ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สยองขวัญตอนสามทุ่ม


สมัยก่อนผมเป็นเด็กวัดอยู่ที่สุราษฎร์ธานี พ่อแม่ผมฐานะยากจนครับ แถมลูกดกเป็นนิ้วมืออีกต่างหาก ผมเป็นลูกชายคนโต พี่สาว 2 คน น้องชาย 2 คน จนพ่อแม่เหนื่อยใจเต็มที

พอดีหลวงตาเอี่ยม - น้าของแม่เป็นบวชพระมาเกือบ 20 พรรษาแล้วพอจะรู้ๆ ปัญหาก็เลยชวนผมมาอยู่ที่วัดซะเลย อย่าให้ออกชื่อวัดเลยนะครับ บอกแค่อยู่แถวๆหน้าสถานีรถไฟก็แล้วกัน ถึงจะอารามบอย กินข้าวก้นบาตร ตอนเช้าๆก็หิ้วปิ่นโตตามหลวงตาเอี่ยมที่ออกบิณฑบาต กลับมาก็อาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน...ถือว่าได้กินอิ่มนอนหลับ กับได้ศึกษาเล่าเรียนด้วย จะเอายังไงอีกล่ะ? ตอนเย็นๆก็ได้เวลาสนุกสนานกับเพื่อนฝูง เล่นไล่จับ ซ่อนแอบ ล้อต๊อกทอยกอง โยนห่วงหนักยางกันครืนไป ที่ข้างกำแพงวัดมีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม มีทั้งผ้าเขียวผ้าแดงพันครึ่ด เก่าแก่จนขาดก็มี กลางเก่ากลางใหม่ก็มี ประเภทใหม่เอี่ยมกก็ไม่ใช่น้อย ชาวบ้านนับถือกันมากน่ะครับ มีคนมาบนบานกันแทบทุกวัน ส่วนมากเป็นตอนเย็นๆหรือใกล้ค่ำ ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

แหม! ก็อย่างที่รู้ๆกันน่ะแหละครับคือมีทั้งมาขอหวย ขอให้ทำมาหากินร่ำรวย ขอให้หายเจ็บไข้ได้ป่วย ขอให้ผัวเลิกกับเมียน้อย ขอให้หาของหายได้พบ...จนถึงบนบานให้ลูกชายไม่โดนเกณฑ์ทหาร ฯลฯ
ที่รู้ก็เพราะขาดจุดธูปขอพรกันดังพอสมควร พวกเด็กแก่นๆเช่น ผม...ก็ทำเป็นเดินเมียงๆเข้าไปจนได้ยินชัดเลยคิดว่าเจ้าพ่อโพธิ์ท่านศักดิ์สิทธิ์น่าดูนะครับ เพราะมีทั้งเอาผ้าแพรสวยๆ มาแก้บน ทั้งตุ๊กตารูปช้าง ม้า เด็กๆไว้ผมจุก กองเกลื่อนกลาดปะปนกับก้านธูปเก่าๆจนล้มกลิ้งแขนขาหัก คอหัก เละเทะไปตามกาลเวลาก็มี ใกล้ๆต้นโพธิ์มีสระน้ำขนาดใหญ่ เห็นเต่ากับตะพาบแหวกว่ายน้ำขุ่นจนเขียว โผล่หัวขึ้นมาใกล้ขอบบ่อบ้าง คลานขึ้นไปบนบกแคบๆด้านที่ติดกำแพงบ้าง คนที่มาทำบุญแวะเอากล้วยสุกโยนให้มันกินก็มี

บรรยากาศแถวๆนั้นค่อนข้างเยือกเย็นวังเวงใจชอบกล พอลมพัดยอดโพธิ์ไหวซ่า ผมก็ขนลุกซู่ หนาวเยือกไปตามไขสันหลัง บางครั้งได้ยินเสียงเหมือนใครกลุ่มหนึ่งหัวเราะครืนมาจากยอดโพธิ์ ขนาดกลางวันแสกๆผมยังสะดุ้งโหยง เสียววาบตั้งแต่ต้นคอยันก้นกบ ...เผ่นอ้าวจนลมแทบออกหูหึ่งๆไปเลย
ชาวบ้านเล่ากันว่า วัดนี้ผีดุบรรลัย พวกเด็กวัดรุ่นพี่ชอบขู่รุ่นน้องว่า กลางค่ำกลางคืนอย่าผ่านไปแถวนั้นเชียว เพราะผีดุนักหนา มีคนเคยโดนหลอกจนเผ่นกระเจิงมาหลายรายแล้ว บางรายถึงกับขับไข้หัวโกร๋นแน่ะ ที่หน้าวัดมีร้านค้าหลายร้าน แต่มีร้านชำที่เปิดถึง 3-4 ทุ่ม สาเหตุเพราะมีคอเหล้านั่งก๊งกันเพลิดเพลินน่ะซีครับ

ร้านนี้แหละที่ทำให้ผมต้องใจหายใจคว่ำทุกคืน ! เรื่องของเรื่องก็คือ หลวงตาเอี่ยม จะใช้ให้ผมไปซื้อกาแฟตอนสามทุ่มแทบทุกคืน...ทำไมตอนเย็นๆหรือหัวค่ำไม่ใช่ก็ไม่รู้ ผมกลัวแสนกลัวก็ต้องไป พอใกล้สามทุ่มผมเป็นใจเต้นตึ๊กๆกลัวหลวงตาจะเรียก ขนาดรีบเข้ามุ้งนอนแล้วก็ไม่วายโดนใช้ให้ไปซื้อกาแฟจนได้ กาแฟดำร้อนใส่กระป๋องนม ร้อยด้วยเชือกกล้วยเป็นหูหิ้ว ...ถ้ามีกาแฟกระป๋องเหมือนสมัยนี้ก็รอดตัวไปแล้ว "ไอ้เอียด...ไปซื้อกาแฟนที!!!" นั่นคือถ้อยคำที่ผมกลัวสุดขีด...กลัวที่สุดในโลก ! เพราะหมายความว่าผมจะต้องลงจากกุฏิเดินไปตามทางลาดปูนเก่าๆผ่านต้นโพธิ์สูงใหญ่ยืนทะมึน บางทีก็เงียบเชียบน่าใจหาย แต่บางทีก็คร่ำครวญกับสายลม ฟังเผินๆเหมือนใครกำลังสะอึกสะอื้นด้วยความทุกข์โศกไม่มีผิด

ทั้งมืดทั้งเงียบ ยกเว้นคืนเดือนหงายมีแสงจันทร์ขาวนวล แต่มันก็เปล่าเปลี่ยว แสนจะน่าเยือกเย็นหัวใจอยู่ดี บางคืน มีเสียงนกเค้าแมวหรือนกฮูกร้องฮือๆ ฟังคล้ายเสียงคนครางน่าขนลุกพิลึกละครับ บางคืนเดินผ่านดีๆก็มีเสียงกระพือปีกพึ่บ ๆ โอ๊ย ...วิ่งด้าวไม่เหลียวหลังจริงๆงานนี้น่ะ คืนนั้นก็เช่นกัน! จำได้ว่าเป็นคืนแรม แต่มีดาวผุดสะพรั่งเต็มฟ้า...พอรับเงินจากหลวงตาลงบันไดมาถึงต้นโพธิ์ใหญ่ ผมรีบวิ่งตื๋อผ่านไปทันที ส่วนขากลับวิ่งไม่ได้ครับ เดี๋ยวกาแฟหก ต้องใช้วิธีก้าวยาวๆมองไปข้างหน้า ไม่ยอมหันไปทางต้นโพธิ์ขวามือเด็ดขาด เสียงลมพัดซ่า ...ยอดไม้เสียดส่ายกับสายลม แถมมีเสียงจ๋อมๆดังมาจากในสระเหมือนใครอุตริโยนก้อนหินเล่น ...ผมเลยเผลอหันไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ อ้าว? นั่นใครมานั่งกอดเข่า ซุกหัวนิ่งเงียบ ...ผมชะงักฝีเท้า จ้องมองด้วยความสงสัย แต่ร่างนั้นก็ยังนั่งนิ่งไม่ติงไหวตามเดิม ผมกระแอมดังๆก็ยังไม่ค่อยเงยหน้าขึ้นมาซักที จนเดินเข้าไปมองใกล้ๆให้รู้ว่าเป็นใครกันแน่? ทันใดนั้นเอง ผมก็มอบเห็นถนัดตาว่าร่างที่นั่งกอดเข่าอยู่ในแสงดาวนั้นน่ะ ไม่ได้ซุกหัวหรือซบหน้าอะไรหรอก ...แต่เป็นร่างที่ไม่มีหัวต่างหากล่ะ

แผดร้องสุดเสียงก่อนจะโกยแน่บไม่คิดชีวิต เลิกห่วงกาแฟหกได้ เพราะผมคงเหวี่ยงทิ้งตั้งแต่แรกแล้ว ...พรวดเดียวขึ้นไปกอดหลวงตาร้องไห้จ้า ...ตั้งแต่นั้นก็ไม่ต้องเสี่ยงภัยตอน 3 ทุ่มอีกต่อไป จนกระทั่งย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯทุกวันนี้นี่แหละครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ