ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

กับดักธรรมเสือสมิง


เมื่อแสงอรุณเริ่มจับขอบฟ้าเป็นประกายสีแสดทองอร่าม ดั่งเป็นสัญญาณให้หมู่นกกาเริ่มสลัดปีกบินออกจากรัง เพื่อเสาะแสวงหาอาหาร สัตว์ชนิดอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน ต่างรู้หน้าที่ของตน จะด้วยสัญชาตญาณหรืออะไรก็แล้วแต่ ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ล้วนมีหน้าที่และความต้องการของตนเอง ภิกษุหนุ่มก็เช่นเดียวกัน เมื่อเก็บข้าวของอัฐบริขารเรียบร้อยแล้ว พระหนุ่มก็ออกบิณฑบาตโปรดหมู่สัตว์และทำหน้าที่ของตน

ระหว่างทางเดินบิณฑบาตนั้น พระหนุ่มสังเกตเห็นว่า มีชาวบ้านมารอใส่บาตรหลายคน หรือแถวนี้จะมีหมู่บ้าน ผู้คนที่มาใส่บาตรเช้านี้ดูสำรวม เรียบร้อย ผิดกับชาวไร่ชาวนาชาวป่าชาวดอยทั่วไป พระหนุ่มจึงอดคิดสงสัยในใจไม่ได้ แต่ก็ยังคงทำหน้าที่โปรดสัตว์ต่อไปอย่างสำรวมระวัง เมื่อเดินผ่านต้นตะเคียนใหญ่ประมาณ ๕ คนโอบ ซึ่งบริเวณนั้นมีแอ่งน้ำใกล้ ๆ พระหนุ่มรู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องท่านอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เห็นใครเลยสักคน...แม้ว่าจะเป็นช่วงกลางวัน แต่อากาศก็เย็นสบายตลอดทั้งวัน จนบางครั้งก็รู้สึกหนาว โดยเฉพาะเมื่อลมพัดผ่านต้องกายของท่าน พระหนุ่มจึงต้องเอาผ้าสังฆาฏิมาห่มซ้อนอีกชั้น เพราะเกรงว่าจะไม่สบาย ห่างไปไม่ไกลจากกลดของพระหนุ่มนัก มีเก้ง กวาง กระต่าย เดินหากินไปมา แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่า ช่างเป็นภาพที่สวยงามและน่าจดจำยิ่งนัก หาดูมิได้เลยในเมืองใหญ่

บ่ายแก่ ๆ ประมาณสามโมง มีโยมผู้ชายห้าคนเดินเข้ามาหาพระหนุ่ม ชายคนหนึ่ง อายุประมาณ ๔๐-๕๐ ปี เดินเข้ามาใกล้ แล้วถามว่า “พระคุณเจ้ามาจากไหน”
พระหนุ่มก็ตอบว่า “มาจากถ้ำภูควายเงินที่เชียงคาน ที่อยู่ในเขตจังหวัดเลย”
โยมก็ถามต่อไปว่า “ท่านมารูปเดียวท่านไม่กลัวหรือ”
“ อาตมามาปฏิบัติธรรมธุดงควัตร” พระหนุ่มตอบกลับ
แต่โยมก็สวนออกมาทันควันว่า “ ผมทราบครับ ที่ท่านมานั้นมันล้วนอันตราย ถ้ำภูควายเงินก็อันตราย เคยมีพระธุดงค์มาตายอยู่ที่นั้น ๓ รูปเมื่อปีที่แล้ว และเมื่อต้นปีก็มาตายอยู่ที่ตรงนี้อีกรูปหนึ่ง และเขตนี้พระไม่ควรมา มันไม่ใช่เขตของพระที่จะมา” หนึ่งในนั้นร่ายยาว เหมือนกับเตรียมมาพูดเต็มที่กับประโยคดังกล่าว

พระภิกษุหนุ่มก็ตอบโยมไปว่า “โยมตรงไหนมีป่าตรงนั้นเหมาะสำหรับพระที่มาปฏิบัติหาความสงบ ฝึกจิตของตนให้ดีให้มั่นคงในความดี ที่พระมาฝึกในป่าก็ต้องการให้จิตใจเข้มแข็ง ด้วยวิธีการอยู่รูปเดียวในป่า ถึงแม้จะอันตรายจากสัตว์ป่าก็ตาม แต่พระก็จะมาฝึกเป็นเรื่องปกติ ส่วนโยมละอยู่แถวนี้หรือเปล่า อาตมาดูแล้วเหมือนโยมไม่ใช้คนแถวนี้นะ”
“ครับพระคุณเจ้า พระคุณเจ้าเคยได้ยินคำว่า สหาย ไหม”
“อ๋อโยมเป็นคอมมิวนิสต์หรือ ดีเลย อาตมาขอถามโยมหน่อยว่าอะไรคือ คอมมิวนิสต์ ตัวโยมหรือว่า อุดมการณ์ แล้วทำไมโยมมาอยู่ในป่าที่อันตราย”
“อยู่บ้านไม่ได้หรอกครับพระคุณเจ้า เพราะเขาจะจับไปติดคุก หรือ จับไปยิงทิ้ง อยู่ในป่าปลอดภัยกว่าอยู่ในเมือง ปลอดภัยกว่าอยู่ที่บ้าน”

พระภิกษุหนุ่มก็พูดแย้งขึ้นว่า “โยม พระภิกษุผู้ออกธุดงค์ก็เหมือนกันกับโยมนั้นแหละ อยู่ในป่าปลอดภัยกว่าเป็นร้อยเท่าพันทวี ปลอดจากกิเลส อันยั่วยวนจิตใจไม่ให้สงบ จึงต้องแสวงหาที่ทางอันสงบ โยมเป็นคอมมิวนิสต์ ต้องการทำตามอุดมการณ์ที่เชื่อของโยม สำหรับอาตมาก็มีอุดมการณ์ในการหาวิธีกำจัดกิเลสให้จิตใจสว่างเช่นกัน อุดมการณ์ที่ว่านี้คือ การทำลายความป่าเถื่อนออกจากจิตของตนเสีย ทุกอย่างก็เป็นสุขได้ ด้วยวิธีทำใจให้สงบ โยมลองทำดูนะ หายใจเข้าให้มีสติรู้ตลอดทั้งลมเข้าและลมออก แล้วโยมจะเห็นทางออกว่าจะนำสหายไปที่ไหนจึงจะบรรลุเป้าหมายที่กลุ่มโยมตั้งไว้”

ในที่สุดโยมเหล่านั้นก็ก้มลงกราบพระภิกษุหนุ่มแล้วลาจากไป ด้วยสีหน้ามึนงง พระภิกษุหนุ่มจึงทำภัตตากิจให้เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มการปฏิบัติธรรม ในรูปแบบการเดินจงกรม การนั่งสมาธิ ไปตลอดทั้งวันด้วยจิตที่สงบ เยือกเย็น เป็นสมาธิที่ลุ่มลึกในขั้นฌานสมาบัติเลยทีเดียว พระหนุ่มนั่งสมาธิจนพระอาทิตย์ตกดิน ท่ามกลางค่ำคืนอันดึกสงัด มีแต่เพียงเสียงสัตว์ร้อง เป็นเสียงนก กา ค่าง บ่างชะนี เป็นบทเพลงขับกล่อมตามธรรมชาติ แต่บางครั้งก็เป็นเพลงที่โหยหวน น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เสือ ช้าง หรือสัตว์ดุร้ายอื่น ๆ เมื่อพระหนุ่มเดินจงกรมเสร็จแล้ว ก็นั่งสมาธิต่อมิให้ขาดช่วง ระหว่างนั้นเวลาประมาณ ๓ ทุ่มกว่า ๆ พระหนุ่มก็ได้กลิ่นของดอกไม้หอมเข้ามาเตะจมูก มันหอมมากผิดกับกลิ่นดอกไม้ในป่าทั่วไป และไม่เคยได้กลิ่นเช่นนี้มาก่อน สักพักหนึ่งได้ยินเสียงคนพูดขึ้นว่า

“โยมเดินทางมาจากเขาฝากโน้นได้ยินข่าวว่าพระธุดงค์ปักกลดอยู่ตรงนี้ จึงได้ชวนกันมาขอฟังธรรมกับพระคุณเจ้า” พระภิกษุหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเห็นโยมผู้หญิงผู้ชายมานั่งอยู่ตรงหน้าประมาณ ๑๐ คนมาขอฟังธรรม พระภิกษุหนุ่มจึงหลับตาอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า “ การฟังธรรมเป็นการดี แต่ถ้าจะให้ดี เมื่อฟังแล้วให้นำไปปฏิบัติกันด้วย เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของชีวิต ทำใจให้สงบไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เพราะธรรมทำให้คนสูงก็ได้ ต่ำลงก็ได้ ทำบาปก็ได้ ทำบุญก็ได้ เพราะธรรมเป็นเรื่องของจิตใจ เป็นเรื่องของความดี เป็นวิธีเข้าหาความสุข ความสงบใจได้ทุกเมื่อ การเวียนว่ายตายเกิดมาอยู่ในภพภูมิต่าง ๆ ก็อาศัยจิตที่ดี อาศัยจิตเป็นพื้นฐานที่เป็นบุญเป็นกุศล และบุญกุศลนั้นแหละจะเป็นตัวนำพาให้ไปเกิดในภพใหม่อีกต่อไป” เมื่อพระภิกษุหนุ่มแสดงธรรมจบลง โดยใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง กลิ่นดอกไม้หอมก็หายไปโดยอัตโนมัติ และผู้ที่นั่งฟังธรรมก็หายไปทันที สิ่งที่ปรากฏกลับกลายเป็นเสือเดินวนรอบ ๆ กลด พวกมันเดินอยู่เป็นเวลานาน ดูจากลักษณะแล้วไม่น่าจะเป็นมิตรนัก แต่พระภิกษุหนุ่มก็หาหวาดกลัวไม่ ท่านั่งภาวนาเจริญเมตตาให้กับเหล่าเสือสมิงเหล่านั้น เสือบางตัวก็ตัวใหญ่น่ากลัวมาก แต่เสือเหล่านั้นก็ไม่จู่โจมเข้ามาในกลดของพระหนุ่ม ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงมุ้งบาง ๆ คลุมพระหนุ่มอยู่เท่านั้น

และก็เป็นโชคดีอีกครั้งที่พระภิกษุหนุ่มไม่ได้ออกมาแสดงธรรมข้างนอกกลด เพราะโดยปกติพระภิกษุหนุ่มเมื่อจะแสดงธรรมจะออกมานอกกลดทุกครั้งไป แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ จึงอยู่รอดปลอดภัยจากเสือสมิง การปักกลดทุกครั้งพระจะต้องท่องมนต์คาถาป้องกันสิ่งชั่วร้าย นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของคาถาและความดีที่พระหนุ่มรักษาไว้ แต่เสือสมิงเหล่านั้นก็ยังไม่หนีไปไหน ยังคอยเฝ้ามองอยู่อย่างใจจดจ่อ จนถึงเวลาตี ๓ กว่า เสียงฆ้องดังขึ้นมาแต่ไกล คนโบราณเล่ากันว่า เวลาพระตีฆ้องเสียงดังในเวลาตี ๓ เมื่อดวงจิตวิญญาณได้ยินเสียง ก็จะรีบเดินทางกลับเข้าสู่ที่อยู่ของตน เพราะจะแพ้อากาศ และทำให้พลังหมด จะจริงเท็จแค่ไหนให้ลองศึกษาสืบค้นกันดูเอง พอรุ่งเช้าพระภิกษุหนุ่มก็เดินออกมานอกกลด มองซ้ายมองขวา แล้วแผ่เมตตาสัก ๒๐ นาที และก็ออกบิณฑบาตตามปกติ จนกระทั่งยามรัตติกาลแห่งราตรีมาเยืยนอีกครั้งหนึ่ง เวลาประมาณ ๔ ทุ่มก็มีเสียงคนเดินมาตามป่าห่างจากที่พระภิกษุหมุ่นปักกลดอยู่ เสียงเดินนั้นค่อยดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ พระหนุ่มก็นั่งอยู่ในกลด ไม่ยอมออกมา จนเสียงของเจ้าของเสียงเดินเข้ามาใกล้มาก

เป็นชายประมาณ ๗-๘ คนมาขอฟังธรรม พระภิกษุหนุ่มก็นั่งหลับตานิ่ง ๆ มีเสียงชายคนหนึ่งเรียกพระคุณเจ้าช่วยด้วย พระคุณเจ้าช่วยด้วย แล้วเสียงนั้นก็เบาลง ๆ พระภิกษุหนุ่มลืมตาขึ้นมามองผ่านความมืด มองตามเสียงไปเห็นเจ้าของเสียงติดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ และมีหลายคน ตามองดูแต่ใจกลับภาวนาไม่หยุด แล้วพระหนุ่มไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง เมื่อเห็นหัวคนและตัวคนหายเข้าไปในต้นไม้ ท่านจึงสงสัยว่าพวกนี้เป็นใคร หรือจะเป็นพวกบังบดหรือว่า พวกลับแลกันแน่ และเสียงก็ดังเข้ามาใกล้ ๆ อีก พระภิกษุหนุ่มก็สวดมนต์พุทธคุณ ๑๐๙ จบ แล้วก็นั่งสมาธิ เจริญจิตภาวนาทำจิตใจให้สงบจนสว่าง ครั้นรุ่งเช้า พระหนุ่มก็เตรียมตัวจะเก็บกลดแต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ก็อยากพิสูจน์อีกครั้งให้ได้คำตอบว่าคืออะไร สิ่งที่เห็นนั้นเป็นอะไรกันแน่ พระภิกษุหนุ่มก็เลยอธิษฐานจิตปักกลดที่เดิมอีกคืนหนึ่ง และก็ตัดสินใจอธิษฐานจิต ขีดเส้นเป็นวงกลมรอบ ๆ กลด พร้อมกับสวดคาถาป้องกันไว้ก่อนเพื่อความไม่ประมาทในค่ำคืนนี้ และแล้วเวลาที่พระหนุ่มรอคอยก็มาถึง...

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนประมาณเที่ยงคืน ก็มีเสียงร้องไห้ออกมาพร้อมคำร้องขอว่า ช่วยด้วย ๆ เหมือนเสียงคนถูกตีถูกทำร้าย พระภิกษุหนุ่มก็นั่งภาวนาสำรวมจิตให้มั่นคงแน่วแน่มากขึ้นจนแยกกายแยกจิตแล้วเข้าสมาธิลึกขึ้น ขณะเดียวกันที่ลืมตาขึ้นมา ท่านก็เห็นคนเดินตรงเข้ามายังกลด เหมือนจะมุ่งมาทำร้ายพระภิกษุผู้อยู่ในกลด พอมาถึงเส้นที่ขีดไว้เขาก็หยุดชะงัก และกลายร่างจากคนกลายเป็นเสือไปในทันที คนที่สองตัวรูปร่างเป็นคนแต่มีขนเป็นเสือเต็มตัวทันทีอย่างไม่หน้าเชื่อ พวกมันไม่สามารถเดินผ่านเส้นที่ขีดเข้ามาได้ ถ้าไม่เห็นกับตาว่าคนกลายเป็นเสือได้อย่างไร ก็คงไม่เชื่อ ที่เขาเรียกันว่า เสือสมิง หญิงแปลงตัวเป็นชายพอกลายร่างคืนมาก็เป็นผู้หญิงทั้งหมด พระภิกษุที่เดินธุดงค์เคยถูกเสือสมิงลากไปกินเป็นเหยื่ออันโอชะมามาก ในเขตรอยต่อระหว่างจังหวัดเลย กับ จังหวัดหนองคาย เมื่อพระภิกษุหนุ่มได้พิสูจน์ให้หายสงสัยแล้ว 

วันรุ่งขึ้นจึงตัดสินใจเก็บอัฐบริขาร เพื่อออกเดินทางโดยอาศัยลำแม่น้ำโขงเป็นเส้นทางในการเดินธุดงค์ต่อไป...

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ