ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมอายุ 10 ขวบ ผมอาศัยอยู่กับตาและยาย ครอบครัวของเราไม่ค่อยมีฐานะเท่าไรนัก บ้านของผมอยู่ติดกับบ้านของลุงเหน่ง ลุงเหน่งแกรับจ้างฉายหนังกลางแปลงตามงานวัด แกเคยบอกกับผมว่าแกรักอาชีพนี้มาก
ช่วงวันหยุดผมจะไปเล่นกับลูกชายแกบ่อยๆ ผมกับนนท์สนิทมาก ช่วงเย็นวันนั้นหลังกลับมาจากโรงเรียน ผมก็ไปเล่นกับนนท์ตามปกติเหมือนเช่นเคย วันนั้นลุงเหน่งไม่อยู่บ้านเพราะออกไปต่างจังหวัด กว่าจะกลับก็คงดึกมาก ผมเล่นกับนนท์ไปได้สักพักนนท์ก็เอ่ยขึ้นมาว่า "เราลองเขาไปเล่นในห้องเก็บฟิล์มกันไหม" ผมจึงถามกลับไปว่า "จะดีหรอ" นนท์ตอบมาว่า "เอาน่ามีอะไรจะให้ดู" ด้วยความเป็นเด็กผมก็ไม่คิดอะไรมากจึงเดินตามนนท์เข้าไปในห้อง ลักษณะของห้อง เป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่กว้างมากนัก หน้าต่างทุกบานถูกปิดตายด้วยไม้หน้าสามตอกตะปู พร้อมกับมีผ้ายันต์สีแดงปิดทับลงบนหน้าต่างทุกบาน เหมือนขังอะไรบ้างอย่างไว้ด้านใน กลางห้องมีเครื่องฉายหนังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ และม้วนฟิล์มที่ว่างอยู่รอบๆห้องเป็นจำนวนมาก ผมยืนมองรอบๆห้องไปได้สักพักก็เหลือบไปเห็น เหมือนมีใครยืนหลบอยู่หลังจอผ้าสีขาว ผมเริ่มใจไม่ดีจึงรีบถามกับนนท์ว่า "ในห้องนี้นอกจากเราสองคนแล้วไม่มีคนอื่นใช่ไหม" นนท์ตอบกลับมาว่า "อืมใช่ ก็มีแค่เราสองคนนี้แหละ
พอผมได้ยินคำนี้มันทำให้ผมขนลุกขึ้นมาทันที แล้วสักพักนนท์ก็พูดกับผมว่า "มาเดี๋ยวจะทำอะไรให้ดู" พอพูดจบนนท์ก็หยิบเศษฟิล์มที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วเอาไฟฉายส่องลงบนแผ่นฟิล์มชิ้นนั้น สะท้อนลงบนจอผ้าสีขาวเป็นภาพออกมา และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ภาพที่สะท้อนออกมากับเป็นเงาของชายแก่ยืนนิ่งจองมาที่ผมและนนท์ ผมตกใจสุดขีดจึงรีบคว้ามือของนนท์เพื่อดึกออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้น สัมผัสแรกที่จับมือนนท์ มือของนนท์เย็นเฉียบ ไม่มีอาการตอบนองอะไรเลย ผมเห็นท่าไม่ดีจึงปล่อยมือของนนท์ แล้ววิ่งออกมาด้วยอาการสติแตก พยายามร้องเรียกหาคนมาช่วย ประจวบเหมาะกับเเม่ของนนท์ที่พึ่งกลับมาจากจ่ายตลาด เห็นผมวิ่งหน้าตาตื่นออกมา เลยถามผมว่า "เกิดอะไรขึ่น แล้วนนท์ล่ะไปไหน" ผมตอบกลับไปว่า "นนท์กับผมโดนผีหลอกที่ห้องเก็บฟิล์มครับ" แม่ของนนท์เลยพูดว่า "แล้วใครให้พวกเธอเข้าไปเล่นกันในนั้น" ผมได้แต่ยืนอ้ำๆอึ้งๆไม่ได้พูดอะไร แล้วแม่ของนนท์ก็รีบวิ่งเข้าไปดูนนท์ในห้อง ผมได้แต่ยืนรออยู่ด้านนอกเพราะความกลัว สักพักแม่ของนนท์ก็เดินออกมาบอกกับผมว่า "ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เธอกลับบ้านไปก่อนก็แล้วกัน"
หลังจากผมกลับมาที่บ้าน ด้วยความเป็นเด็กก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอทานข้าวเสร็จก็เดินไปอาบน้ำที่หลังบ้านตามปกติ บรรยากาศในตอนนั้นเงียบสงัด จนน่าขนลุก มันทำให้ผมย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวเมื่อตอนเย็นทันที "เอาน่าคงไม่มีอะไรหรอก" ผมคิดในใจแบบนั้น ผมอาบน้ำไปได้สักพัก หูผมก็ได้ยินเสียงอะไรบ้างอย่าง ดังมาจากด้านหลังห้องน้ำ ผมจึงค่อยๆเดินไปชะโงกมองผ่านช่องลมของกำแพงห้องน้ำออกไป ด้วยความมืดจึงมองเห็นไม่ชัดเท่าไหร่นัก ผมเห็นเหมือนมีใครบ้างคนกำลังก้มหาอะไรบ้างอย่าง ยิ่งจ้องมองก็ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มชักไม่เเน่ใจจึงเผลอหลุดปากทักไปว่า "นั้นใครยืนอยู่ตรงนั้นหนะ" พอสิ้นเสียงของผมชายคนนั้นก็หยุดนิ่ง แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้น ผมตกใจทันที่เพราะใบหน้าที่ผมเห็นนั้น เป็นคนๆเดียวกันกับที่ผมเจอในห้องเก็บฟิล์มเมื่อตอนเย็น
ด้วยความตกใจผมวิ่งกระโจนออกมาจากห้องน้ำแบบไม่คิดชีวิต รีบวิ่งตรงเข้าไปหาตากับยายทันทีด้วยอาการสั่นไปทั้งตัว ผมบอกกับตาและยายว่า "มีใครก็ไม่รู้ยืนอยู่หลังห้องน้ำบ้านเรา" ตาของผมก็เลยเดินไปที่หลังห้องน้ำ ยืนอยู่สักพัก แล้วก็พูดประโยคสั่นๆว่า "อย่ามายุ่งกับหลานของกู" พอพูดจบตาก็เดินตรงเขามาหาผมแล้วพูดว่า "ไม่มีอะไรแล้วแหละเองขึ้นไปนอนกับยายก่อนเดี๋ยวตาจะอยู่ข้างล่างอีกสักพัก" ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย จึงขึ้นไปบนบ้านกับยายเพื่อจะเตรียมตัวเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า สิ่งแรกที่ยายให้ผมทำหลังจากขึ้นมาถึง คือให้ปิดหน้าต่างทุกบานให้สนิท แล้วรีบเข้ามุ้งนอนเลย แล้วยายยังบอกอีกว่าให้นอนให้ใกล้ยายมากที่สุด ผมจึงซุกตัวเข้าไปนอนกับยาย ยายกอดผมแน่นมากแล้วกระซิบเบาๆกับผมว่า "ถ้าเห็นอะไรห้ามส่งเสียงเด็ดขาด" พอผมนอนไปได้สักพัก ตาของผมก็เดินขึ้นมาพอดี แกเดินตรงเข้ามาที่มุ้งแล้วพูดว่า "วันนี้ตาขอนอนกับเองวันนึงนะ" เป็นวันแรกที่ตาเข้ามานอนกับผม เพราะตั้งแต่ผมเกิด ก็จะเห็นตากับยายนอนแยกกันตลอด
แล้วสักพักผมก็เคลิ้มหลับไป ตึก! ตึก! ตึก! เอ๊ะเสียงใครกัน? ผมค่อยๆลืมตาเพราะได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังเดินขึ้นมาตรงบันไดทางขึ้นบ้าน แล้วสิ่งที่ผมเห็นนั้น มันคืนท่อนบนของชายแก่คนนั้นค่อยๆโผล่ขึ้นมา แววตาแดงก่ำเหลือกไปมาเหมือนหาอะไรบ้างอย่าง ค่อยๆตรงเข้ามาทางผม ด้วยความตกใจผมจึงพยายามดิ้นสุดเเรงและร้องเรียกตากับยาย แต่ร่างกายของผมมันไม่ตอบสนองอะไรเลย เหมือนผมยิ่งดิ้นมากเท่าไรร่างกายมันก็ยิ่งชาขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มจะหมดแรงลงทุกที ร่างของชายแก่นั้นก็ยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แล้วผมก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อมีเสียงปริศนาดังขึ้น เฮ้ย! พอสิ้นเสียงนั้นก็ปรากฏชายร่างดำสูงใหญ่อยู่ตรงประตูห้องของตา ยืนชี้หน้าของชายแก่คนนั้นไม่ขยับไปไหน แล้วสักพักร่างของชายแก่คนนั้นก็ค่อยๆจ่างหายไป แล้วผมก็เผลอหลับ พอรู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เช้าสะแล้ว
พอตื่นนอนสักพัก ผมก็ลงไปข้างล่างเห็นตากำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะ พอตาเห็นผมเดินลงมาคำแรกที่ตาถามผมคือ "เมื่อวานไปเล่นที่ไหนมา แล้วได้ไปเอาอะไรของใครเขามาหรือเปล่า เจ้าของเขามาตามถึงที่เลยนะ" ผมจึงบอกกับตาว่า "เมื่อวานนนท์มันชวนเข้าไปเล่นในห้องเก็บฟิล์มมาครับ แต่ก็ไม่ได้ไปหยิบหรือเอาอะไรของใครมานะครับ" พอพูดจบตาของผมเดินไปหยิบรองเท้าคู่เมื่อวานที่ผมใส่มาให้ดู มีเศษอะไรบ้างอย่างติดมากับรองเท้า เนื่องจากเมื่อวานผมตกใจกลัวจึงไม่ได้ทันสังเกตว่ามีอะไรติดมากับรองเท้าที่ใส่อยู่หรือเปล่า
ตาบอกกับผมว่าน่าจะเป็นเศษซากอาหารหรือเครื่องเซ่นอะไรบ้างอย่างที่วางอยู่กับพื้นแล้วผมดันไปเหยียบเข้า มันจึงติดมากับรองเท้าของผม วิญญาณหรืออะไรบ้างอย่างในห้องนั้นคงไม่พอใจจึงตามมาเอาคืน หลังจากเหตุการณ์นั้นตาของผมได้มีการทำพิธีขอขมาให้แก่ดวงวิญญาณดวงนั้นแล้วผมก็ไม่เคยเจอชายแก่คนนั้นอีกเลย และก็ไม่มีใครรู้ว่าประวัติของห้องเก็บฟิล์มห้องนั้นว่ามีอะไรเกิดขึ้น ต่อมาไม่นานลุงเหน่งแก่ก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ กิจการหนังกลางแปลงที่แก่รักก็ถูกทิ้งร้าง ลูกหลานรุ่นใหม่ๆก็ไม่มีใครมาสนใจ เรื่องราวเรื่องเล่าของหนังกลางแปลงถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา
ประสบการณ์จริงของ Admin Ken
CR Ken FollowMe
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น