ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เกร็ดความรู้สยองขวัญ ตอน เงินปากผี


ความเชื่อเกี่ยวกับอาถรรพ์ของเงินปากผีนั้น เป็นเรื่องเล่าเกิดจากความหวาดกลัวของคนสมัยก่อน ซึ่งสมัยก่อนนั้นมีเรื่องที่เหนือธรรมชาติซึ่งมักจะพบกับปรากฏการณ์ที่อยู่เหนือคำอธิบายอยู่มากมาย ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีวิชาอาคมจริงๆ ก็ไม่สามารถจะนำมาครอบครองได้ 

เพราะเงินปากผีนั้นเป็นเรื่องที่หาคำอธิบายไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะเหตุผลที่ว่าการทำศพในสมัยโบราณมักจะนำศพไปฝังไว้ที่ป่าช้า (ถ้าไม่เผา) ซึ่งป่าช้านั้นเป็นแหล่งรวมของอาถรรพ์ต่างๆ มากมายทั้งที่สามารถสัมผัสได้ นั่นคือหลุมศพและซากศพคนตายและสัมผัสไม่ได้ เช่น วิญญาณ ปิศาจ การที่จะนำเอาเงินปากผีมาทำพิธีกรรมต่างๆ เพื่อผสมสร้างเป็นเครื่องรางของขลังต่างๆ หรือนำไปเป็นของอาถรรถที่ใชำทำพิธีต่างๆ แต่จะต้องมีการทำพิธีที่ถูกต้อง ถ้าทำโดยรู้เท่าไม่ถึงกาหรือทำไม่เป็นล่ะก็ อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ (เจ้าของเงินปากผี คือ วิญญาณของผู้ตายอาจจะมาทวงคืนได้) อันนี้เป็นเรื่องเล่นจากประสบการณ์จริงของคนสมันก่อนที่สือเนื่องมาถึงทุกวันนี้ ในเรื่องนี้ชาวฮินดู ก็มีความเชื่อ โดยจะเอาเงินและข้าวสารเล็กน้อยใส่ปากศพ พวกสิงโพที่เป็น ชาวป่าของพม่า เมื่อแต่งตัวศพเรียบร้อยแล้ว จะเอาเนื้อหมูและเหล้าและข้าวเซ่นสรวง และเอาเงินใส่ปากศพ ถ้าผู้ตายเป็นหัวหน้าจะเอาเอาหินแก้วอันมีค่าใส่ไว้ใต้รักแร้ ข้างละเม็ด แล้วจึงนำใส่โลงชาวจีนจะเอาอีแป๊ะใส่ปากศพและเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ด้วย เงินใส่ปากศพ

การนำเงินใส่ปากศพ ถือว่าเป็นความเชื่อในสังคมไทย มาช้านาน แม้แต่ชาติอื่นๆ ก็มีความเชื่อในเรื่อนี้อยู่ไม่น้อย จะแตกต่างกันในข้อปฏิบัติ ซึ่งในสังคมไทยวิธีปฏิบัติก็คือ จะนำเงินพดด้วงหรือเงินเหรียญบาทหนึ่ง หรือจะเป็นเหรียญสลึงสองสลึงไม่กำหนด แล้วห่อผ้าขาวผูกเชือกไว้หางยาว หย่อนลงในปากศพ ซึ่งมีคำอธิบายไว้หลายเหตุผล ดังนี้

เหตุผลแรก การนำเงินใส่ปากศพก็เพื่อผู้ตายจะได้เอา ทรัพย์ติดตัว ไปใช้สอย ในเมืองผี แต่มีข้อสงสัยว่าทำไมจึงใส่เงินในปาก แค่เพียงหนึ่งบาทเท่านั้น (เท่าที่สอบถามจากสัปเหร่อวัดให้ใช้เหรียญบาทเท่านั้น เนื่องจากมีความเชื่อว่าใช้หนึ่งบาทเพื่อซื้อทางในดินแดนแห่งโลกวิญญาณ) แต่ตามความเชื่อของคนจีน จะมีการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ผู้ตายคราวละมากๆ จะเห็นได้ว่า มีความแตกต่างกันระหว่างความเชื่อของคนไทยกับคนจีน

เหตุผลที่สอง เพื่อให้พิจารณาเห็นว่า บรรดาทรัพย์สมบัติที่สะสมไว้ แม้มากสักเท่าใด ตายแล้วก็นำติดตัวไปไม่ได้ เขาย่อมควักเอาออกจากปาก สุดท้ายจะเอาไปได้ก็แต่กรรมที่ทำไว้ ซึ่งย่อมติดตามไปคล้ายเงาตน และจะส่งผลให้ได้รับทุกข์หรือสุขก็ตามแต่กรรมที่ตนได้กระทำไว้ เพราะฉะนั้น คนเราเกิดมาอย่าได้ลุ่มหลงอยู่กับทรัพย์สมบัติ

เหตุผลที่สาม เพื่อให้เป็นค่าจ้างแก่สัปเหร่อที่จะนำศพไปเผา ที่ต้องนำไปใส่ไว้ในปากเพราะว่าจะได้ค้นหาได้สะดวก เพราะถ้าเจ้าภาพบิดพลิ้วสัญญาค่าจ้างภายหลัง เงินใส่ปากศพจะกลายเป็นเงินค่าจ้าง เพราะในสมัยก่อนเงินบาทมีค่ามาก

ตามความเชื่อของกรีกโบราณที่เล่าต่อๆ กันมาว่า ผู้ที่ตายวิญญาณจะไปสู่เมืองผี ซึ่งเมืองนี้อยู่ใต้เมืองมนุษย์ ทางทิศตะวันตกอันไกลแสนไกล จะมีแม่น้ำปันแดนความสว่างและความมืดชื่อว่า “แม่น้ำสติกษ์” (แปลว่าดำมืด) วิญญาณของผู้ตายไปสู่เมืองผีได้ก็ต้องข้ามแม่น้ำนี้ มีมนุษย์ชื่อว่า “การน” มีรูปร่าง เป็นคนแก่ผมหยิกดำ หนวดเครารุงรัง แจวเรือรับส่งวิญญาณข้ามฟาก โดยคิดค่าจ้างรับส่ง เป็นเงินหนึ่งอะบะลัส อย่างไรก็ดี... ความเชื่อเรื่องเงินปากผีในปัจจุบัน อาจจะยังมีอยู่ในท้องถิ่นที่ยังคงรักษาความเชื่อนี้เอาไว้ แต่ในเมืองหลวงที่มีความเจริญ สิ่งเหล่านี้ได้สูญสิ้นไปจากคนในสังคมเมืองหมดแล้ว เพราะฉะนั้นการ กระทำความดี เสาะแสวงหาทรัพย์ภายใน คือ การทำบุญ เจริญสมาธิ รักษาศีล จึงเป็นการแสวงหาทรัพย์ที่ถูกต้องที่สุด เพราะเป็นทรัพย์ที่สามารถนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติ 

ไม่มีใครสามารถแย่งชิงนำไปได้แต่ก็ไม่ควรนำเงินปากผีมาเล่นเพราะเป็นสิ่งที่มีอาถรรพที่เรามองไม่เห็นถ้าทำไม่ดีของไม่ดีเหล่านั้นก็จะเข้าตัวได้

ขอขอบคุณ : วัลลภ ปาโทสิทธิ์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ