ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

"น้องๆหาที่พักอยู่เหรอ" เจอดีที่ขุนสถาน จังหวัดน่าน


สวัสดีครับ ต้องบอกก่อนนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดี สิ่งที่พิมคือเรื่องจริงทั้งหมด เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสไปเที่ยว ทางภาคเหนือ กับเพื่อนรุ่นน้องอีก 2 คน พวกเรานั่งเครื่องจากอู่ตะเภาไปลงที่เชียงใหม่ แล้วเช่ารถซูซูกิ สวิฟ ไปเที่ยวภาคเหนือกัน เริ่มแรกเราไปที่แม่กำปอง เชียงใหม่ตอน 09:00 หลังจากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่ขุนสถานจังหวัดน่าน ในระหว่างที่เราไป ก็แวะเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ แวะเที่ยวแพร่ด้วย ไปกัน 3 หนุ่ม ออกจากแพร่ประมาณ 16:30 ก็มุ่งหน้าสู่ ขุนสถาน สาเหตุที่มาที่นี้เพราะมีน้อง 1 คนที่มาด้วยกัน เคยมาเที่ยวที่นี้ น้องบอกว่าสวยมาก ที่พักก็ไม่แพง แล้วแต่จะให้ เพราะนอนที่บ้านพักอุทยาน ก็เลยตกลงมาเที่ยวกัน

หลังจากขับรถมาจากแพร่ ปะมาณ เกือบ 1 ชั่วโมงก็ถึงทางเลี้ยวไปจะขึ้นยอดเขาขุนสถาน ตอนนั้นประมาณ 5 โมงกว่าๆ อากาศเริ่มเย็น พอเริ่มขึ้นเขาก็จะผ่านหมู่บ้านชาวเขา เราก็จอดแวะซื้อของ เพราะกลัวว่าข้างบนจะไม่มีอะไรกิน แวะประมาร 10 นาทีก็ขึ้นเขาต่อ ระหว่างทางเป็นทางขึ้นเขาด้านข้างเป็นหน้าผาวิวสวยมาก อากาศก็เย็นสบาย ดวงอาทิตย์ก็ใกล้จะตกดิน  พอขับขึ้นไปใกล้ถึงอุทยานก็มืดแล้ว ระหว่างทางบนยดดอย ก็มีบ้านพักโฮมสเตย์ ตั้งอยู่ริมหน้าผา ตอนนั้นก็คุยกันว่าถ้าข้างบนที่พักเต็ม เดี๋ยวเราก็ลงมานอนข้างล่างก็ได้ ตรงนี้ที่พักเยอะเลย แต่แถวๆนั้นไม่มีคนเลย พวกผมก็คิดว่าคงไม่ใช้ช่วงหน้าหนาวคนเลยไม่เยอะ เพราะไม่มีคนเลย ไม่มีใครพักที่โอมสเตย์ แม้กระทั้งคนเฝ้ายังไม่เห็นสักคน แต่ก็คนคิดว่าแถวนี้คงนอนเร็วเพราะฟ้ามืดแล้ว

จากหมู่บ้านชาวเขาถึงอุทยานก็หลายกิโล ใช้เวลานานพอสมควร พอถึงที่พักบนอุทยาน ก็มืดแล้ว แต่ข้างบนสวยมากมองเห็น ไฟตามถนน เห็นทั่วเลย อากาสก็ดี จากนั้น ก็เลยเดินไปถามเจ้าหน้าที่ว่ามีที่พักว่างไหมครับ เจ้าหน้าที่ตอบว่าคืนนี้เต็มแล้วน้อง เพราะที่พักข้างบนมีไม่กี่หลัง จากที่ดู เหมือนมีไม่ถึง 10 ห้อง พี่เจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่าน้องลองลงไปดูที่พักเอกชนที่ผ่านขึ้นมาสิ พี่เขาก็พาไปที่หน้าผาแล้วก็ชี้ไป ที่หลอดไฟขาวๆ เขาบอกน้องลองไปติดต่อที่นั้นดู พวกผมก็เลยไป เพราะมันมืดแล้ว กลัวจะไม่มีที่พัก พวกผม 3 คน ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะใจอยากมาเที่ยว และไม่ค่อยเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับเท่าไร หลังจากนั้นก้ขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่ที่แนะนำ

พวกผมก็ขับรถ ออกจากอุทยาน ตอนนั้นก็มืดแล้วครับ ประมาณ เกือบ 1 ทุ่มได้ อากาศหนาวครับข้างบน พวกเราทั้งสามก็ค่อยๆขับมาเลื้อยๆ ไม่ไกลจากอุทยานมากนัก ประมาณ 1 กิโล ก็เจอที่พักแรก แต่ไม่เปิดไฟเลย มืดมากตลอดทางไฟข้างทางก็ไม่มี บนถนนไม่มีรถผ่านสักคัน เงียบมาก บรรยากาศต่างจากตอนขึ้นมา เหมือนอยู่คนละที่ เสียงนกร้อง ชวนขนลุก พวกผมก็มองหาโฮมสเตย์ที่พี่เจ้าหน้าที่แนะนำ ที่มีหลอดไฟเป็นอยู่ อยู่ไม่ไกลจากอุทยาน เกือบ 2 กิโลได้ พอใกล้ถึง น้องคนที่เคยมาแล้ว บอกว่า ออกพี่ที่นี้ผมเคยมา ตอนเป็นวัยรุ่นเคยขี่มอไซมากับเพื่อน มาแอบนอนตรงเขาขายสตอเบอรี่ ตรงนี้ น้องบอกว่าแอบกินสตอเบอรี่เขาด้วย โดนยายแก่ๆ ด่ามา ไอ้เราก็คิดว่า นานแล้วแกคงจำหน้าไม่ได้หรอก อีกอย่าง มันเหลือที่พักที่เดียว ที่อื่นก็ไม่มีปิดไฟมืดหมด จะลงกลับไปนอนตีนเขาก็ไกล เพราะทางมันมืด ก็เลยตกลงกันว่าจะนอนที่นี้เละ เพราะมืดแล้ว พอไปถึงป้ายโฮมสเตย์ ก็มีเบอร์โทรติดไว้ เลยโทรเข้าไปก่อน เพราะทางขึ้นที่พัก ต้องเดินขึ้นไปบนเขาอีก รถยนต์ขึ้นไปคงลำบาก เพราะไม่มีไฟเลย น้องอีกคนเลยโทรไป ไม่มีคนรับ พวกผมเลยจอดรถด้านล่าง ข้างๆกับป้ายที่พัก แล้วจะเดินขึ้นไป พอลงรถ ก้าวขาลงไป อากาศข้างนอกเย็นมาก เย็นกว่าเดิม และข้างนอก เสียงนกร้องน่ากลัวมาก ใจผมตอนนั้นเริ่มหวั่นๆ เพราะเป็นคนมีเซ้น พอสมควร แต่ก็คิดว่า จะแสดงอาการกลัว เดียวน้องมันจะกลัวด้วย เดียวจะไม่ได้นอน

หลังจากนั้นทั้งสามคน ก็เดินขึ้นไป ที่พัก เป็นถนนแคบๆ ทางชันขึ้นเนินเขา ระหว่างที่เดิน ก็ตะโกนไป “สวัสดีครับ มีใครอยู่ไหมครับ” พอใกล้จะถึง ข้างบน หลอดไฟที่ติดอยู่ ที่มองเห็นจากบนอุทยาน พอเดินใกล้ถึง อีกประมาณ 100 เมตร ดับต่อหน้าต่อตา ทุกคนมองหน้ากัน ผมพูดว่า เอาแล้วไง แล้วสักพัก ผมมองไปรอบๆ ทางซ้าย ผมเจอ อะไรบ้างอย่าง เหมือนเป็นบ้านหลังเล็กๆ อยู่ซ้ายมือไม่ไกล ประมาณ 30 เมตรได้ แต่มันมืด มาก เลยมองไม่เห็น พอเดินมาใกล้ๆ ตรงนี้ เป็น ศาล อะไรสักอย่าง พอผมเห็น ผมเลยพูดว่า เห้ยยยย นี้มันศาลนิ จากนั้นน้องทั้งสองคน หันไปมองแล้ววิ่งๆกันหมด ลงไปที่รถ ระหว่างทาง ได้ยินเสียงนก เหมือนเห็นน้องอะไรสักอย่าง ตัวเดิม ร้องตัวกว่าเดิมอีก พวกผมทั้งสามคน พุ่งขึ้นรถ รีบล็อกรถ น้องอีกคนหนึ่งว่า พี่ผมได้ยิน มีคนตะโกนว่า “น้องๆ” ตอนเราวิ่งลงมา ผมเลยหันไปมอง เห็นเงาดำๆ เหมือนคน ยืนอยู่ตรงศาล แต่มันมืดมองไม่ชัด

ผมเลยพูดขึ้นว่า พอๆ ไม่ต้องพูด ไม่มีอะไรหรอก ไปหาที่อื่นดีกว่า ไปๆรีบไปๆ น้องคนที่ขับรถ พูดว่าแล้วเราจะไปที่ไหนละพี่ มันมืดแล้ว ผมเลยบอกว่า ไปก่อน ถอยรถ ออกจากตรงนี้ ค่อยหาเอา 

ในระหว่างนั้น น้องก็เขาเกียร์ ถอยหลัง เพื่อนออกจาก ทางเข้าที่พัก พอรถเริ่มขยับถอยหลัง เซ็นเซอร์ ที่ติดท้ายรถ ดังขึ้น เป็นสัญญานเตือนว่า กำลังจะชนอะไรบ้างอย่าง ทุกคนหันไปมองพร้อมกัน ข้างหลังไม่มีอะไร เป็นพื้นที่โล่ง แต่ก็ งง ว่าเซ็นเซอร์ดังได้ไง เลยบอกให้น้องคนขับว่า ลองขับไปข้างหน้า แล้วค่อยถอยหลังใหม่ พอเข้าเกียร์ถอยหลัง เซ็นเซอร์ก็ดังอีก ทีนี้ น้องคนขับ รีบขับพุ่งออกจากตรงนั้น ขับออกมาประมาณ 300 เมตร แล้วจอดข้างทาง ผมถามว่า อ้าวจอดทำไม น้องบอกพี่ ตอนรอบสองที่ผมถอย ตอนผมมองกระจกหลัง ผมเจอเงาดำๆ อยู่หลังรถ ไอ้น้องอีกคนเลยบอกว่า ไม่มีอะไรหรอก 

เลยลองถอยหลังดูว่าตรงนี้จะดังไหม สรุปเซ็นเซอร์ไม่ดัง งงมากๆ ทีนี้เลยอยากทดลอง ไหนๆก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน เลยบอกว่า งั้นเดียวเองลองขับไปที่เดิม แล้วลองถอยหลังดู ไอ้น้องคนขับบอกว่า ไม่เอาหรอกพี่ น่ากลัว ไอ้น้องอีกคนเลยบอกว่า ไปๆ ลองดู จะได้รู้ๆ สรุปก็กลับไปที่เดิมพอไปถึงป้ายทางขึ้นที่พัก เลยทดสอบ ถอยหลังอีกครั้ง เสียงเซ็นเซอร์ ก็ดังอีก ผมเลยคุยกับน้องอีกคนว่า “ป่ะ เองลงมากับพี่ เดียวเอากระดาษ ทิชชู ไปเช็ดดู เพื่อมีอะไรไปติด เพื่อมันมีฝุ่นไปเกาะ” น้องมันก็ไม่กล้าลง ผมเลยดึงมาลง มาช่วยกัน พอผมเอากระดาษเช็ดตรงเซ็นเซอร์ ผมก็รีบวิ่งขึ้นรถ แล้วให้น้องเข้าเกียร์ถอยหลัง สรุปว่า เซ็นเซอร์ ก็ยังดังเหมือนเดิม ตอนนั้นขนลุกมาก เลยรีบให้น้อง ขับออกไป

ตอนนั้นคุยกันว่า ถ้าลงไป ข้างล่างอันตราย ถนนมืดน่ากลัว ไม่ชินทางด้วย เลยบอกว่า ลองขับหาที่พักแถวๆนี้ดู ค่อยๆขับ ระหว่างทางไม่ไกลจากที่พักที่ออกมาเมื่อกี้ ก็มีบ้านพัก ริมถนน ฝั่งหน้าผา เยอะอยู่ แต่ไม่มีที่ไหนมีคนอยูาและเปิดไฟเลย 

ขับไปได้อีก ประมาณ 500 เมตรก็เจอที่พักหนึ่งเปิดไฟอยู่ คิดว่า นอนที่นี้เละ น่าจะมีคนอยู่ เพราะเปิดไฟหลายดวง เลยไปจอดหน้าที่พัก ผมบอกน้องว่า เองจอดรถ หันหน้าออกทางถนนนะ เพื่อมีอะไรจะได้ ออกทัน (พูดติดตลก ขำขำกัน) แต่ตอนนั้นคิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว ก็ลงจากรถ แล้วเดินลงไป ก็ตะโกนถามว่า “สวัสดีครับ มีใครอยู่ไหมครับ จะติดต่อห้องพักครับ” ไม่มีเสียงตอบรับ เลยเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ไฟที่คิด เป็นไฟจากแผ่นโซ่ล่าเซล ติดแบบออโต้ สรุปไม่มีคนอยู่ เลยเดินไปที่ป้าย โทรไปเบอร์ ที่ติดไว้ โทรไปครั้งแรกไม่มีคนรับ โทรอีกครั้งมีผู้ชายรับ เขาบอกว่าที่พักคืนละ 800 ผมบอกว่า ตอนนี้ก็สองทุ่มกว่าแล้ว ผมขอ 500 ได้ไหม พี่เขาบอกว่าได้ แต่เป็นห้องตะเกียง ไม่มีไฟฟ้านะ ผมก็ตกลง เพราะจะได้ประหยัด พี่เขาก็บอกว่า รอประมาณ 20 นาที เดียวพี่ขึ้นไป พี่อยู่ตีนดอย

ทุกคนก็เลยขึ้นมารอบนรถ เพราะข้างนอกหนาวมาก เสียงนกที่ไหนไม่รู้ ก็มาร้อง ดังไปอีก ก็เลยนอนรอกันเพราะมันมืดมาก อากาศก็เย็น รอผ่านไป 20 นาที ก็เงียบ ไม่มีคนมา เลยรอต่อไป ผ่านไปอีก 10 นาที มีรถวิ่งมา คิดว่าจะมาจอดที่เรา แต่ก็ผ่านขึ้นไปทางดอย ผมเลยพูดว่า ทำไมนานจังว่ะ เองลองโทรหาพี่เขาหน่อยสิถึงไหนแล้ว น้องเลยโทรไป ไม่มีคนรับ โทรอีกครั้งก็ไม่มี  ในระหว่างที่น้องกำลังโทรตามอีก ผมก็เลยเปิดกระจกรถ มองดูวิวริมหน้าผา ตาผมก็มองไปเห็น ตรงที่พัก เป็นเหมือนที่พักพนักงาน เป็นห้องเล็กๆไม่มีประตูปิด มีมุ้งกางอยู่ด้านใน มองไปด้านในอีก ไฟรถส่องเห็นลางๆ มีผ้ายันต์ แขวนเต็มเลย ไม่ใช่แค่ผืนเดียวนะ มีเป็นสิบผืน เหมือนเป็นสำนักทรง ผมเลยบอกไปๆๆๆ สตาท์รถ รับไปๆ น้องบอก มีอะไรพี่ เออรีบไป ไปก่อน แต่รถสตาท์ไม่ติด (ที่ไม่ได้สตาร์รถไว้เพราะ เปิดแค่ไฟหน้ากับเปิดเพลงในรถเลยไม่ได้สตาร์รถ เพราะอากาศเย็นอยู่แล้ว ไม่ต้องเปิดแอร์) สตาท์ยังไงก็ไม่ติด น้องก็ถามว่าพี่เป็นอะไร ผมบอกว่าเองลองดูที่ห้องนั้นดิ ทุกคนหันไป น้องพูดว่า ไม่เห็นมีอะไรนิพี่ ผมเลยบอกว่าเองเปิดกระจกลง แล้วดู ภาพที่เห็นคือผ้ายันต์ที่แขวนไว้อยู่ สบัด ปริ้ว สบัดไปมา ขนลุกมาก น้องรีบเอากระจกขึ้น ทีนี้สตาท์รถติด รีบขับออกมากลับไปทางอุทยานอีกครั้ง ออกมาได้ประมาณ 100 เมตร มีนกอะไรไม่รู้บินมาชนกระจกรถ ตายๆ เสียงดังมาก ทุกคนตกใจ หักหลบลงข้างทาง ผมเลยบอกว่ากลับขี้นไปข้างบนเถอะ มันไม่ใช่เละ ไปขอนอนกับเจ้าหน้าที่

สรุปกลับขึ้นไป ที่อุทยาน ไปเล่าให้เจ้าหน้าที่ฟัง เขาก็ยิ้มๆ แล้วเขาก็มากันหลายคน เลยคุยกันว่า จะเปิดห้องประชุมของอุทยานให้นอน พี่เจ้าหน้าที่ใจดีมาก พูดจาดีมาก จัดหาที่นอนห้อง ประทับใจมาก คืนนั้นกว่าจะได้นอน เล่นเอาหลอนไปเลย มีรูปหลายรูป แต่เอาลงไม่ได้ ทำไม่เป็น ผมพึ่งสมัคร เพื่อเล่าเรื่องนี้ คืนนั้นนอนหลับสนิทไม่มีอะไร ข้างบนอุทยาน เย็นสบาย บรรยากาศดี พอตื่นเช้ามา มาดูทะเลหมอก สวยมากๆ ทำให้ลืมเรื่องเมื่อคืนไปเลย มีโอกาสก็อยากกลับไปอีก แต่ก็ต้องจองห้องพักบนอุทยานไว้ 555+ 

เจ้าหน้าที่ดูแลดี ค่าบริการที่พักก็ไม่มี แล้วแต่จะให้ เรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องจริง ถ้าใครไปลองถามเจ้าหน้าที่ดู ว่ามีเด็กหนุ่ม 3 คน เคยมาพักแล้วที่พักเต็ม แล้วได้นอนห้องประชุม ผมว่าเจ้าหน้าที่คงยังจำได้  ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ ถ้ามีโอกาส ลองไปเที่ยวดูนะครับ สวยมาก กลางคืนดาวเต็มฟ้า เจ้าหน้าที่ดูแลดี ให้ 5 ดาวเลยครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ