ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

"ผีไม่มีจริงร๊อกก หึๆ" ใช่ยายของฉันแน่เหรอ?


กระทู้แรกค่ะ และคาดว่าน่าจะเป็นกระทู้เดียวของเรา จริงๆเรื่องที่จะเอามาเล่ามันผ่านมานานแล้วประมาณ 7 ปีได้แล้ว เป็นเรื่องที่อาจจะสยองและน่ากลัวมากๆสำหรับเรา หรืออาจจะเฉยๆสำหรับใครหลายๆคน เราคิดว่าน่าจะมีเรื่องที่คล้ายๆกับที่เรากำลังจะเล่าเยอะมากกก เพราะเราก็เคยอ่านมาหลายกระทู้แล้วเหมือนกัน เราเลยลองคิดว่าจะลองเล่าเรื่องของยายเราให้ฟังกันบ้างดีกว่า

เรื่องมันมีอยู่ว่า...ประมาณ 7 ปี ที่แล้ว ตอนนั้นเราอยู่ประมาณม.5 เราเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ โตมาแบบบ้านๆ เรื่องผีๆสางๆนี่รับรู้มาตั้งแต่จำความได้ตามักจะย้ำเสมอว่า "เฮ้ย!! ผีมันมีอยู่จริงๆนะโว้ย ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ" ค่ะ หนูทราบค่ะ โดนเป่าหูมาแบบนี้ตั้งแต่เด็กจนโต ตาก็ขยันเล่าเรื่องผีๆ ที่เจอมากับตัวให้ฟัง เล่าไปนี่ก็กลัวไปด้วยไง แต่ยังไม่ถึงขั้นกลัวขึ้นสมองนะ 55555 แต่เวลาเดินกลับบ้านตอนค่ำๆก็วิ่งอย่างเดียวค่ะไม่มีมาสโลว์ไลฟ์ดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืนหลอกค่ะ ผีค่ะ เราเชื่อว่าผีอยู่รอบๆตัวเรา 5555 กลัวมั้ย บอกว่ามากกกกก

แล้วเรื่องของเรื่องมันคือช่วงที่ยายของเราป่วยค่ะ เจ็บออดๆแอดๆตามประสาของคนแก่ ยายเราตอนนั้นอายุ86ปี ยายมีโรคประจำตัวค่ะตามประสาคนแก่ แล้วก็ตามกรรมพันธุ์ค่ะ หลายโรคมาก ตาก็มองไม่ค่อยเห็น แต่มีสิ่งหนึ่งค่ะที่สำคัญคือยายหูตึง ค่อนไปทางหนวก พูดจะไม่ได้ยิน  ยายจะมีเครื่องช่วยฟัง แต่ไม่ได้ใช้ จะชอบพูดแล้วใช้มือชี้ๆสั่งๆเอา มาค่ะ...กำลังลากเข้าประเด็นค่ะ คือเราจะเล่าในช่วงประมาณสองเดือนก่อนที่ยายเราจะเสียและจากโลกนี้ไปนะคะ วันแรกที่รับรู้ได้ค่ะ จากที่แม่และป้าเล่าให้เราฟัง คือตอนนั้นเป็นช่วงกลางวัน ป้าจะชอบมาเล่าให้แม่ฟังที่บ้านของเรา อาการของยายเริ่มแปลกๆไป เริ่มจากชอบทานของร้อนมากๆและเค็มๆมากๆ กินแบบร้อนลวกปาก จนปากพองอ่ะ คือเมื่อก่อนยายจะชอบต้มน้ำร้อนกินตอนกลางคืนเวลายายนอนไม่หลับ ซึ่งเราก็เข้าใจ ไม่เอะใจอะไรคิดว่าเป็นเรื่องปกติ

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่ากินของเค็มมากกก ต้นข้าวต้มนี่ใส่เกลือเป็นช้อนโต๊ะต่อถ้วยเลยนะ ถ้าคนปกตินี่ไตถามหาแล้ว และมันสะดุดตรงที่ยายเราเป็นคนกินของที่ค่อนข้างหวาน ชอบกินหวานๆ กับข้าวนี่น้ำตาลตลอด และยายเป็นเบาหวานค่ะ หนึ่งในโรคประจำตัว แต่มาคราวนี้แกกินเค็มมาก ซึ่งมันผิดวิสัยค่ะ  นี่คือเรื่องแรก...ธรรมดาไปใช่ปะ ใช่ค่ะเรื่องธรรมดาไก่กามาก แค่เปลี่ยนรสชาติอาหาร วันที่สองที่รู้ค่ะ ยายมักจะบ่นว่าอยากต้มเครื่องในค่ะ เครื่องในวัว นึกภาพออกมั้ยคะ ? นั่นแหละค่ะ ยายเป็นคนไม่กินไก่  ยายไม่กินเนื้อวัวเพราะยายบอกว่าคาวและเหม็น ซึ่งเมื่อก่อนยายจะชอบกินขาหมูมากกก ใส่น้ำจิ้มนิดหน่อย ยายฟินค่ะ  แต่ไม่ใช่อย่างตอนนี้ที่มาพิศมัยเครื่องในวัว ทั้งที่ตัวเองเกลียดแสนเกลียด กลับเรียกร้องให้แม่ไปหามาให้ และบังคับให้ทำให้ได้ ไม่ยอม คือต้องเดี๋ยวนั้นและตอนนั้น อาหารแปลกๆที่ยายสั่งมักจะต้องถูกทำขึ้นขันโตกมื้อเย็นตลอด พอดวงอาทิตย์ตกดิน ที่บ้านก็เริ่มทานข้าว แต่ยายจะไม่ร่วมวงทานด้วยค่ะ ยายจะนั่งกินคนเดียวด้านหลังที่พวกเรานั่งอีกทีนึง แปลกพอมั้ย ? ไม่ค่ะยังธรรมดาไป

วันที่สามค่ะ คำพูดคำจาเริ่มแปลกค่ะ แปลกยังไงมาดูกัน...บ้านของยายเราจะเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงค่ะ ก็บ้านไม้ธรรมดาชาวบ้านทั่วไป ตามต่างจังหวัดนั่นแหละค่ะ นึกภาพตามออกมั้ย...บริเวณบ้านเราค่ะจะอยู่กันแบบพี่น้อง เพราะเป็นเครือญาติกัน ไม่ไก้กั้นรั้ว แล้วถ้าเดินออกไปหลังบ้านประมาณ300เมตร ก็เป็นทุ่งนาของบรรดาญาติๆรวมทั้งของที่บ้านด้วย เราจำได้แม่นว่าตอนนั้นใกล้ฤดูเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ตอนนั้นที่บ้านเริ่มเอะใจกันบ้างแล้วว่า ยายเริ่มผิดปกติ แปลกๆ ไม่ใช่แค่เรื่องกิน แต่เป็นคำพูดคำจา ที่มักจะมีคำประหลาดๆออกมา แล้วชอบพึมพำคนเดียว พูดอะไรฟังไม่ได้ศัพท์เลยสักอย่าง แม่ยังฟังไม่ออกเลย
ตาที่เชื่อเรื่องผีอยู่แล้ว ก็พูดออกตัวก่อนเลยว่า "ไม่ใช่แม่พวกหรอก ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาอาศัยร่างแม่อยู่"
ป้ากับแม่และบรรดาลุงๆนิ่งค่ะ ตาบอกว่า "กลางวันอ่ะแม่ แต่กลางคืนอ่ะกูว่าไม่ใช่" เราเหรอไม่รู้เรื่องหรอก แม่เล่าให้ฟัง แค่ตอนฟังขนคอขนแขนก็ลุกพรึบแล้วค่ะ เราค่อนข้างที่จะเชื่อที่ตาพูดนะ ไม่รู้สิเซ้นส์มันว่างั้นอ่ะ 5555

เรื่องมันมีอยู่ว่าวันนั้นมีลุงข้างบ้านแกจะเกี่ยวข้าว ซึ่งแม่กับป้าก็ไม่รู้ เพิ่งจะมารู้ตอนค่ำๆก็ตอนที่ลุงคนนั้นมาเล่าเรื่องราคาข้าวให้ฟังที่บ้าน แต่เรื่องมันเด็ดตรงที่ว่า ขอแทนตัวลุงคนนั้นว่าลุงบ.นะ วันนั้นแม่นั่งคุยกับยายช่วงใกล้ค่ำตะวันกำลังกับตาอ่ะ นั่งคุยจริงจังเลย เพราะเริ่มเอะใจตามที่ตาบอก แม่ : "อีแม่...วันนี้กินไรกันดี ต้มเครืองในดีมั้ย" แม่เราถามเบาๆอ่ะ เบาเหมือนคนปกติคุยกัน ยาย : "ไม่รู้!!! วันนี้คันไปทั้งตัวเลย ลัดป่าข้าวไอ้บ.มา คาย(คัน)ไปทั้งตัวแล้ว" ยายเราบอกงี้อ่ะทู๊กคนนนนนนน เฮ้ยยยยยยย!!!!!!!!! ยายหูหนวกเว้ย ตึงเว้ยยยย คุยเบาได้ยินที่ไหน แต่ยายกลับได้ยินที่แม่คุยด้วย แล้วประเด็น!!!! คือออออ ไปลัดป่าข้าวมาตอนไหน ไปรู้ได้ยังไงว่าลุงบ.เกี่ยวข้าว แล้วคันตัวคืออารายยยยยยย วันนี้ก็นอนอยู่บ้านทั้งวัน ไม่ได้เดินไปไหนสักหน่อย ลุงยังนอนเฟ้าอยู่เลยยย เฮ้ยยย มันไม่ใช่แล้วเว้ย ด้วยความที่แม่เองก็กลัวอ่ะ แต่ก็พยายามใจดีสู้(ผี)เสือมั้ง แม่ก็ยังถามต่อไป แม่ : "ถามหน่อยดิ เป็นใครมาจากไหนอ่ะ อายุเท่าไหร่แล้ว" ยาย : "ฮ่าๆ กูมาจากดอนม่วง อายุร้อยกว่สปีแล้ว กูอยู่มานานแล้วไม่ต้องรู้หรอก"

เชรดดดดแล้วไงคุณผู้ชมมม ดอนม่วงมันเป็นหมูบ้านที่ค่อนข้างกันดาลมากๆ ที่อยู่ไกลจากบ้านเรามากกก แล้วอะไรคือการที่มาจากดอนม่วง อายุร้อยกว่าปี แม่เหรอ แทบช็อคค่ะ เพราะอยู่กับยายแค่สองคนบนเรือนไง ป้าลงไปดูตาอาบน้ำ เพราะต้องพาขึ้นบ้านก่อนที่จะมืด ดังนั้นแม่เป็นผู้โชคดีในค่ำคืนนี้ค่ะ ส่วนเราเหรอ นั่งทำการบ้านไม่ได้รับรู้เรื่องอะไรเลย รู้อีกทีก็เช้าวันถัดมา คืนนั้นยายก็เหมือนเดิมคือชอบต้มข้าวต้มกินกลางคืนและกินเค็มเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความหลอนค่ะ แล้ววันนั้นเราก็ต้องไปนอนเฝ้ายายด้วยอีกคน เรียกว่าวันนั้นประชากรหนาแน่นมากค่ะ ลุงผู้ชายสองคน ป้า แม่  และก็ตาที่นอนในมุ่งของตัวเองโดยไม่สนใจใครค่ะ และก็เพิ่มเรามาอีกหนึ่งคนค่ะ ที่บ้านยายเราจะมีเสากลางบ้าน มีทีวีอยู่กลางบ้าน ยายจะมีมุ้งและที่นอนของเค้าอยู่ริมหน้าต่าง แล้วก็มุ้งของแม่กับป้าที่นอนติดกับยาย

กลางคืนเวลาที่ยายเรียกหาให้ใครต้มข้าวต้มให้แก จะให้เปิดไฟตรงหัวมุมที่แกนอนเท่านั้น แล้วยายจะเลือกคนที่จะให้เข้ามุ้งด้วยนะ เอาสิ เอาดิเว้ยยยยย มีเลือกอ่ะ กลางคืนยายจะใช้วิธีคลำหาเอา จะเริ่มจากหัวก่อน ลุงจะโดนไล่ออกไปคนแรกเวลาโดนปลุกและเอาข้าวต้มไปให้ยาย เพราะยายบอกว่า "หัวสั้นไม่ให้เข้า" = ผมสั้น ก็ผู้ชายไง 5555 แล้วทีนี้ใครล่ะผู้โชคดีคนต่อไป แม่เราเองค่ะ ถูกคลำหัวเหมือนเดิม ยายบอกว่า "หัวยาวเข้ามุ้งได้" = ผมยาว ผู้หญิงไง 5555 เฮ้ยย ยังจะเลือกอีกเหรอ เฮ้ยย ยายเล่นอะไรอ่ะ 55555 ไม่ใช่ละ ส่วนเราก็นอนฟังค่ะ เหยียดขาตรงเก็บผ้าห่มให้มิด ลืมตาค่ะ ไม่คลุมโปงค่ะกลัวโผล่มาในผ้าห่ม 555 กลัวมากอ่ะตอนนั้น คือวันนั้นเราเข้านอนคนสุดท้ายเพราะมันแต่คุยโทรศัพท์เล่าเรืองยายให้เพื่อนฟัง เลยขึ้นบ้านยายมาช้ามากก ทั้งบ้านปิดไฟนอนหมดแล้ว หลอนดิเฮ้ย หลอนมาก นอนไม่หลับเลยคืนนั้น รู้แค่ว่าหลับตานะ แต่คือยังตื่นอยู่ เข้าใจปะ นั้นแหละ แล้วคืนนั้นคือประมาณตีสองได้นะ ยายออกจากมุ้งไง ยายจะมีเบาะที่รองก้นไว้รองเวลานั่งตลอด

เรารู้แค่วันตอนนั้นได้ยินเสียงเหมือนอะไรลากๆอยู่บนพื้นบ้าน แบบค่อยๆลากมาอ่ะ ทีนี้จ้าาาา เราก็เริ่มลืมตาละ มองละว่ามันคืออะไร  ปรากฏว่าเป็นยายค่ะ เสียงลากที่ดังคือยายแกไม่ได้เดินค่ะ แต่อาศัยนั่งบนเบาะและกระเถิบมาเรื่อยๆจนมาอยู่ที่ปลายมุ้งของเรา เข้าใจอารมณ์หนังผีปะ แบบมองไปที่ปลายเตียงอ่ะ แบบนั้นเลยยยยยย ลุงนอนกรนข้างๆไม่ช่วยไรเลย ละคือเงาของยายอ่ะ บ้านมันมืดๆอ่ะ มีแสงจันทร์ลอดเข้ามาตามหน้าต่างอ่ะ โคตรหลอนนนนนน  เรียกค่ะ เรียกแม่ด่วนค่ะ!!!!  "แม่!!!!!!!!! ยายออกมาจากมุ้ง" ทั้งบ้านตื่นกันหมดค่ะ เวลานั้น เสียงลุกจากที่นอนกันให้พรึบพรับ สักพักไฟในบ้านเปิดสว่างค่ะ เราค่อยโลกอกหน่อย มองเห็นยายอยู่ที่ปลายมุ้งจริงๆ คิดว่าโดนซะแล้ว ทีนี้แม่ก็มาพายายกลับเข้าไปนอนเหมือนเดิมแล้วยังแกล้งแม่เราอีก ยายบอกกับแม่ว่า "ผีอ่ะ ไม่มีจริงร๊อกกก" เสียงสู๊งงงงง* ยัง ยัง มีเวลามาเล่น 5555 คืนนั้นผ่านพ้นไปด้วยดี(เหรอ?) กว่าจะหลับตาลงคือไก่ขันอ่ะ คิดดูแล้วกัน วันรุ่งขึ้นไปเรียนค่ะ สภาพย่ำแย่มากค่ะ ยังค่ะยังไม่จบ คืนต่อมาชักเริ่มเหิมเกริมค่ะ เรียกแม่เราเข้าไปในมุ้งค่ะ ขอดูน๊มนมของแม่เราค่ะ 555555555 ทะลึ่งชิบเป๋ง แม่ด่าไปว่าอีผีบ้า!!! ยายหัวเราะค่ะ แล้วยังบอกอีกว่า "ผีไม่มีจริงร๊อกกก" ประโยคเดิมค่ะ 555555

คืนต่อมาค่ะ สะกิดแม่เราผ่านมุ้งค่ะ ให้เข้าไปหาเหมือนเดิม แต่ทีนี้หนักกว่าเดิม คือหันมาอ้าปาก แลบลิ้นใส่แม่เราค่ะ  หลอกเป็นผีเลย แม่บอกลิ้นยาวมาก ปากพองๆเพราะกินแต่ของร้อนๆลวกปากสีแดง แล้วก็หัวเราะเสียงดังใส่อีกต่างหาก แม่เรากรี๊ดเลยค่ะ เขย่าป้าที่นอนข้างๆให้มาดูเลยค่ะ แม่บอกว่า "อีท.!!!! ผีหลอกกูอีกแล้ววว"  อีกอย่างที่เราจะเล่าคือ เราไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะสาเหตุอะไรก็ตามที่ทำให้ยายเป็นแบบนี้เฉพาะเวลาตอนกลางคืนเท่านั้น ตอนกลางวันยายคือยายของเรา น่ารัก พูดจาเพราะ เบาๆ คุยกันเหมือนปกติ แต่กลางคืนกลับกลายเป็นคนละคนไปได้ ในที่นอนของยาย ใต้หมอนจะมีของที่อยู่ใต้หมอน ที่คนรู้จักเอามาให้ มีบรรดาใบหนาด เล็บเสือ หนังเสือ มีดวิชาอาคมอะไรไม่รู้มากมาย ซ่อนไว้ใต้หมอนไม่ให้ยายรู้ และมันทำให้เวลากลางคืนยายไม่เคยนอนเลย อย่างมากก็งีบหลับอยู่ที่ปลายที่นอน โดนไม่ได้ทิ้งตัวลงนอนเหมือนปกติ แต่เป็นการฟุบหลับตรงปลายที่นอน ทั้งๆที่ตัวเองก็นั่งอยู่แท้ๆ  แต่พอเวลากลางวัน แม่จะเอาของพวกนี้ออกจากใต้หมอน ยายถึงจะนอนได้ เพรากลางคืนไม่ได้นอน อย่างน้อยตอนกลางวันก็ขอได้พัก

ตอนกลางวันยายเคยพูดกับตาว่า มีใครก็ไม่รู้มาเต็มบ้านไปหมด ใส่โจงกระเบนสีแดง มาชวนให้เค้าไปอยู่ด้วย เราได้ยินเรายังตกใจเลย  ใครวะ ? นั่นคือคำถาม แล้วมีอยู่วันนึงเราไปซื้อขนมมานั่งกินกับยายตอนกลางวัน เราจำลังจะเดินขึ้นบ้านไป ยายเห็นเราโบกมือไล่เราอ่ะ บอกว่า "ไม่ไป กูไม่ไปกูจะอยู่ที่นี่" แล้วยายก็โบกมือไล่ให้ออกไป ซึ่งตอนนั้นเราเชื่อว่าที่พูดอยู่คือยายจริงๆ ไม่ใช่คนแก่ขี้หลอกเหมือนตอนกลางคืน บางครั้งเราก็เชื่อว่าคือยาย บางคืนเราก็ว่าไม่ใช่ไง เราโตมากับยายตั้งแต่เกิดอ่ะ ความรู้สึกมันจะบอกเองอ่ะ ว่าคนนี้ในเวลานี้คือยายของเราจริงๆ แต่ละวันยายจะไม่เหมือนกัน เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวปกติ เป็นแบบวนๆกันไปอยู่ประมาณ 2 เดือน ยายเราก็เสียค่ะ เราจำได้ว่าวันนั้นประมาณ 5 ทุ่ม เราได้ยินเสียงนกแสกร้องผ่านบ้านเราไป ซึ่งตอนนั้นยายเราก็หายใจไม่ค่อยออกแล้วด้วย  และไม่กี่นาที...ยายก็จากเราไป

เชื่อปะ ว่าหลานที่ว่าเข้มแข็งแค่ไหนอย่างลูกพี่ลูกน้องของเรา ปล่อยโฮกันทั้งบ้านอ่ะ เรานี่ร้องไห้โฮเลย
ตอนพิมพ์เล่าอยู่ตอนนี้ก็ยังน้ำตาคลอเบ้า ภาพวันนั้นมันหวนกลับคืนมาอีกครั้ง หลังจากที่น้ำตาเริ่มหยุดไหล เราก็ลองไปถามคนบนบ้านเกือบทุกคนว่าได้ยินเสียงนกแสกมั้ย ทุกคนตอบว่าไม่ได้ยิน เรายิ้มเตรียมใจตั้งแต่ได้ยินเสียงนกแล้วอ่ะ เสียงนี้ทีไรที่เราได้ยิน ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะไม่ได้เสียน้ำตา....
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ ขอบคุณที่มาฟังเรื่องราวแปลกๆ หลอนๆ(?)ด้วยกันในคืนนี้นะคะ

รักและคิดถึงยายเสมอ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ