ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แท็กซี่ ผีดุ!!


ผมอยู่แถวซอยร่วมจิตต์ใกล้ๆ ศรีย่านนี่เองครับ วันดีคืนร้ายก็ไปเที่ยวถนนข้าวสารกับเพื่อนเกลอคือเจ้าอู๋ อยู่บ้านติดๆ กัน โดยขึ้นรถเมล์สาย 9 ไปลงบางลำพูพอดี


วันเสาร์ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ถนนข้าวสารคึ่กๆ ตั้งแต่หัวค่ำ ไม่ว่าคนไทยหรือนักท่องเที่ยวทั้งฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน ล้วนแต่ได้ยินชื่อถนนข้าวสารอันโด่งดังระดับโลกมาหลายปีแล้ว เลยแห่มาเที่ยวกันเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะพวกฝรั่งนี่หลายรายถึงกับหอบลูกจูงหลานมาเที่ยว ขนาดลูกเล็กๆ ใส่รถเข็นยังมีนี่นา ที่ค่อนข้างแปลกหูแปลกตาของพวกเราก็คือฝรั่งแก่ๆ ขนาด 60-70 ปีขึ้นไปยังอุตส่าห์หอบสังขารมาเที่ยวถนนชื่อกระฉ่อนกับเขาเหมือนกัน เหลือเชื่อจริงๆ เอ้า!


คนพวกนี้ก้มหน้าก้มตาทำงานหนักมาตั้งแต่หนุ่มยังสาว เพื่อเก็บเงินเก็บทองเอาไว้เดินทางไปเที่ยวเตร่ เปิดหูเปิดตาต่างแดน ตรงข้ามกับพวกเราที่แก่ตัวเข้าก็มักอยู่บ้านเลี้ยงหลาน หรือไม่ก็เข้าวัดเข้าวาไปเลย โธ่! แก่ตัวเข้าเรี่ยวแรงก็ถดถอย ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็หอบแฮกแล้ว ผมว่าสู้ไปเที่ยวตอนที่ยังสาวหนุ่มกระชุ่ม กระชวย เรี่ยวแรงแข็งขันยังจะเข้าท่ากว่าเป็นกอง


อย่างว่าละครับ วัฒนธรรมของใครของมัน ไม่ว่ากันอยู่แล้วงานนี้จะหนุ่มสาวหรือเฒ่าแก่ก็ขอให้มาเที่ยวสยามเมืองยิ้มกันเยอะๆ ก็แล้วกัน เงินทองจะได้ไหลมาเทมา ผู้คนจะได้มีงานบริการทำเยอะๆ พ่อค้าแม่ขายก็จะได้ซื้อง่ายขายคล่อง คนยากคนจนจะได้ลืมตาอ้าปากซะที...เศรษฐกิจตกสะเก็ดมาหลายปีแล้วครับ การท่องเที่ยวถือว่าไม่ต้องลงทุนลงรอนอันใด รับเนื้อๆ ลูกเดียวเท่านั้น! อ้าว? ผมก็เผลอไผลติดลมบนไปหน่อย เดี๋ยวก็ลืมเรื่องขนหัวลุกจนได้ บรรยากาศที่ถนนข้าวสารจะสนุกสนาน น่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหนคงไม่ต้องบรรยายให้เสียเวลาก็ได้นะครับ...เรื่องมาเกิดเอาอีตอนที่ผมกับเจ้าอู๋ออกจากร้านเบียร์ที่ตั้งโต๊ะบนฟุตปาธตอนห้าทุ่มกว่า...เลยไปออกทางด้านใกล้ๆ สี่แยกคอกวัวเพื่อหาแท็กซี่กลับบ้าน เพราะเรากำลังเมาฉ่ำๆ กันทั้งคู่


เชื่อไหมครับว่าแท็กซี่ 5-6 คันที่เปิดไฟสว่าง เลี้ยวจากถนนราชดำเนินมาจอดน่ะ ไม่มีใครยอมรับเราซักคัน!...พอเปิดประตูหลังเท่านั้น คนขับก็หันมาถามทันทีว่าจะไปไหน? พอบอกจุดหมายก็ส่ายหน้า ออกรถไปทันที! บางคันที่เราเปิดประตูหน้าถามว่าจะไปมั้ย? ก็หันมองด้วยสายตารำคาญ บอกว่าไม่ไป! เจ้าอู๋ชักยัวะเลยถามว่าพี่จะไปทางไหนล่ะ? คนขับก็ยืนยันว่าไม่ไป...ก่อนจะแล่นพรวดออกไปเลย "มึงจะรับแต่ฝรั่งหรือไงวะ?" เจ้าอู๋ตะโกนตามหลัง... แท็กซี่ที่ขับเลยไปก็คงผ่านถนนสิบสามห้างที่ไม่มีฝรั่ง หรือนักท่องเที่ยวอะไร...คงจะหาทางวกมาล่าเหยื่อรอบ ใหม่


ได้ข่าวว่าตำรวจสน.ชนะสงคราม งานหนักจนประสาทกินไปหลายนายแล้ว ไม่ลองแต่งนอกเครื่องแบบมาสังเกตการณ์มั่งนี่ครับ...อย่าลืมว่าที่แท็กซี่ไม่อยากรับคนไทยก็มีสาเหตุเดียวคือ...ไม่ได้โขกเงินชนิดขูดรีดเหมือนผู้โดยสารฝรั่ง ไม่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวก็อย่าทำลายเลยครับ! ในที่สุดก็มีแท็กซี่เปิดไฟว่างแล่นเข้ามา เจ้าอู๋โบกมือให้จอดก่อนจะเปิดประตูหลังขึ้นไปนั่งทันทีพร้อมกับบอกจุดหมาย ผมก้าวตามเพื่อนไปติดๆ นั่งรอจะว่าโดนบอกปัดท่าไหน? ยอมรับว่ากำลังเดือดปุดๆ จนแทบหายมึนเบียร์ละครับ แต่ผิดหวังแฮะ...แท็กซี่รับคำแล้วออกรถไปเลี้ยวขวาเข้าถนนพระสุเมรุ ผ่านหน้าวัดบวรฯ เจ้าอู๋บ่นดังๆ ว่าแท็กซี่คันอื่นไม่รู้เป็นไง ไม่ยอมรับเราซักคัน


เสียงหัวเราะหึๆ อย่างอารมณ์ดีดังขึ้น ผมเหลือบดูก็เห็นคนขับเป็นชายชราผมขาวค่อนข้างยาว มุมปากมีรอยยิ้มนิดๆ ขณะเลี้ยวซ้ายที่สี่แยกวันชาติ แล่นไปตามถนนประชาธิป ไตยที่รถราค่อนข้างโล่งว่าง...ไม่ช้าก็เข้าสู่ถนนนครราชสีมาอย่างรวดเร็ว...จนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง ผมเห็นมิเตอร์ขึ้นเกือบ 70 บาท แต่นึกถึงน้ำใจแกที่ไม่เห็นแก่ตัว บอกปัดผู้โดยสารคนไทยด้วยกัน เลยส่งแบงก์ร้อยให้...บอกไม่ต้องทอน ได้ยินเสียงขอบคุณครับเบาๆ ก่อนที่เราจะลงจากรถ...แล้วต้องยืนตะลึงงันกันทั้งคู่


ท่ามกลางแสงไฟถนนเยือกเย็น แท็กซี่คันนั้นแล่นไปทางสี่แยกพิชัย...แล้วเลือนรางจางหายไปต่อหน้าต่อตาเรานั่นเอง...นึกถึงเรื่องนี้ทีไรผมกับเจ้าอู๋ขนหัวลุกทุกทีไป!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ