโฟร์วิวตะกายขึ้นไปยังที่พักบนภูเขา “ไปดูทะเลหมอก” (ขอโทษด้วยนะคะ ถ้าจำชื่อสถานที่ไม่ได้) รู้แต่ว่า Adventure สุดๆ...อ่าว!! เวรกรรม!! การเป็นบรรยายที่เที่ยวไปแล้วซะงั้น..วกกลับเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะคะ คือคณะทัวร์ของเรา ก็ไปพักตามที่ต่าง ๆ ซึ่งก่อนนอนทุกครั้ง คุณแฟนกับคุณแม่ของดิฉันอีกนั่นแหละ จะต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนทุกคืน เพื่อขออนุญาติเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา และสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย จะมีก็แต่คนขี้เกียจแบบดิฉัน กราบหมอนเสร็จก็กลิ้งตัวลงนอนซะอย่างนั้นแหละ “บอกสั้นๆ ว่าขอให้ฝันดี” แล้วก็หลับสนิท ซึ่งปกติก็ทำแบบนี้ทุกที่จนมาถึงที่แม่สายในคืนสุดท้าย...เรามาพักที่แม่สาย เพื่อว่าพรุ่งนี้เช้าจะข้ามด่านไปประเทศพม่ากันทั้งคณะ ซึ่งที่ ๆ เรามาพักนี้เป็นคอนโดฯ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวมาพักค้างคืนได้ค่ะ หลังจากที่หัวหน้าทั้วร์แจกจ่าย key card แบ่งห้องให้กับทุก ๆ คนเสร็จเรียบร้อย ต่างคนก็ต่างแยกกันขึ้นห้องพักตามปกติ ดิฉันกับคุณแฟน และคุณแม่พักห้องเดียวกัน 3 คนค่ะ...
พอเราเปิดประตูเข้าไปเท่านั้นแหละ…ความรู้สึกแปลก ๆ ก็เกิดขึ้น…มันแปลก ๆ แบบบอกไม่ถูก และไม่ใช่ว่าดิฉันจะรู้สึกคนเดียวนะคะ ทุกคนรู้สึกเหมือนกัน ว่าห้องนี้มันมีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ได้แต่มองหน้ากันแล้วทำตาปริบ ๆ แบบเราเข้าใจกัน คือปกติดิฉันจะนอนเตียงเดียวกับคุณแม่ ส่วนคุณแฟนจะนอนอีกเตียงนึง แต่คราวนี้ทุกคนลงความเห็นว่า เราน่าจะเลื่อนเตียงมาชิดกันดีกว่ามั้ย จากนั้นเราลงไปกินข้าวเย็นกัน แล้วก็เอ้อระเหยเดินซื้อของอยู่แถวๆ นั้นจนประมาณ 3 ทุ่มกว่าเห็นจะได้ เพราะทุกคนคิดเหมือนกันว่าไม่อยากกลับไปนอนในห้อง แต่จะทำยังไงได้ เพราะจะขอแลกห้องกับคนอื่น ก็กลัวเขาหาว่าเรื่องมาก ยิ่งถ้าบอกว่ากลัวผียิ่งแล้วใหญ่คงจะไม่มีใครยอมแลกห้องกับเราแน่ ๆ
แล้วอยู่ ๆ ก็มีสียงคนมาเคาะห้อง ก๊อก ก๊อก ก๊อก คุณแฟนก็เข้าใจว่าเป็นพวกป้า ๆ ในคณะทัวร์มาเคาะ ก็เลยจะรีบจะไปเปิดประตู แต่คุณแม่ห้ามเอาไว้และบอกให้ดูที่ตาแมวก่อน ว่าใครมา??..ปรากฏว่าไม่มีใครที่ด้านนอก ซึ่งก็เป็นแบบนี้ประมาณ 3 ครั้ง ทุกคนจึงสรุปเอาเองว่าคงจะเป็น “เสียงลม” (เหอะๆๆ)...จนในที่สุดทุกคนก็เข้านอนโดยที่มีดิฉันนอนอยู่ระหว่างกลาง และเปิดทีวีทิ้งไว้ (ด้วยความเชื่อที่ว่า คลื่นโทรทัศน์จะรบกวนคลื่นวิญญาณ ทำให้วิญญาณปรากฏตัวได้ยาก) แน่นอนค่ะ คืนนี้ดิฉันไม่พลาด ที่จะสวดมนต์แบบ Full option (คือแบบสวดแบบมี อิติปิโสฯ พร้อมกับแผ่เมตตาแถมให้ด้วย) และแล้วดิฉันก็รู้สึกเหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่น ซักพัก อยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงผมยาวแต่รวบไว้ด้านหลังเป็นหางม้า ผิวขาว หน้าตาเหมือนหญิงสาวชาวเหนือทั่ว ๆ ไป เธอค่อย ๆ ขยับมานั่งอยู่ที่ปลายเตียงพร้อมกับชวนดิฉันคุย
อ่าว!!!! คุณแม่ก็นอนลืมตามองมาทางดิฉันเหมือนกัน ต่างคนต่าง งง ๆ ว่าลืมตามาดูกันทำไม (แต่เหมือนรู้กันยังไงไม่รู้) ดิฉันเลยยิงคำถามไปก่อน “กี่โมงแล้วเนี่ย” ตาก็เหลือบไปดูเวลา โอ้วตี 3!!! รู้สึกว่าโชคดีที่เปิดทีวีกับไฟทิ้งไว้ ซักพักคุณแม่ก็บอกว่า “นอนเถอะ” ซักประเดี๋ยวคุณแฟนก็ตื่นเหมือนกันแล้วก็ลุกไปเข้าห้องน้ำจากนั้นเรา 3 คนก็มองหน้ากัน (อีกแล้ว) และทั้งหมดก็ตัดสินใจนอนต่อจนถึงเช้าโดยไม่พูดอะไรกันอีก
ตอนเช้าเราก็ออกไปทานข้าวที่ตลาด โดยต่างคนต่างเล่าถึงเรื่องเมื่อคืนนี้และมั่นใจว่า”ของจริงแน่นอน” เริ่มจากคุณแฟน ซึ่งปกติเป็นคนไม่กลัวผีอยู่แล้ว คุณแฟนเล่าว่าเมื่อคืนเขาเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น แล้วก็เห็นผู้ชายจ้องเข้ามาจากทางหน้าต่าง จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็ (ลอย) ผ่านไปยังห้องข้าง ๆ (ซึ่งข้างนอกไม่มีระเบียงเน้อ) แต่คุณแฟนก็คิดว่า คงเป็นเพราะกังวลมากไปทำให้เก็บไปฝัน ส่วนคุณแม่อันนี้เห็นจะๆ คุณแม่เห็นเป็นเงาผู้ชายดำปิ๊ดปี๊ ตัวสูงเกือบเท่าเพดาน ยืนอยู่ติดกับตู้เสื้อผ้าแล้วจ้องมองมา (จะจ้องทำไมกันน๊า) คุณแม่ก็เริ่มสวดมนต์แต่เขาก็ยังไม่หายไปจนกระทั่งดิฉันตื่นขึ้นมานั่นแหล่ะ คุณแม่ถึงได้บอกว่าเขาค่อย ๆ หายไป จากนั้นพอกินข้าวเช้าเสร็จ เราก็เอา Key card มาคืนที่ Reception ของทางคอนโดฯ แล้วพยายามจะหลอกถามเขาว่า ห้องที่เราพักมีผีรึเปล่า??? (ถามไปตรง ๆ เค๊าก็คงจะบอกหรอกนะ) “ไม๊มี๊!!! ไม่มีครับ ว่าแต่พวกคุณเจออะไรเหรอครับ ??” (แต่น้ำเสียงกับท่าทางของคนพูดนั้น มันบ่งบอกว่ามีอะไรแปลกๆที่นี่ซักอย่าง) “เจอผีค่ะ !!” ดิฉันบอกเขาไปแบบนั้น แล้วเราก็ออกจากที่นั่น โดยทิ้งให้เขาหวาดผวาเล่นแก้เซ็ง
สุดท้ายฃก็ไม่รู้อยู่ดีว่าห้องนั้นมีอะไรผิดแปลกไปจากห้องอื่น ๆ (เพราะห้องอื่นไม่เจอ) พวกเราได้แต่คิดว่าเราเองก็คงไม่อยากจะรู้เท่าไหร่ว่าจริง ๆ มีอะไรเกิดขึ้นในห้องนั้น แต่พวกเราก็ไม่ลืมที่จะบอกในใจว่า
เรื่องก็มีอยู่ว่า…ดิฉันกับคุณแม่ และแฟนของดิฉัน เราไปเที่ยวด้วยกันในช่วงปีใหม่ที่จังหวัดเชียงราย และเชียงใหม่ 5 วัน 4 คืน ซึ่งที่เที่ยวส่วนใหญ่ก็จะเน้นไปที่ “ดอย” ต่าง ๆ (ที่ ๆ มันทุรกันดารมาก ๆ แต่วิวก็สวยมาก ๆ เช่นกัน)...สุดท้ายเราก็ทำใจกลับมาที่ห้องอีกครั้ง ยังไง ๆ ก็มีกันตั้ง 3 คนจะเป็นไรไป เมื่อกลับมาถึงสภาพห้องก็ยัง (น่ากลัว) เหมือนเดิม ดิฉันอาบน้ำเป็นคนสุดท้ายด้วยอาการหวาดผวา ไม่ว่าจะเสียงเครื่องปั๊มน้ำที่ส่งเสียงโหยหวน ไหนจะคุณแฟนที่แสนดี คอยแกล้งแหย่ เสียงประกอบเพลง ทำนองชมรมขนหัวลุกในระหว่างที่ดิฉันอาบน้ำ จนคุณแม่ดิฉันยังอดขำไม่ได้
เธอบอกว่า เธอตายที่นี่ และอยากมาคุยด้วย พร้อมกับยิ้มให้ เหมือนคนคุยกันธรรมดาทั่วไป (แต่ดิฉันไม่คิดว่ามันธรรมดา) ถึงแม้จะมาแบบไม่น่ากลัวก็เถอะ แต่เกิดพี่แกเปลี่ยนใจ อยากจะมีโชว์ให้ ดูเผื่อว่าจะไม่เชื่อ แล้วจะว่ายังไง คิดได้ดังนั้นดิฉันก็เริ่มตั้ง “นะโม” ในใจ แค่นั้นดิฉันก็หลุดจากภวังค์ ลืมตาใสแจ๋ว หันไปมองทางคุณแม่
“ไม่ต้องตามมานะ” เพราะกลัวเขาจะขอติดไปด้วยนั่นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น