ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

วิญญาณในห้องพักที่ “แม่สาย”


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวดิฉันเองค่ะ อาจจะเหมือนอ่านบันทึกการเดินทางนิ๊ดนุงนะคะ

เรื่องก็มีอยู่ว่า…ดิฉันกับคุณแม่ และแฟนของดิฉัน เราไปเที่ยวด้วยกันในช่วงปีใหม่ที่จังหวัดเชียงราย และเชียงใหม่ 5 วัน 4 คืน ซึ่งที่เที่ยวส่วนใหญ่ก็จะเน้นไปที่ “ดอย” ต่าง ๆ (ที่ ๆ มันทุรกันดารมาก ๆ แต่วิวก็สวยมาก ๆ เช่นกัน)

ดิฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจกับทัวร์นี้จริง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อน ๆ ของคุณแม่ ที่ค่อนข้างมีอายุแล้วทั้งนั้น (ทัวร์คนแก่ว่างั้นเถอะ) แต่ละที่ ๆ เราไป ขอบอกเลยว่าไม่ธรรมดา หมายถึงการเดินทาง…บางที่รถตู้ไม่สามารถเข้าถึง…ต้องใช้รถโฟร์วิวตะกายขึ้นไปยังที่พักบนภูเขา “ไปดูทะเลหมอก” (ขอโทษด้วยนะคะ ถ้าจำชื่อสถานที่ไม่ได้) รู้แต่ว่า Adventure สุดๆ...อ่าว!! เวรกรรม!! การเป็นบรรยายที่เที่ยวไปแล้วซะงั้น..วกกลับเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะคะ คือคณะทัวร์ของเรา ก็ไปพักตามที่ต่าง ๆ ซึ่งก่อนนอนทุกครั้ง คุณแฟนกับคุณแม่ของดิฉันอีกนั่นแหละ จะต้องสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนทุกคืน เพื่อขออนุญาติเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา และสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย จะมีก็แต่คนขี้เกียจแบบดิฉัน กราบหมอนเสร็จก็กลิ้งตัวลงนอนซะอย่างนั้นแหละ “บอกสั้นๆ ว่าขอให้ฝันดี” แล้วก็หลับสนิท ซึ่งปกติก็ทำแบบนี้ทุกที่จนมาถึงที่แม่สายในคืนสุดท้าย


เรามาพักที่แม่สาย เพื่อว่าพรุ่งนี้เช้าจะข้ามด่านไปประเทศพม่ากันทั้งคณะ ซึ่งที่ ๆ เรามาพักนี้เป็นคอนโดฯ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวมาพักค้างคืนได้ค่ะ หลังจากที่หัวหน้าทั้วร์แจกจ่าย key card แบ่งห้องให้กับทุก ๆ คนเสร็จเรียบร้อย ต่างคนก็ต่างแยกกันขึ้นห้องพักตามปกติ ดิฉันกับคุณแฟน และคุณแม่พักห้องเดียวกัน 3 คนค่ะ...พอเราเปิดประตูเข้าไปเท่านั้นแหละ…ความรู้สึกแปลก ๆ ก็เกิดขึ้น…มันแปลก ๆ แบบบอกไม่ถูก และไม่ใช่ว่าดิฉันจะรู้สึกคนเดียวนะคะ ทุกคนรู้สึกเหมือนกัน ว่าห้องนี้มันมีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ได้แต่มองหน้ากันแล้วทำตาปริบ ๆ แบบเราเข้าใจกัน คือปกติดิฉันจะนอนเตียงเดียวกับคุณแม่ ส่วนคุณแฟนจะนอนอีกเตียงนึง แต่คราวนี้ทุกคนลงความเห็นว่า เราน่าจะเลื่อนเตียงมาชิดกันดีกว่ามั้ย


จากนั้นเราลงไปกินข้าวเย็นกัน แล้วก็เอ้อระเหยเดินซื้อของอยู่แถวๆ นั้นจนประมาณ 3 ทุ่มกว่าเห็นจะได้ เพราะทุกคนคิดเหมือนกันว่าไม่อยากกลับไปนอนในห้อง แต่จะทำยังไงได้ เพราะจะขอแลกห้องกับคนอื่น ก็กลัวเขาหาว่าเรื่องมาก ยิ่งถ้าบอกว่ากลัวผียิ่งแล้วใหญ่คงจะไม่มีใครยอมแลกห้องกับเราแน่ ๆ

สุดท้ายเราก็ทำใจกลับมาที่ห้องอีกครั้ง ยังไง ๆ ก็มีกันตั้ง 3 คนจะเป็นไรไป เมื่อกลับมาถึงสภาพห้องก็ยัง (น่ากลัว) เหมือนเดิม ดิฉันอาบน้ำเป็นคนสุดท้ายด้วยอาการหวาดผวา ไม่ว่าจะเสียงเครื่องปั๊มน้ำที่ส่งเสียงโหยหวน ไหนจะคุณแฟนที่แสนดี คอยแกล้งแหย่  เสียงประกอบเพลง ทำนองชมรมขนหัวลุกในระหว่างที่ดิฉันอาบน้ำ จนคุณแม่ดิฉันยังอดขำไม่ได้

แล้วอยู่ ๆ ก็มีสียงคนมาเคาะห้อง ก๊อก ก๊อก ก๊อก คุณแฟนก็เข้าใจว่าเป็นพวกป้า ๆ ในคณะทัวร์มาเคาะ ก็เลยจะรีบจะไปเปิดประตู แต่คุณแม่ห้ามเอาไว้และบอกให้ดูที่ตาแมวก่อน ว่าใครมา??..ปรากฏว่าไม่มีใครที่ด้านนอก ซึ่งก็เป็นแบบนี้ประมาณ 3 ครั้ง ทุกคนจึงสรุปเอาเองว่าคงจะเป็น “เสียงลม” (เหอะๆๆ)...จนในที่สุดทุกคนก็เข้านอนโดยที่มีดิฉันนอนอยู่ระหว่างกลาง และเปิดทีวีทิ้งไว้ (ด้วยความเชื่อที่ว่า คลื่นโทรทัศน์จะรบกวนคลื่นวิญญาณ ทำให้วิญญาณปรากฏตัวได้ยาก) แน่นอนค่ะ คืนนี้ดิฉันไม่พลาด ที่จะสวดมนต์แบบ Full option (คือแบบสวดแบบมี อิติปิโสฯ พร้อมกับแผ่เมตตาแถมให้ด้วย) และแล้วดิฉันก็รู้สึกเหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่น ซักพัก อยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงผมยาวแต่รวบไว้ด้านหลังเป็นหางม้า ผิวขาว หน้าตาเหมือนหญิงสาวชาวเหนือทั่ว ๆ ไป เธอค่อย ๆ ขยับมานั่งอยู่ที่ปลายเตียงพร้อมกับชวนดิฉันคุย

เธอบอกว่า เธอตายที่นี่ และอยากมาคุยด้วย พร้อมกับยิ้มให้ เหมือนคนคุยกันธรรมดาทั่วไป  (แต่ดิฉันไม่คิดว่ามันธรรมดา) ถึงแม้จะมาแบบไม่น่ากลัวก็เถอะ แต่เกิดพี่แกเปลี่ยนใจ อยากจะมีโชว์ให้ ดูเผื่อว่าจะไม่เชื่อ แล้วจะว่ายังไง คิดได้ดังนั้นดิฉันก็เริ่มตั้ง “นะโม” ในใจ แค่นั้นดิฉันก็หลุดจากภวังค์ ลืมตาใสแจ๋ว หันไปมองทางคุณแม่

อ่าว!!!! คุณแม่ก็นอนลืมตามองมาทางดิฉันเหมือนกัน ต่างคนต่าง งง ๆ ว่าลืมตามาดูกันทำไม (แต่เหมือนรู้กันยังไงไม่รู้) ดิฉันเลยยิงคำถามไปก่อน “กี่โมงแล้วเนี่ย” ตาก็เหลือบไปดูเวลา โอ้วตี 3!!! รู้สึกว่าโชคดีที่เปิดทีวีกับไฟทิ้งไว้ ซักพักคุณแม่ก็บอกว่า “นอนเถอะ” ซักประเดี๋ยวคุณแฟนก็ตื่นเหมือนกันแล้วก็ลุกไปเข้าห้องน้ำจากนั้นเรา 3 คนก็มองหน้ากัน (อีกแล้ว) และทั้งหมดก็ตัดสินใจนอนต่อจนถึงเช้าโดยไม่พูดอะไรกันอีก


ตอนเช้าเราก็ออกไปทานข้าวที่ตลาด โดยต่างคนต่างเล่าถึงเรื่องเมื่อคืนนี้และมั่นใจว่า”ของจริงแน่นอน” เริ่มจากคุณแฟน ซึ่งปกติเป็นคนไม่กลัวผีอยู่แล้ว คุณแฟนเล่าว่าเมื่อคืนเขาเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น แล้วก็เห็นผู้ชายจ้องเข้ามาจากทางหน้าต่าง จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็ (ลอย) ผ่านไปยังห้องข้าง ๆ (ซึ่งข้างนอกไม่มีระเบียงเน้อ) แต่คุณแฟนก็คิดว่า คงเป็นเพราะกังวลมากไปทำให้เก็บไปฝัน ส่วนคุณแม่อันนี้เห็นจะๆ คุณแม่เห็นเป็นเงาผู้ชายดำปิ๊ดปี๊ ตัวสูงเกือบเท่าเพดาน ยืนอยู่ติดกับตู้เสื้อผ้าแล้วจ้องมองมา (จะจ้องทำไมกันน๊า) คุณแม่ก็เริ่มสวดมนต์แต่เขาก็ยังไม่หายไปจนกระทั่งดิฉันตื่นขึ้นมานั่นแหล่ะ คุณแม่ถึงได้บอกว่าเขาค่อย ๆ หายไป


จากนั้นพอกินข้าวเช้าเสร็จ เราก็เอา Key card มาคืนที่ Reception ของทางคอนโดฯ แล้วพยายามจะหลอกถามเขาว่า ห้องที่เราพักมีผีรึเปล่า??? (ถามไปตรง ๆ เค๊าก็คงจะบอกหรอกนะ) “ไม๊มี๊!!! ไม่มีครับ ว่าแต่พวกคุณเจออะไรเหรอครับ ??” (แต่น้ำเสียงกับท่าทางของคนพูดนั้น มันบ่งบอกว่ามีอะไรแปลกๆที่นี่ซักอย่าง) “เจอผีค่ะ !!” ดิฉันบอกเขาไปแบบนั้น แล้วเราก็ออกจากที่นั่น โดยทิ้งให้เขาหวาดผวาเล่นแก้เซ็ง


สุดท้ายฃก็ไม่รู้อยู่ดีว่าห้องนั้นมีอะไรผิดแปลกไปจากห้องอื่น ๆ (เพราะห้องอื่นไม่เจอ) พวกเราได้แต่คิดว่าเราเองก็คงไม่อยากจะรู้เท่าไหร่ว่าจริง ๆ มีอะไรเกิดขึ้นในห้องนั้น แต่พวกเราก็ไม่ลืมที่จะบอกในใจว่า



“ไม่ต้องตามมานะ” เพราะกลัวเขาจะขอติดไปด้วยนั่นเอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ