ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าสนสองใบที่พุเตย


"กวินทร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าสนสองใบที่พุเตย...ผมเป็นคนสุพรรณบุรีโดยกำเนิด แต่พอโตขึ้นหน่อยก็ย้ายตามพ่อมาอยู่กรุงเทพฯ เลยเรียนหนังสือและทำงานในเมืองหลวง นานๆ ถึงจะมีโอกาสไปเยี่ยมญาติมิตรที่ดอนเจดีย์เสียที 

ส่วนมากก็ค้างคืนวันเสาร์คืนเดียว ญาติบ้างเพื่อนบ้าง ลากไปเลี้ยงกันร้านนั้นร้านนี้ บางทีแทบจะไม่ได้นอนก็ใกล้ถึงเวลากลับเสียแล้ว หอคอยบรรหาร-แจ่มใส สวยงามนักหนายังไม่เคยได้ขึ้นซักที ได้แต่แหงนมองตอนนั่งรถผ่านเท่านั้นเอง อย่าว่าแต่อควาเรียมบึงฉนากที่เดิมบางนางบวชเลยครับ (พวกบ้านผมเรียก "เดิมบาง") ร่ำๆ ว่าจะไปดูปลาสวยๆ งามๆ ที่เขาเล่าลือกันนัก จนป่านนี้ยังมีวี่แววว่าจะได้ไปทัศนา...อุทยานแห่งชาติพุเตยที่ด่านช้างผมก็เคยได้ยินแว่วๆ จนเพื่อนเกลอคนหนึ่งชื่อชาติย้ำกับผมว่า...มึงต้องไปให้ได้ ไม่งั้นเสียชาติเกิดเป็นคนสุพรรณฯ...ต้นปีนี้เองผมก็สบโอกาสไปเที่ยวพุเตย!..ตอนนั้นผมไปเยี่ยมบ้านเก่าตั้งแต่คืนวันศุกร์ โดยนัดหมายกับเพื่อนฝูงไว้ก่อน รุ่งเช้าเจ้าชาติก็เตรียมรถปิกอัพกับเพื่อนสนิทอีก 3 คนมารับที่บ้านป้า มุ่งหน้าไปพุเตยกันให้สมใจอยาก (ของผม) อารามสงสัยว่าที่นั่นมีอะไรดีนักหนา ต้องเอ่ยปากถาม เจ้าชาติก็พรรณนาความสวยงามของป่าเขา น้ำตก ต้นไม้แปลกๆ ที่มันค่อนขอดว่าคนที่กลายพันธุ์เป็นชาวกรุงไปแล้วอย่างผมน่ะ เห็นเข้าคงไม่รู้จักแน่ๆ ว่าชื่ออะไรมั่ง โดยเฉพาะ "สนสองใบ" นี่เคยเห็นไหมเล่า?

ผมยอมรับว่าเคยแต่ได้ยิน เจ้าชาติก็ได้โอกาสเยาะเย้ย ทั้งอำทั้งแซวตามระเบียบ ก่อนจะสาธยายให้ความรู้ สนสองใบปกติจะขึ้นอยู่ในภาคเหนือและอีสานตอนบนเท่านั้น เพราะไม้ชนิดนี้ชอบอากาศเย็นในที่สูงๆ ขนาด 900-1,000 เมตร แต่กลับขึ้นที่พุเตย ซึ่งสูงจากน้ำทะเลเพียง 700 เมตร ตะละต้นสูงใหญ่ขนาด 2-3 คนโอบทั้งนั้น อายุไม่ต่ำกว่า 200 ปี ประมาณว่ามีสนสองใบที่นั่น 1,300 ต้น ในภาคกลางมีที่สุพรรณที่เดียว! กว่าจะถึงร้านอาหารของที่ทำการอุทยานก็ได้เวลาใกล้เที่ยงพอดี...หนังท้องตึง หนังตาก็ชักหย่อน เพราะเพื่อนๆ พกยอดข้าวเพียวๆ มาช่วยเรียกน้ำย่อยด้วย แต่ได้ยินเจ้าชาติขู่ว่า นั่งรถจากที่นั่นไปไม่นานก็สุดถนน ต้องย่ำต๊อกปีนป่ายไปอีกหลายกิโลนะ...เล่นเอาผมหูตาสว่างทันใด เอาจริงเข้าก็นั่งรถไปราว 10 กิโลเมตรได้ แล้วต้องย่ำไปประมาณ 2 กิโลเมตร เห็นป่าไผ่ดกสะพรั่งแปลกหูแปลกตา กับมีนักท่องเที่ยวหนุ่มๆ สาวๆ หน้าตาสดใสอีกหลายคน ทำให้เพลิดเพลินจนลืมเมื่อยขาไปได้เหมือนกันนะครับ ได้เห็นสนสองใบเสียที! ตอนแรกแทบไม่เชื่อตาตัวเอง นึกว่าจะไม่สูงใหญ่เท่าไหร่นัก ที่ไหนได้ล่ะ สูงลิบลิ่วชนิดแหงนคอตั้งบ่า ลำต้นใหญ่โตขนาด 2-3 คนโอบอย่างที่เพื่อนมันเล่าจริงๆ ด้วย

นักท่องเที่ยวหนุ่มสาวกลุ่มนั้นก็คงตื่นเต้นแบบผมเหมือนกัน ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่ แอ๊กท่าถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก ผมก็เอาด้วยเหมือนกัน พวกเพื่อนๆ ก็ดูท่าพออกพอใจที่เห็นผมสนุกตื่นเต้น...เรียกว่าพามาไม่เสียเที่ยวก็แล้วกัน "แล้วต้นไม้อื่นๆ พวกนั้นล่ะ มึงคงไม่รู้จักแน่ๆ" เจ้าชาติคงอยากอวดภูมิตามฟอร์ม ผมส่ายหน้าเพื่อให้มันสาธยาย รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่ ผมเองก็ได้ความรู้ว่านี่ไม้ปรง นั่นประดู่ โน่นไม้แดง ฯลฯ จนกระทั่งเรานั่งพัก เพื่อนคนหนึ่งควักขวดแบนโค้งจากกระเป๋าหลังออกเปิดฝา เทบรั่นดีหอมกรุ่นออกมาแจกกันแก้เหนื่อย เพื่อนอีกคนหนักกว่า เพราะควักขวดกลมออกจากเป้พร้อมแก้ว แถมมีมันฝรั่งกับถั่วทอดอีกหลายถุงมาแจกจ่ายกันด้วย...อากาศค่อนข้างเย็น แต่ผมร้อนท้องวูบวาบ ก่อนจะอบอุ่นไปทั้งเนื้อทั้งตัว อ้าว? ฝรั่งสูงอายุสองคน คงจะเป็นผัวเมียกันกำลังเดินมานั่งที่โคนต้นสนพลางหันหน้าพูดคุยกัน ยิ้มแย้มน่าผาสุก...ตามประสาคนที่ได้เดินทางไกลมาท่องเที่ยวและพักผ่อนในบั้นปลายชีวิต เรานั่งพักกันราวครึ่งชั่วโมง เจ้าชาติก็ชวนไปเที่ยวน้ำตกตาดใหญ่...ตอนที่เดินกลับผมบอกว่าฝรั่งสองผัวเมียนั่นคงนั่งเพลินไปถึงเย็น...เพื่อนๆ หันขวับมองตากันก่อนจะถามว่าฝรั่งที่ไหนไม่เห็นผี? ผมเลยย้อนว่าตาบอดหรือไง แกนั่งคุยกันอยู่ตรงหน้าเราแท้ๆ

เจ้าชาติกลืนน้ำลาย เหลียวซ้ายแลขวา แต่คนอื่นๆ หาว่าผมตาฝาดไปเอง บอกตรงๆ ว่าตอนนั้นผมไม่ได้ติดใจอะไร พิษเหล้าอาจจะทำให้คนหูตาเลื่อนเปื้อนไปก็ได้...จนกระทั่งนั่งรถย้อนกลับไปได้ไม่นาน ก็ถึงทางแยกที่เจ้าชาติบอกว่าจะพาไปน้ำตกตาดใหญ่ เพิ่งสังเกตเห็นอะไรสะดุดตาเลยถามเพื่อน เจ้าชาติก็ตอบอ้อมๆ แอ้มๆ ว่า "ศาลเลาดาร์แอร์" ใกล้ๆ กับจุดเครื่องบินเลาดาร์แอร์ตกที่ด่านช้างเมื่อปี 2534 นั่นไง!...ผมขนลุกซ่าขึ้นทั้งตัว แว่วเสียงเจ้าชาติที่แม่นเรื่องตัวเลขบอกว่า...ตายหมดทั้งลำ 220 ชีวิตจนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก...

แต่สังเกตว่าเสียงเพื่อนสั่นเครือพิกล ฝรั่งคู่นั้นจะเป็นคนหรือผีก็ตามที ขอให้มีความสุขกับทิวทัศน์งดงามของพุเตยไปนานแสนนานนะครับ

ขอบคุณ คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ