ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ห้องเก็บฟิล์ม...ไปเหยียบเครื่องเซ่นเข้า วิญญาณตามมาถึงบ้าน!!(หลอนสิบกะโหลก)



ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมอายุ 10 ขวบ ผมอาศัยอยู่กับตาและยาย ครอบครัวของเราไม่ค่อยมีฐานะเท่าไรนัก บ้านของผมอยู่ติดกับบ้านของลุงเหน่ง ลุงเหน่งแกรับจ้างฉายหนังกลางแปลงตามงานวัด แกเคยบอกกับผมว่าแกรักอาชีพนี้มาก 

ช่วงวันหยุดผมจะไปเล่นกับลูกชายแกบ่อยๆ ผมกับนนท์สนิทมาก ช่วงเย็นวันนั้นหลังกลับมาจากโรงเรียน ผมก็ไปเล่นกับนนท์ตามปกติเหมือนเช่นเคย วันนั้นลุงเหน่งไม่อยู่บ้านเพราะออกไปต่างจังหวัด กว่าจะกลับก็คงดึกมาก ผมเล่นกับนนท์ไปได้สักพักนนท์ก็เอ่ยขึ้นมาว่า "เราลองเขาไปเล่นในห้องเก็บฟิล์มกันไหม" ผมจึงถามกลับไปว่า "จะดีหรอ" นนท์ตอบมาว่า "เอาน่ามีอะไรจะให้ดู" ด้วยความเป็นเด็กผมก็ไม่คิดอะไรมากจึงเดินตามนนท์เข้าไปในห้อง ลักษณะของห้อง เป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่กว้างมากนัก หน้าต่างทุกบานถูกปิดตายด้วยไม้หน้าสามตอกตะปู พร้อมกับมีผ้ายันต์สีแดงปิดทับลงบนหน้าต่างทุกบาน เหมือนขังอะไรบ้างอย่างไว้ด้านใน กลางห้องมีเครื่องฉายหนังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ และม้วนฟิล์มที่ว่างอยู่รอบๆห้องเป็นจำนวนมาก ผมยืนมองรอบๆห้องไปได้สักพักก็เหลือบไปเห็น เหมือนมีใครยืนหลบอยู่หลังจอผ้าสีขาว ผมเริ่มใจไม่ดีจึงรีบถามกับนนท์ว่า "ในห้องนี้นอกจากเราสองคนแล้วไม่มีคนอื่นใช่ไหม" นนท์ตอบกลับมาว่า "อืมใช่ ก็มีแค่เราสองคนนี้แหละ 

พอผมได้ยินคำนี้มันทำให้ผมขนลุกขึ้นมาทันที แล้วสักพักนนท์ก็พูดกับผมว่า "มาเดี๋ยวจะทำอะไรให้ดู" พอพูดจบนนท์ก็หยิบเศษฟิล์มที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วเอาไฟฉายส่องลงบนแผ่นฟิล์มชิ้นนั้น สะท้อนลงบนจอผ้าสีขาวเป็นภาพออกมา และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ภาพที่สะท้อนออกมากับเป็นเงาของชายแก่ยืนนิ่งจองมาที่ผมและนนท์ ผมตกใจสุดขีดจึงรีบคว้ามือของนนท์เพื่อดึกออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้น สัมผัสแรกที่จับมือนนท์ มือของนนท์เย็นเฉียบ ไม่มีอาการตอบนองอะไรเลย ผมเห็นท่าไม่ดีจึงปล่อยมือของนนท์ แล้ววิ่งออกมาด้วยอาการสติแตก พยายามร้องเรียกหาคนมาช่วย ประจวบเหมาะกับเเม่ของนนท์ที่พึ่งกลับมาจากจ่ายตลาด เห็นผมวิ่งหน้าตาตื่นออกมา เลยถามผมว่า "เกิดอะไรขึ่น แล้วนนท์ล่ะไปไหน" ผมตอบกลับไปว่า "นนท์กับผมโดนผีหลอกที่ห้องเก็บฟิล์มครับ" แม่ของนนท์เลยพูดว่า "แล้วใครให้พวกเธอเข้าไปเล่นกันในนั้น" ผมได้แต่ยืนอ้ำๆอึ้งๆไม่ได้พูดอะไร แล้วแม่ของนนท์ก็รีบวิ่งเข้าไปดูนนท์ในห้อง ผมได้แต่ยืนรออยู่ด้านนอกเพราะความกลัว สักพักแม่ของนนท์ก็เดินออกมาบอกกับผมว่า "ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เธอกลับบ้านไปก่อนก็แล้วกัน"

หลังจากผมกลับมาที่บ้าน ด้วยความเป็นเด็กก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอทานข้าวเสร็จก็เดินไปอาบน้ำที่หลังบ้านตามปกติ บรรยากาศในตอนนั้นเงียบสงัด จนน่าขนลุก มันทำให้ผมย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวเมื่อตอนเย็นทันที "เอาน่าคงไม่มีอะไรหรอก" ผมคิดในใจแบบนั้น ผมอาบน้ำไปได้สักพัก หูผมก็ได้ยินเสียงอะไรบ้างอย่าง ดังมาจากด้านหลังห้องน้ำ ผมจึงค่อยๆเดินไปชะโงกมองผ่านช่องลมของกำแพงห้องน้ำออกไป ด้วยความมืดจึงมองเห็นไม่ชัดเท่าไหร่นัก ผมเห็นเหมือนมีใครบ้างคนกำลังก้มหาอะไรบ้างอย่าง ยิ่งจ้องมองก็ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มชักไม่เเน่ใจจึงเผลอหลุดปากทักไปว่า "นั้นใครยืนอยู่ตรงนั้นหนะ" พอสิ้นเสียงของผมชายคนนั้นก็หยุดนิ่ง แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้น ผมตกใจทันที่เพราะใบหน้าที่ผมเห็นนั้น เป็นคนๆเดียวกันกับที่ผมเจอในห้องเก็บฟิล์มเมื่อตอนเย็น 

ด้วยความตกใจผมวิ่งกระโจนออกมาจากห้องน้ำแบบไม่คิดชีวิต รีบวิ่งตรงเข้าไปหาตากับยายทันทีด้วยอาการสั่นไปทั้งตัว ผมบอกกับตาและยายว่า "มีใครก็ไม่รู้ยืนอยู่หลังห้องน้ำบ้านเรา" ตาของผมก็เลยเดินไปที่หลังห้องน้ำ ยืนอยู่สักพัก แล้วก็พูดประโยคสั่นๆว่า "อย่ามายุ่งกับหลานของกู" พอพูดจบตาก็เดินตรงเขามาหาผมแล้วพูดว่า "ไม่มีอะไรแล้วแหละเองขึ้นไปนอนกับยายก่อนเดี๋ยวตาจะอยู่ข้างล่างอีกสักพัก" ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย จึงขึ้นไปบนบ้านกับยายเพื่อจะเตรียมตัวเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า สิ่งแรกที่ยายให้ผมทำหลังจากขึ้นมาถึง คือให้ปิดหน้าต่างทุกบานให้สนิท แล้วรีบเข้ามุ้งนอนเลย แล้วยายยังบอกอีกว่าให้นอนให้ใกล้ยายมากที่สุด ผมจึงซุกตัวเข้าไปนอนกับยาย ยายกอดผมแน่นมากแล้วกระซิบเบาๆกับผมว่า "ถ้าเห็นอะไรห้ามส่งเสียงเด็ดขาด" พอผมนอนไปได้สักพัก ตาของผมก็เดินขึ้นมาพอดี แกเดินตรงเข้ามาที่มุ้งแล้วพูดว่า "วันนี้ตาขอนอนกับเองวันนึงนะ" เป็นวันแรกที่ตาเข้ามานอนกับผม เพราะตั้งแต่ผมเกิด ก็จะเห็นตากับยายนอนแยกกันตลอด 

แล้วสักพักผมก็เคลิ้มหลับไป ตึก! ตึก! ตึก! เอ๊ะเสียงใครกัน? ผมค่อยๆลืมตาเพราะได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังเดินขึ้นมาตรงบันไดทางขึ้นบ้าน แล้วสิ่งที่ผมเห็นนั้น มันคืนท่อนบนของชายแก่คนนั้นค่อยๆโผล่ขึ้นมา แววตาแดงก่ำเหลือกไปมาเหมือนหาอะไรบ้างอย่าง ค่อยๆตรงเข้ามาทางผม ด้วยความตกใจผมจึงพยายามดิ้นสุดเเรงและร้องเรียกตากับยาย แต่ร่างกายของผมมันไม่ตอบสนองอะไรเลย เหมือนผมยิ่งดิ้นมากเท่าไรร่างกายมันก็ยิ่งชาขึ้นเรื่อยๆ ผมเริ่มจะหมดแรงลงทุกที ร่างของชายแก่นั้นก็ยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แล้วผมก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อมีเสียงปริศนาดังขึ้น เฮ้ย! พอสิ้นเสียงนั้นก็ปรากฏชายร่างดำสูงใหญ่อยู่ตรงประตูห้องของตา ยืนชี้หน้าของชายแก่คนนั้นไม่ขยับไปไหน แล้วสักพักร่างของชายแก่คนนั้นก็ค่อยๆจ่างหายไป แล้วผมก็เผลอหลับ พอรู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เช้าสะแล้ว

พอตื่นนอนสักพัก ผมก็ลงไปข้างล่างเห็นตากำลังนั่งทานข้าวอยู่ที่โต๊ะ พอตาเห็นผมเดินลงมาคำแรกที่ตาถามผมคือ "เมื่อวานไปเล่นที่ไหนมา แล้วได้ไปเอาอะไรของใครเขามาหรือเปล่า เจ้าของเขามาตามถึงที่เลยนะ" ผมจึงบอกกับตาว่า "เมื่อวานนนท์มันชวนเข้าไปเล่นในห้องเก็บฟิล์มมาครับ แต่ก็ไม่ได้ไปหยิบหรือเอาอะไรของใครมานะครับ" พอพูดจบตาของผมเดินไปหยิบรองเท้าคู่เมื่อวานที่ผมใส่มาให้ดู มีเศษอะไรบ้างอย่างติดมากับรองเท้า เนื่องจากเมื่อวานผมตกใจกลัวจึงไม่ได้ทันสังเกตว่ามีอะไรติดมากับรองเท้าที่ใส่อยู่หรือเปล่า 

ตาบอกกับผมว่าน่าจะเป็นเศษซากอาหารหรือเครื่องเซ่นอะไรบ้างอย่างที่วางอยู่กับพื้นแล้วผมดันไปเหยียบเข้า มันจึงติดมากับรองเท้าของผม วิญญาณหรืออะไรบ้างอย่างในห้องนั้นคงไม่พอใจจึงตามมาเอาคืน หลังจากเหตุการณ์นั้นตาของผมได้มีการทำพิธีขอขมาให้แก่ดวงวิญญาณดวงนั้นแล้วผมก็ไม่เคยเจอชายแก่คนนั้นอีกเลย และก็ไม่มีใครรู้ว่าประวัติของห้องเก็บฟิล์มห้องนั้นว่ามีอะไรเกิดขึ้น ต่อมาไม่นานลุงเหน่งแก่ก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ กิจการหนังกลางแปลงที่แก่รักก็ถูกทิ้งร้าง ลูกหลานรุ่นใหม่ๆก็ไม่มีใครมาสนใจ เรื่องราวเรื่องเล่าของหนังกลางแปลงถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา

ประสบการณ์จริงของ Admin Ken
CR Ken FollowMe

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ