ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เรื่องผีผี ตามประสาคนเที่ยวป่า PANTIP


เรื่องมันเริ่มที่ย่อหน้าที่ 5 ครับใครขี้เกียดอ่านข้ามไปเลยก็ได้ครับ...ขอเกริ่นก่อนเลยครับว่า เรื่องนี้ผมเจอมากับตัวครับ ส่วนตัวผมชอบเที่ยวป่าอยู่แล้ว ชอบเดินป่าเที่ยวน้ำตกสถานที่ที่ไม่ค่อยมีคนไป มักจะซ่อนอยู่ตามหุบเขาที่เข้าถึงยาก ทำให้ได้บรรยากาศและสถานที่ที่สวยงามครับ

เข้าเรื่องเลยล้ะกันครับ...ณ วันออกเดินทาง ทริปนี้ก็เหมือนทริปก่อนๆของผมครับจุดหมายปลายทางที่ น้ำตกแห่งหนึ่งในอำเภอ สังขละบุรี จังหวัด กาญจนบุรีครับ ผมนัดกับเพื่อนอีก 5 คน ที่ตัวเมืองกาญจนบุรีครับ กาน พลอย ฝุ่น จอร์จ และน้ำ (นามสมมุติ) ขับรถยนต์ไปกัน ถึงต้นทาง พวกเราฝากรถไว้ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในตัวอำเภอครับจากนั้นก็จัดซื้อหาเสบียง แล้วผมเลยไปหาผู้ใหญ่บ้านให้หาคนนำทางให้ผมหน่อย “ที่ที่ผมจะไปเนี่ยพอจะมีคนนำทางให้พวกผมได้มั้ย” เค้าตอบกลับมาว่า “ไอหนูเองจะไปจริงหรอแน่ใจแล้วน้ะ” ผมก็แปลกใจแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายเราอุสส่ามาถึงนี่เสียเวลาเสียเงิน แกเลยบอกว่าให้ไปหา พรานไพร (นามสมมุติ) พวกผมเลยออกตามหาพราน จนเจอตัวแล้วก็บอกจุดหมายที่จะไปสิ่งแรกที่เค้าถามเลยคือ “พวกเอง มี เหล้า เบียร์ ของมึนเมาติดมาด้วยมั้ย” พวกผมเลยบอกว่า “มีครับ” พรานเลยบอกกลับมาว่า “ข้าจะส่งเองแค่ปากทางข้างในนั้นข้าไม่อยากเข้าไป”

พวกผมเลยปรึกษากันขอให้พรานวาดแผนที่คร่าวๆให้หน่อย (ระยะทางจากปากทางเข้าถึงตัวน้ำตกประมาณ 12 กิโลเมตรครับ) หลังจากนั้นพรานก็ไปส่งพวกผมที่ปากทาง (เวลาประมาณ 10 โมงกว่าๆ ) ก็เหมือนกับสถานที่อื่นๆที่ผมเคยไปแหละครับ เป็นสภาพป่าที่ค่อนข้างรกมีต้นไม้สูงปกคลุม ไอกานเพื่อนผมหันไปเห็นศาลมันเอ่ยออกมาว่า “เห้ย พวกเอาของเซ่นเจ้าที่หน่อยมั้ยจะเข้าที่เข้าทางเค้าอะ” ไอจอร์จเลยพูดออกมาว่า “ไม่ต้องหรอกเสียเวลาหวะ นี่จะเที่ยงล้ะ เดี๋ยวถึงจะมึดซ้ะก่อน” ผมเลยไม่อะไรมากเลยมุ่งหน้าเดินทางเพื่อเข้าไปยังตัวน้ำตก บรรยากาศภายในป่าก็ชื้นๆครับเพราะมีต้นไม่สูงใหญ่ปกคลุมแทบไม่เห็นแสงแดดส่องลงพื้นดิน พวกผมหยุดเติมพลัง เวลาประมาณ4โมงเย็น

และแล้วก็ถึงน้ำตกครับ มันสวยมาก สวยจนพวกผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง สวยเกินคำบรรยายจริงๆครับ เลยกะว่างั้นตั้งแคมป์ ข้างๆน้ำตกล้ะกัน พวกผู้หญิงก็ ถ่ายรูป เล่นน้ำ จัดเตรียมอาหารที่พัก ผม จอร์จ และกาน ก็นั่งจิบเบียร์เล่นกีต้าร์กันเพลินๆ กับบรรยากาศที่สุดจะบรรยาย เวลาประมาณ 2 ทุ่มพวกผมก็ก่อกองไฟนั่งล้อมวงกัน ตามประสาวัยรุ่นแหละครับ พักนึงพลอยปวดฉี่มันเลยบอกให้ฝุ่นไปเป็นเพื่อน สักพักก็กลับมากันครับ ฝุ่นก็ปกติครับร้องเพลง สังสรรค์ แปลกที่ พลอยครับ หลังจากที่มันกลับมามันก็นั่งเงียบไม่พูดไม่จา สั่น น้ำตาคลอ ทั้งที่ปกติมันร่าเริงสุดในแก๊ง ผมเลยถามว่า “พลอยเป็นอะไร” มันก็ไม่ตอบครับเอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตา พวกผมหยุดร้องรำทำเพลง หันมาทางพลอย ทั้งสกิด ถาม เขย่า มันก็ไม่หือไม่อือ พวกผมก็จนปัญญาจนผมรู้สึกว่ามันแปลกล้ะ ผมจึงยกมือไหว้พระที่ผมห้อยแล้วไปคล้องคอมันจากนั้นมันก็หลับไปเลย งงสิครับ นั่งมองหน้ากันเอ๋อเลยครับ เลยพามันเข้านอนสงสัยเป็นเพราะมันน่าจะไข้ขึ้น

จากนั้นก็ออกมาสังสรรค์กันต่อ ดึกขึ้นดึกขึ้นเวลาประมาณ 5 ทุ่มครับ พวกผมจะเข้านอนกันหมด ไอจอร์จ หันไปทางที่เราเดินเท้าเข้ามาเห็นผู้หญิงวัยกลางคนครับอุ้มลูกเดินออกมาจากเงามึดของป่ามันเลยถามว่า “น้าครับน้าจะไปไหนครับ” พวกผมก็หันไปมองกันหมด แกเลยบอก “ลู๊น้าม่าสบาจะพาปะหาหมอที่หมู่บ้า” (ประมาณว่า ลูกน้าไม่สบายจะพาไปหาหมอที่หมู่บ้าน ผมเอะใจ นี่5ทุ่มน้ะ เค้าเดินออกมาทั้งๆที่ทางมันมึดขนาดนั้นได้ยังไง น้ำมันหันมาบอกผมว่า “เออหนะเข้าคนพื้นที่เข้าออกประจำไม่ต้องไปไรเค้าหรอก” จากนั้นน้าเค้าก็เดินหายไปในเงามึดที่ทางออกไปยังหมู่บ้าน พวกผมก็เก็บข้างของเข้านอนประมาณเที่ยงคืน (พวกผมนอนเต้นเดียวกันหมดเลย) นอนไปยังไม่ทันจะหลับดี ผมได้ยินเสียงข้างนอกเต้นเหมือนมีคนเดินย่ำฝบไม้ข้างนอก ผมจึงหันไปสะกิดฝุ่น “ได้ยินป้ะ” มันตบหน้าผมแรงมากครับแล้วมันก็บอกว่า “เงียบปากของเลยหลับๆไปซ้ะ ได้ยินอะไรห้ามทักห้ามพูด” ไอเราก็โมโหครับ เอ้าก็ ได้ยิน จะให้ทำยังไงหละ สักพักก็เงียบไปครับ

แต่มันยังไม่จบแค่นั้นประมาณตีหนึ่งครับ ผมได้ยินเสียงนกหวีดแว่วๆมาตามลม ตามด้วยเสียงเหมือนกับฝีเท้าหลายๆเท้าย่ำอยู่กับที่ ผมก็ข่มตาหลับครับกลัวก็กลัว สักพักมีอะไรไม่รู้มาเขย่าเต๊นท์ ผมทนไม่ไหวจึงหันไปหาฝุ่นอีกแล้วถามมันว่า “ได้ยินเหมือนที่กูได้ยินมั้ย” คราวนี้มันสั่นเลยครับเหงื่อออกไปหมดแล้วก็บอกว่า “กูได้ยินทุกอย่างกูก็ยังหลับไม่ลง” แล้วก็ตื่นกันหมดเลยครับยกเว้น “พลอย” นั่งล้อมวงในเต้นปรึกษากันว่าเอายังไงดี เสียงก็ยังคงดังแว่วๆในหูทุกคนตลอด แล้วก็หลอนกันเลยครับ เสียงผู้ชายวัยกลางคนดังมาจากนอกเต๊นท์ “พวกไม่รอดกันหมดหรอก ต้องมีใครซักคนต้องตาย ทำอะไรไว้ พวกซักคนต้องตาย ต้องมีคนตาย ตาย” หลอนเลยครับ กลัวสุดชีวิต มือไม้สั่นไปหมด ทำอะไรไม่ถูก ฝุ่นกับน้ำ เอาแต่นั่งร้องไห้เพราะกลัว

ผม ไอจอร์จและไอกาน ก็ได้แต่สวดมนต์ครับ เท่าที่ชีวิตเคยรู้จักทุกบททุกตอนที่เคยเข้าค่ายธรรมมะ มีพระมีองค์ก็ควักออกมากันพนมมือไหว้กันหมด จนเหมือนทุกอย่างค่อยๆเงียบสงัดขึ้น มีเพียงเสียงน้ำตกรอบข้าง จากนั้นผมก็ภาพตัดครับ หลับไปเลยจำเหตุการณ์ได้เพียงแค่นั้น เช้าครับ เจ็ดโมงฟ้าเริ่มสว่าง ไอกานเข้ามาปลุกผม ผมล้างหน้าล้างตา แล้วเรียกมันมานั่งล้อมวงกันคุยเรื่องเมื่อคืน เริ่มที่พลอยครับ มันตื่นคนแรก มันเล่าว่า “กูจำได้แค่กูปวดฉี่เลยชวนอีฝุ่นไป ขณะกำลังทำธุระก็มองไปเหนือน้ำตกด้านบน เห็นวัยรุ่นน่าจะเป็นชาวบ้านแต่งตัวเหมือนกะเหรี่ยงจ้องตากู กูก็จ้องตามัน ตามันแดงเถือกเหมือนสีเลือด ยื่นมือมาลูบหน้ากู แล้วก็ก็หลับไปเลย”

พวกผมงงเลยครับงงมาก งงจนทำอะไรไม่ถูก หลังจากอึ้งกันอยู่พักใหญ่ๆ เลยตัดสืนใจกันอาบน้ำทำธุระ เก็บข้าวของเดินทางกลับไปยังหมู่บ้าน ถึงปากทางประมาณ บ่ายโมงกว่าๆ พวกผมจึงรีบน้ำข้าวของที่ยังคงพอมีเหลือบ้างที่ยังไม่ทัน ได้ใช้ได้กิน มาเซ่นไหว้ศาลตรงปากทาง กราบไหว้ขอขมาในสิ่งที่ได้กระทำผิดไป ขณะเดินเข้าหมู่บ้าน ฝุ่นมันบ่นว่าปวดหัวหายใจไม่ค่อยสะดวกเหมือนไข้จะขึ้น เลยพากันไปที่อนามัยของหมู่บ้านเพื่อที่จะขอกินแก้ขัด ผมอาสาเข้าไปขอยาภายในอนามัย ขณะกำลังนั่งรอยามีผู้หญิงคนนึงมาถามพี่คนที่ผมขอยาว่า “ศพแม่ ลูก ที่ตายเมื่อวานฝากรถไปเลยมั้ยพี่” ผมใจหายวูบเลยครับ จึงขอพี่พยาบาลเค้าดูแค่ใบหน้าศพ เค้าบอกว่าน้องเป็นญาติเค้ารึปล่าว ผมบอกว่าไม่ได้เป็นครับแต่!! ผมเล่าเรื่องเมื่อคืนให้เธอฟังเธอจึงให้ผมดูแค่ใบหน้าของศพ

เปิดมาผมทรุดเลยครับ ตะลึง พูดอะไรไม่ออก พี่เค้าเลยตามเพื่อนๆของผมที่รออยู่ด้านหน้ามาดูผม เพื่อนทั้งหมดตะลึงกับใบหน้าศพนั้นมากครับ อาการเดียวกันหมด มันคือคนคนเดียวกับที่พวกผมเจอเมื่อคืนครับ ใบหน้าเหมือนกันเป๊ะ คือคนคนเดียวกันเลย พลอยเลยพยุงพวกผมออกไปข้างนอกแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฝุ่นจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พวกผมตัดสินใจกลับกันโดยด่วยที่สุดขณะกำลังไปเอารถก็มีลุงแกๆ เดินถอดเสื้อยันต์เต็มตัวเดินเข้ามาหาพวกผมแล้วถามว่า “พวกเองคนกรุงเรอะ เข้าไป บ่องสะโหนดเบียง มาสิ” พวกผมก็งงว่าแกพูดถึงอะไร แกจึงชวนไปนั่งพักกินน้ำกินท่าที่บ้านแก แล้วแกก็เล่าเรื่องให้ฟังว่า “สมัยก่อนหนะน้ะมีหมู่บ้านอีกหมู่บ้านนึงอยู่ลึกไปในป่าที่พวกเองเข้าไปนั้นแหละ ชื่อหมู่บ้าน โล๊ะทึง คนในหมู่บ้านพากันล้มตายเพราะสารตะกั่วในลำธาร  ที่เค้าดื่นกินกัน จนตายกันยกหมู่บ้าน ชาวบ้านแถวนั้นเลยเรียกว่า บ่องสะโหนดเบียง ภาษากะเหรี่ยงมันแปลว่า  พื้นที่ชุมนุมผี จนทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปหาของป่าทางนั้นแม้แต่พรานไพร มันยังไม่กล้าเข้าไปเลย

โอ๊ยย มันมีเรื่องเล่าขานมากมายสมัยพ่อของลุงเล่าให้ฟังว่าพื้นที่ตรงนั้นหนะมันเป็น ค่ายทหารเถื่อนยิงกับพม่ากันแรมเดือนจนพากันล้มตายมากมายก่ายกอง” พวกผมตะลึงเลยครับ จากนั้นก็ลาลุง ลาผู้ใหญ่บ้าน กลับ กทม นัดกันทำบุญยกใหญ๋เรียกว่าเดินสายเลยก็ได้ครับ สิ่งที่ผมบอกก็คือเวลาไปเที่ยวสถานที่ที่มันต่างบ้านต่างเมือง เที่ยวเข้าเที่ยวดอย หรือที่ที่เราไม่คุ้นเคย เตรียมของเซ่นไหว้เจ้าที่สักนิดเถอะครับ มันไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรเลย เจอศาลเจ้า ศาลอะไรก็ตามว่ากล่าวขอขมา สักหน่อยก็ไม่เสียหาย เรื่อง เหล้า เบียร์ สิ่งของเมา ก่อนกิน เปิดเซ่นเจ้าที่ก่อนสัก2-3ฝาแล้วค่อยลามากินก็ได้ครับ สิ่งเหนือธรรมชาติมันมีมากมายครับสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นสิ่งศักดิสิทธิ์ก็ควรเคารพบูชา ไม่ใช่เห็นเป็นเรื่องเสียเวลา...ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ ไว้ครั้งหน้าผมมีอีกจะมาแชร์ครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ