ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

“อย่าพาผีหยุด อย่าพาผีเซา” โลงศพผีตายโหง


สมัยเด็กผมอยู่ ต.โพนทอง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี เชื่อว่ามีชาวพวนอยู่มากที่สุด ชาวบ้านแทบทุกตำบล 10 คนเป็นพวน 8 คน ไทยเวียงกับเชื้อสายจีนอีกอย่างละ 1 คน “พวน” นะครับ ไม่ใช่ “ลาวพวน” อย่างที่ชอบเรียกกันผิดๆ มาถึงเดี๋ยวนี้ ชาวพวนนับถือทั้งพุทธศาสนากับผีปู่ตา ผีบรรพบุรุษ โดยแยกหิ้งพระต่างหาก ในหมู่บ้านยังมีศาลผีปู่ตา คล้ายๆ ศาลผีตาแฮกในภาคอีสาน ส่วนมากมักจะสร้างไว้ตามเนินโคกหรือจอมปลวกใหญ่ๆ บ้างเรียกว่า “หอบ้าน” ก็มี

ที่ตำบลหินปักจะมีพิธีกรรมเลี้ยงผีปีละครั้ง มีคนสูงอายุทำพิธีเรียกว่า “เจ้าจ้ำ” เชื่อว่าถ้าเซ่นไหว้ดี-ทำพลีถูกต้องครบถ้วน ผีปู่ตาจะมาคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดไป ปกติจะมีการเซ่นในวันสิ้นเดือนที่ตรงกับวันพระ โดยจัดอาหารคาวหวานและหมากพลู บุหรี่ แล้วใช้ใบตองห่อเป็นรูปสี่เหลี่ยม นำไปวางไว้ตามทางสามแพร่ง ที่เชื่อตรงกันไม่ว่าไทยหรือพวน คือเป็นทางผีผ่าน บ้างนิยมไปวางไว้ข้างโบสถ์ก็มี…ถือเป็นการแจกอาหารทำทานให้ผีเปรตและผีไม่มีญาติด้วย พิธีกรรมเกี่ยวกับงานศพก็น่าสนใจนะครับ
เมื่อมีการตายผิดธรรมชาติ เช่น ตายโหง พวกเราต้องฝังศพไว้ก่อน 3 ปีแล้วจึงขุดขึ้นมาเผา เพื่อรอให้วิญญาณไปผุดไปเกิดเสียก่อน ไม่งั้นอาจจะมาเอาชีวิตญาติสนิทมิตรสหายไปอยู่ด้วยก็ได้ อย่าล้อเล่นไปเชียว 

ตอนที่หามศพลงจากบ้านแล้ว เจ้าของบ้านจะต้องรีบชักบันไดขึ้นทันที เพราะบ้านส่วนมากปลูกใต้ถุนสูง มีบันไดพาด จะเข้านอนก็ชักบันไดขึ้นเก็บ ไม่ให้พวกขโมยขโจรแอบย่องขึ้นมาได้ง่ายๆ
ถ้าเกี่ยวกับคนตายก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผีกลับขึ้นได้อีก…ไปแล้วไปเลย ว่างั้น! ขนาดนั้นยังไม่ค่อยวางใจ เมื่อเผาศพเสร็จแล้วก็จะนำน้ำส้มป่อยมาสาดบ้าน สาเหตุเพราะต้นส้มป่อยมีหนามมาก ถึงผีจะหาทางขึ้นบ้านได้ก็ไม่กล้าบุกรุกเข้าไปในห้องในหับ เพราะกลัวหนามตำเอานั่นละน่า ตอนหามศพออกจากบ้านก็ต้องใจหายใจคว่ำอีกแล้วครับ มีกฎเกณฑ์ที่ทุกคนล้วนรู้ๆ กันอยู่แก่ใจว่า ตอนหามศพไปป่าช้าน่ะ ห้ามวางโลงบนพื้นดินเด็ดขาด ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยหรือหิวน้ำหิวกะแช่แทบจะขาดใจก็เถอะเอ้า!

ถ้าทนไม่ไหวจนต้องเปลี่ยนคนหามโลงจริงๆ ก็ต้องไม่วางโลงลงพื้นดิน เพราะเชื่อถือกันฝังหัวว่าจะทำให้ผีมีอิทธิฤทธิ์ เฮี้ยนจัดระดับป่าช้าแตกได้ง่ายๆ “อย่าพาผีหยุด-อย่าพาผีเซา” นั่นคือความเชื่อกันมาหลายชั่วคนแล้ว! แต่อุบัติเหตุ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยนึกไม่ถึงก็ทำให้เกิดเรื่องสยองขวัญได้ง่ายๆ
ลุงพื้นผัวป้าแย้มเป็นนักขึ้นตาลตัวยงประจำหมู่บ้าน แกทำทั้งน้ำตาลสดและน้ำตาลเมา แถมตัดตาลอ่อนๆ มาเฉาะเปลือกเอาลูกตาลหวานฉ่ำมาแจกเด็กๆ กินเสมอ กรรมวิธีบนยอดตาลน่ะผมไม่รู้หรอกครับ นอกจากตอนที่แกนั่งขัดสมาธิอยู่โคนต้น ใช้มีดเฉาะลูกตาลมาร้อยเส้นตอก แล้ววางบนใบตอง พวกเด็กๆ ที่รวมทั้งผมชอบล้อมวงกินลูกตาลเฉาะแสนอร่อยปากลิ้น แถมชุ่มชื่นใจอย่าบอกใครเชียว
วันหนึ่งลุงพื้นก็ตกตาลลงมาแหลกเหลว…ผู้คนมาช่วยอุ้มไปสิ้นใจที่บ้านพอดี!

เหตุสยองเกิดซ้ำตอนช่วยกันหามโลงศพลงจากบ้าน ชักบันไดขึ้นเรียบร้อย แต่ก่อนจะถึงวัดก็เกิดเรื่องไม่นึกไม่ฝัน…นั่นคือ น้าปั่นคนหามโลงด้านหัวเกิดเดินสะดุดท่าไหนไม่รู้ล้มลงไปนั่งหน้าซีดเซียว โลงผีหล่นโครมลงมาท่ามกลาง ความตะลึงพรึงเพริดของทุกคน เดชะบุญที่โลงไม่แตกจนเห็นภาพอุจาดตาของศพในโลง…แต่คนอื่นๆ ล้วนแต่หน้าตาซีดเผือดเป็นไก่ต้มไปตามๆ กัน น้าลือเป็นคนหามโลงแทนน้าปั่น…ตกค่ำก็ฟังสวด นั่งๆ นอนๆ เป็นเพื่อนผีหรือ “เฝ้าผี” กันตลอดเวลา…สะดุ้งผวากันทุกคนเพราะได้ยินเสียงเคาะโลงโดยทั่วหน้า คืนแรกนึกว่าลุงพื้นจะฟื้นขึ้นมา แต่ก็พบร่างศพสงบนิ่งในท่าเดิม ปิดโลงได้ไม่นานก็เกิดเสียงกุกกัก ตามด้วยเสียงเคาะโลงอีกแล้ว ได้ยินถนัดทุกคนจนนั่งสะดุ้งเป็นกุ้งเต้นไปตามๆ กัน…จนกระทั่งฝังศพลุงพื้นแล้วเรื่องสยดสยองจึงเงียบไป!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ