ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

อาถรรพ์รูปปั้นเสือ


เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดสงขลาเมื่อ 9 ปีที่ผ่านมา ในสมัยนั้นคุณตูนก็ได้ไปอยู่ที่หาดใหญ่ได้ซักปี 2 ปี ตอนนั้นคุณตูนทำงานอยู่ในบริษัทเฟอร์นิเจอร์แห่งนึง โดยที่คุณตูนนั้นอาศัยอยู่ที่แมนชั่น ซึ่งแมนชั่นแห่งนี้ค่อนข้างที่จะใหญ่พอสมควร แล้วด้านล่างก็จะให้เช่าเป็นล็อคๆ เป็นออฟฟิศของไฟแนนซ์บ้าง ซักอบรีบบ้าง มีพ่อค้าแม่ค้ามากมาย อยู่ตรงด้านล่างแมนชั่น 

ตอนเย็นๆ คุณตูนก็ชอบไปนั่งเล่นที่หน้าแมนชั่น แล้วหัวหน้าแม่บ้านของแมนชั่น แกชื่อ พี่สาว แต่คุณตูนจะเรียกพี่สาวว่า ยมทูตสาว เพราะเวลาที่คนที่แมนชั่นเสียชีวิต พี่สาวจะรู้ก่อนประมาณ 1 เดือน ซึ่งมันแปลกมาก ก็คือ พี่สาวจะมีอาการแปลกๆ เหมือนแน่นหน้าอก จุกเสียดหายใจไม่ออก คับที่คับทาง หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน ก็จะต้องมีคนที่แมนชั่นเสียชีวิตแน่นอน ตอนที่คุณตูนอาศัยอยู่ พี่สาวก็เป็นแบบนี้อยู่ 3 ครั้ง และก็มีคนเสียชีวิตทั้ง 3 ครั้ง คุณตูนก็บอกพี่สาวว่า อย่าเป็นแบบนี้บ่อยๆนะ กลัวครั้งหน้ามันจะเป็นผม เพราะเขาไม่ได้ระบุว่าเป็น แต่ต้องมี 1 คนในแมนชั่นเสียชีวิตแน่นอน...ตอนนั้นพี่สาวอายุ 47-48 ปี เป็นหญิงหม้าย แล้วก็ไปพบรักกับ พี่นิด พี่นิดเป็นคนพื้นเพมาจากจังหวัดสตูล มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง พอมารู้จักก็ตกลงที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ปกติแล้วพี่นิดแกก็จะรับเหมาก่อสร้าง พอพักหลังๆ ก็รับงานที่ใหญ่ขึ้นๆ แล้วแกก็ต้องการเช่าพื้นที่เพื่อสร้างแคมป์คนงาน แล้วพี่นิดก็วานให้พี่สาวไปดูที่ทางว่าตรงไหนพอจะเช่าได้ในราคาที่ไม่แพง ลูกน้องพี่นิดตอนนั้นก็ประมาณ 30-40 คน 

สุดท้ายพี่สาวก็ไปได้ที่ๆนึง ซึ่งที่ตรงนี้มันจะอยู่บริเวณทางไปจากหาดใหญ่ไปสู่ตัวจังหวัดสงขลา พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ เข้าไปจากถนนใหญ่พอสมควร ในพื้นที่ตรงนี้ รอบๆก็จะเป็นสวนยางพารา แล้วก็จะมีพื้นที่ว่างอยู่ตรงกลางเพื่อที่จะสร้างไว้เป็นแคมป์คนงาน แล้วตรงสุดเขตของพื้นที่โล่งๆก็จะมีต้นหว้าต้นใหญ่ๆ อยู่ต้นนึง พี่นิดก็ทำสัญญาเช่าที่ตรงนั้นเป็นเวลา 5 ปี แล้วก็ทำแคมป์อยู่กัน อยู่กันมาซักระยะนึง พี่นิดก็เริ่มมีเงิน ก็เอาเงินไปลงทุนในหุ้น แต่ว่าหุ้นตก พี่นิดก็ล่มไปทั้งระบบเลย แล้วพี่นิดก็หนีไปเลย แบบใครก็ติดต่อไม่ได้ พี่สาวก็ติดต่อไม่ได้ หนีหนี้ด้วย หนีงานด้วย พี่สาวก็ทำอะไรไม่ได้ คนงานที่อยู่พี่สาวก็สงสาร ก็รับผิดชอบจ่ายเงินให้คนงานไป พี่สาวก็ตกลงกับคนงานว่า แกเองก็ไม่รู้จะทำไง ในเมื่อพี่นิดไปแล้ว แกก็จ้างไม่ได้ เพราะว่าพี่สาวเองก็ไม่ได้เป็นอะไรเกี่ยวกับก่อสร้าง แต่ว่าพื้นที่ไหนก็เช่าไว้แล้ว หม้อไฟ น้ำประปาก็ต่อไว้หมดแล้ว แกก็อนุโลมให้ว่า ถ้าใครต้องการพักอยู่ในแคมป์ ก็ยังพักอยู่ได้ แต่เรื่องงานก็ไปหากันเอาเอง

และต้นเรื่องของเรื่องนี้เป็นชาวเพื่อนบ้าน 2 คน คนแรกชื่อ เค คนที่สอง ชื่อ ทู ซึ่งเคกับทูหลังจากออกจากงานก่อสร้างของพี่นิดแล้ว แกก็ไปได้งานที่อยู่ถัดจากแคปม์คนงานนี้ที่เป็นโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งเคกับทูเขาจะไม่นับถือศาสนา แต่จะนับถือผี และมีอยู่วันนึงเคก็เดินจากโรงฆ่าสัตว์กลับมาที่แคมป์คนงาน และก็จะต้องผ่านตรงจุดที่เขาทิ้งศาลร้าง แล้วไม่รู้ว่าเคนึกยังไง ถึงไปหยิบเอาตุ๊กตาที่ใช้สำหรับตั้งหน้าศาล เป็นตุ๊กตาเสือยืนผงาดอยู่บนก้อนหิน ตัวไม่ใหญ่มาก ตอนนั้นคนในแคมป์ก็ยังอาศัยกันอยู่เยอะ รวมๆกันก็ประมาณ 30 คน พอคนไทยที่อยู่ในแคมป์นั้นเห็น ก็บอกกับเคว่า เค มึงไปเอามาทำไม ของแบบนี้มันเป็นของไม่ดี คนไทยเขาห้าม แต่เคเขาก็ไม่เชื่อ แกไม่ได้นับถือของพวกนี้ เห็นว่ามันใช้ได้ และยังสวยดีก็เลยหยิบมา เอามาประดับตั้งไว้ที่หน้าห้องของแกเอง คนที่อยู่รอบๆก็รู้สึก
กลัว

พออยู่ไปๆ เรื่องมันก็เริ่มเป็นอย่างที่คนในแคมป์เขาคิดกัน มันก็จะเริ่มมีเสียงร่ำลือกันว่า เห็นผู้หญิงคนนึงเดินไปมาอยู่ในแคมป์ แล้วก็หายไป คนเขาก็เล่าลือกัน แต่คนที่มาเจอหนักๆคือ พี่คนนี้แกเดินไปเข้าห้องน้ำตอนประมาณเที่ยงคืนและเดินกลับมาก็เห็นผู้หญิงคนนึงเดินตามหลับแกมา พอแกเอาไฟฉายส่องหน้าก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นตาเรืองแสงแบบเสือ ตอนแรกก็นึกว่ายังเป็นคน แต่ผู้หญิงคนนั้นก็เดินแซงแก และเดินหายเข้าไปในรูปปั้นเสือที่อยู่หน้าห้องของเค หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็เริ่มดังและแดงขึ้นมา จนคนเริ่มทนไม่ไหว ก็เลยโทรหาพี่สาว บอกว่า มันไม่ไหวแล้วนะพี่สาวแบบนี้ เคเริ่มมีอาการแปลกๆเหมือนคนโดนของเข้า กลางคืนก็ไม่หลับไม่นอน ตีแคมป์บ้าง ตะโกนบ้าง คำรามบ้าง บางครั้งก็คลานเหมือนเสือ ซึ่งที่ตรงนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของพี่สาว คนงานในแคมป์ก็เลยขอให้พี่สาวมาคุยกับเคให้หน่อยว่า ให้เอารูปปั้นเสือนี้ออกไป พี่สาวก็มาคุยให้ แต่ว่าเคก็ไม่เชื่อ ไม่ฟัง จนทะเลาะกัน

จนวันนึง คนไทยที่อยู่ในแคมป์คนงานรวมตัวกัน ไปเชิญนักบวชในแบบของฤาษี ซึ่งฤาษีคนนี้ก็ไม่มีใครรู้ต้นสายปลายเหตุว่ามายังไง แต่ว่าไปเจอท่านนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ในสวนยางด้านหลังของแคมป์ ซึ่งในป่ายางเนี่ยก็จะมีกระต็อบหลังเล็กๆไว้ให้คนที่เขาตัดยางตอนกลางคืนเผื่อฝนตกก็จะได้เอาไว้ใช้หลบ แล้วคนงานในแคปม์ก่อสร้างก็เห็นฤาษีอยู่ในกระต็อบนั้น ก็เลยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับฤาษี ฤาษีก็เดินมาที่แคมป์เพื่อมาดูรูปปั้นเสือ และก็มาดูตรงต้นหว้าแล้วก็พูดว่า เนี่ย เสือตัวนี้ไม่ใช่เสือธรรมดานะ มันโดนดวงวิญญาณของเสือสมิงสิงสถิตอยู่ พอฤาษีพูดแบบนี้คนงานที่ได้ยินก็ตกใจ คนงานก็ถามฤาษีว่าจะต้องทำยังไง ฤาษีก็บอกว่า ไม่ต้องห่วง แกพอมีวิชาอาคม เดี๋ยวจะทำการสะกดให้เอง และในวันนั้นก็ทำพิธีเกี่ยวกับรูปปั้นของเสือตัวนี้ โดยที่ไม่ได้บอกเค และตอนนั้นเคกับทูก็ไปทำงานที่โรงงานฆ่าสัตว์อยู่ด้วย ตอนนั้นพี่สาวก็อยู่ที่แคมป์คนงานด้วย พี่สาวก็โทรหาคุณตูนบอกว่า ตูน เขาจะเริ่มทำพิธีแล้วนะ มึงอยากจะดูมั๊ย คุณตูนก็ขี่มอไซด์ตามมาดู ก็เห็นเขาเอาของบวงสรวงมาวางไว้บนโต๊ะ ที่ตรงหว้าใหญ่ ทำพิธียังไม่ทันเสร็จ อยู่ๆ เคไม่รู้แกวิ่งมาจากไหนทะลุป่ายางออกมา แล้วก็กระโดดถีบโต๊ะที่วางของบวงสรวงกระจายเลย

หลังจากที่เค ถีบเสร็จแล้วก็ชี้หน้าไปทางฤาษี แต่สิ่งที่น่าขนลุกคือ เค ไม่ใช่คนไทย แต่เคสามารถพูดภาษาไทยที่เป็นภาษาใต้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยากได้ ถึงแม้จะเป็นคนไทยที่อยู่ภาคกลางจะมาพูดใต้ก็ยังยาก ถ้าไม่ใช่คนใต้ ยังไงก็พูดสำเนียงใต้ไม่ได้ พอชี้หน้าไปที่ฤาษีแล้ว เคก็พูดเป็นภาษาใต้ว่า มึงอ่ะ ดูเกณฑ์ชะตาตัวเองบ้างหรือยัง ใกล้จะตายโหงแล้วนะ ตอนนั้นทุกคนก็ตกใจกันหมด ทุกๆคนก็ถอยออกห่างจากฤาษี แล้วเคก็วิ่งหายเข้าไปในป่ายางอีกฝั่งนึง อาการของฤาษีตอนนั้นก็ตกใจพอสมควร แล้วแกก็หันมาบอกว่าพิธีวันนี้คงทำไม่ได้แล้วหละ มันเสียฤกษ์แล้ว แกก็นัดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เที่ยงจะทำอีกครั้งนึง แต่พอรุ่งเช้าของอีกวันนึง เที่ยงแล้ว ฤาษีก็ยังไม่มา คนงานก็ไปตามที่กระต็อบ แต่ก็ไม่เจอฤาษีท่านนั้นแล้ว แต่ของของฤาษีก็ยังอยู่ คนงานก็รอกัน 2-3 วัน ฤาษีก็ยังไม่มา ของก็ยังอยู่เหมือนเดิม

หลังจากนั้นทุกอย่างก็เริ่มรุนแรงขึ้น ทุกคนก็รวมตัวกัน แล้วก็คุยกันว่า ถึงเคมันจะไม่ยอมยังไง แม้ว่าจะของขึ้น หรือผีเข้า แต่คนที่ยังอาศัยอยู่เขาเดือดร้อน เขาก็เลยตัดสินใจว่าเอาแบบนี้ละกัน เอาไปทิ้งให้หมดเรื่องหมดราว แต่พอยิ่งชาวบ้านในแคมป์ยิ่งคิดว่าจะเอาไปทิ้ง เคก็ยิ่งเป็นหนักขึ้น คราวนี้ไม่หลับไม่นอน กลางคืนก็ร้องคำรามตะโกนเป็นเสือไปเลย แต่คนไทยที่อยู่ในแคมป์คนงานทุกคนก็บอกว่ายังไงก็ต้องเอาไปทิ้ง ยกเว้น ป้าคนนึง แกชื่อ ป้ายอม ป้ายอมบอกว่าให้เก็บไว้ อย่าเอาไปทิ้งเลย หลังจากนั้นซักพักใหญ่ๆบางคนที่พอจะมีเงินไปเช่าห้องเองก็ย้ายออกไป จนมีอยู่ครั้งนึง ป้ายอม คนที่บอกว่าอย่าเอารูปปั้นเสือนี้ไปทิ้ง โทรศัพท์มาหาพี่สาว บอกว่า แกจะขอออกจากแคมป์แล้วนะ คงจะไม่ได้กลับมาอยู่แล้วแหละ เพราะตอนนี้ลูกสาวแกเสีย ซึ่งป้ายอมแกก็เป็นคนจังหวัดสตูล แต่ว่าป้ายอมตามมาอยู่กับลูกสาวที่ทำงานอยู่ในอำเภอทุ่งลุง แล้วป้ายอมก็เดินทางมาหาพี่สาว ตอนนั้นพี่สาวและคุณตูนก็นั่งฟังตรงใต้แมนชั่น

ป้ายอมก็เล่าให้ฟังว่า สาเหตุที่ไม่อยากให้เอารูปปั้นนี้ไปทิ้ง เพราะป้ายอมแอบไปขูดขอหวยตอนกลางคืนที่รูปปั้นเสือตัวนี้ซึ่งก็ถูกมา 2 งวดแล้ว งวดแรกถูก 2 หมื่น งวดที่ 2 ถูก 6 หมื่น แล้วงวดที่ 3 ที่ไปขอก็ถูกมาอีก แสนสอง แล้วป้ายอมก็เล่าต่อว่า แกฝันเห็นผู้หญิงคนนึงมาบอกหวยแก 3 งวดติด และในฝันที่แกเห็น คือ ผู้หญิงคนนี้เดินออกมาจากรูปปั้นเสือ แล้วมาบอกหวยป้ายอม และครั้งสุดท้ายที่ป้ายอมถูกรางวัล แสนสอง ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ถ้างวดนี้ถูกแล้ว ขอไก่ตัวใหญ่ๆตัวนึงได้มั๊ย ในฝันป้ายอมก็บอกว่าได้ เดี๋ยวจะจัดตัวใหญ่ๆให้เลย ซึ่งป้ายอมก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้มันจะเกี่ยวกับที่ลูกสาวแกเสียชีวิตหรือเปล่า เพราะลูกสาวของป้ายอมเสียชีวิตโดยการขับรถมอเตอร์ไซด์ชนท้ายรถสิบล้อเสียชีวิต ซึ่งลูกสาวของป้ายอมนั้นมีชื่อเล่นว่า กุ๊กไก่

หลังจากป้ายอมไป พี่สาวก็กลับบ้าน และในคืนนั้นเลย พี่สาวเห็นผู้หญิงคนนึง เดินมาหาแกที่บ้าน บ้านของพี่สาวกับแคมป์ของคนงานนี่อยู่คนละที่กันเลย ผู้หญิงคนนั้นมาเรียกพี่สาวที่หน้าบ้าน พี่สาวก็เปิดประตูออกไป ก็เจอผู้หญิงคนนึงมาบอกพี่สาวว่าพี่สาว ถ้าพี่สาวจะทำอะไรกับรูปปั้นเสือตัวนี้ ต้องให้พระที่มีปานตรงหูมาทำพิธีนะพี่ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เดินลับหายไป ตอนนั้นพี่สาวก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร จนพี่สาวได้โทรไปหาป้ายอมเพื่อที่จะร่วมทำบุญงานลูกสาว จะใส่ซองให้ ป้ายอมก็เลยส่งเลขบัญชีมาให้พี่สาว แต่ก็ไม่รู้ว่าส่งกันอีท่าไหน หรือว่าพี่สาวขอดูรูปลูกสาวป้าหรือเปล่า ป้ายอมก็ส่งรูปลูกสาวมาให้ พอพี่สาวเห็นก็ถึงบางอ้อเลยว่า ผู้หญิงที่เดินมาบอกในตอนนั้นก็คือลูกสาวของป้ายอม

วันรุ่งขึ้นพี่สาวก็เอาเรื่องที่ให้พระที่มีปานตรงหูมาทำพิธีมาปรึกษากับหลายๆคนซึ่งคุณตูนก็นั่งฟังอยู่ด้วย ทุกคนก็คุยกันว่าแล้วจะไปหาพระที่มีปานตรงหูที่ไหน มันไม่ได้หากันง่ายๆนะ แต่ก็มีลูกน้องของพี่สาว ชื่อว่า พี่ดา พี่ดาเป็นคนที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครแต่วันนั้นไม่รู้ยังไง พี่ดาเดินมาได้ยินพอดี พี่ดาก็บอกว่า พระที่มีปานตรงหลังหูเนี่ยมีนะ แต่เป็นหลวงพ่อตรงนี้ไม่รู้ว่าจะใช้แทนกันได้มั๊ย พอพี่สาวได้ยิน แกก็ถามว่าอยู่วัดไหน พี่ดาก็บอกว่า อยู่วัดนี้ๆๆๆ พี่สาวก็ปรึกษากับผู้ใหญ่ในแมนชั่น ว่าจะไปหาดีมั๊ย ซึ่งทุกคนก็บอกว่าไปก็ดี จะมีปานหรือไม่มีปาน อย่างน้อยก็ไปนิมนต์พระมาทำพิธีก็ยังดี สุดท้ายพี่สาวก็ไปที่วัดนี้ แล้วก็ไปเจอหลวงพ่อรูปนี้ก็มีปานที่หูจริงๆ แล้วก็เล่าเรื่องนี้ให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อก็รับฟังและก็พูดมาสั้นๆว่า เดี๋ยวจะไปเป็นธุระจัดการให้

หลังจากนัดแนะกัน หลวงพ่อก็มาจริงๆ วันทำพิธี ซึ่งวันทำพิธีคุณตูนก็มีโอกาสได้เข้าไปดูด้วย พอพระเดินเข้าไป เค ก็ไม่มีอาการอะไรเลย จากเมื่อก่อนโหวกเหวกโวยวายตลอดเวลาที่มีใครมายุ่งกับรูปปั้นนี้ ไม่สามารถแตะต้องได้ พิธีการทำ หลวงพ่อก็บอกให้เอารูปปั้นนี้ไปฝังไว้ที่ใต้ต้นหว้า เดี๋ยวจะทำพิธีให้ ก่อนที่จะฝังหลวงพ่อก็ชักผ้าบังสกุลและก็ใช้น้ำมะพร้าวอ่อนล้างไปที่ตัวของรูปปั้น แล้วก็ฝังรูปปั้นลงไป หลังจากทำพิธีเสร็จก็ไม่มีอะไรที่มันอาเพศ ผิดแปลกมาจากครั้งก่อนที่ฤาษีท่านนั้นทำเลย ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี

หลังจากเรื่องที่แคมป์นี้เสร็จไป คุณตูนก็ศรัทธาหลวงพ่อท่านนี้ และก็ได้แวะไปหาหลวงพ่ออยู่บ่อยๆ และก็ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ จนเรื่องผ่านไป 3 ปี คุณตูนก็แวะไปหาหลวงพ่อท่านนี้ แล้วก็นั่งคุยกันอยู่พักนึง แล้วหลวงพ่อก็เอ่ยขึ้นมาว่า ตูน หลวงพ่อเป็นผู้แพ้นะ แล้วหลวงพ่อก็บอกว่า เดี๋ยวจะเล่านิยายให้ฟังซักเรื่องนึง ชื่อเรื่อง โจร 3 สหาย ครั้งนึงมีเพื่อนผู้ชาย 3 คนออกมาจากหมู่บ้านที่เป็นชนบท ออกมาแล้วก็ไม่ได้ทำมาหากินอะไร ก็มาทำตัวเป็นทรชน เริ่มแรกก็ฉกชิงวิ่งราว ขโมยของ พอหนักเข้า กฏหมายไม่สามารถตามลงโทษได้ ก็เริ่มจะปล้นฆ่า สุดท้ายก็ไปปล้นเงินของรถสิบล้อ ได้เงินมา 3 หมื่นบาท แล้วทั้ง 3 คนนี้ก็เอาเงินไปเล่นการพนัน แล้วก็เล่นเสียจนหมดตัว สุดท้ายความเป็นทรชน พอเสียไปแล้วก็อยากจะได้คืน ก็ปรึกษากันว่าจะทำยังไงดีที่จะได้เงินนี้กลับคืนมา ก็วางแผนกันว่าหลบอยู่ในป่าใกล้ๆบ่อนนี้แหละ เดี่ยวพอมันออกมาก็ปล้นมันเลย ถ้าไม่ยอมก็ฆ่าทิ้ง 

พอเจ้ามือออกมาจากบ่อน เจ้ามือมากับภรรยา ขี่มอเตอร์ไซด์กันออกมา โจรทั้ง 3 คนก็ลงมือปล้น แต่ผู้ชายขัดขืนจึงโดนแทงตาย ตอนนั้นก็ตั้งใจว่าจะฆ่าทั้ง 2 คน แต่ใน 3 คนของโจร มีคนนึงบอกว่า เว้นไว้ซักคนเหอะ เขาเป็นผู้หญิง อีก 2 คนก็บอกว่า เว้นไว้ไม่ได้ ถ้าเอาไว้เรื่องนี้มันก็จะต้องแดง สุดท้ายก็ฆ่าปิดปากผู้หญิงด้วย พอฆ่าเสร็จก็ใช้น้ำมันก๊าซเผาศพทั้งคู่ไว้ใต้ต้นหว้า พอคุณตูนฟังจบก็ถามว่า 3 สหายนั้นอ่ะ มีท่านด้วยใช่มั๊ยครับ หลวงพ่อก็บอกว่าใช่ ใน 3 คนที่ร่วมกันฆ่า คนที่ 1 ตายคาหลักประหาร โดนประหารชีวิต คนที่ 2 เสียชีวิตในคุก คนที่ 3 คือหลวงพ่อเนี่ยแหละ ติดคุกอยู่ 19 ปี 4 เดือน 

แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่านยังไม่ได้ไปอโหสิกรรมเขาหรือเปล่า ดวงวิญญาณนี้เหมือนกำลังรอคอยท่านอยู่ก็ได้ เรื่องทั้งหมดก็มีประมาณนี้ ส่วนฤาษีท่านนั้นก็หายไปเลย ไม่มีใครพบใครเจออีกเลย
ขอบคุณ : THE GHOST RADIO คุณบ่าวตูน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ