ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สยองขวัญชั้นที่ 16


ผมกราดไฟฉายในมือไปตามซอกมุมที่มืดสนิท ตามหลังเสาคอนกรีตขนาดใหญ่แบบสี่เหลี่ยม ที่เรียงรายเป็นแนวไปจนสุดตึก ของลานจอดรถชั้นที่ 14ช่วงเวลา 5 ทุ่มครึ่งแบบนี้ไม่มีรถจอดอยู่เลยสักคัน มันเหมือนตึกร้างชัดๆ มีเพียงแสงไฟจากนีออนที่ติดให้ความสว่างอยู่เป็นช่วงๆ ความยาวของลานจอดรถในแต่ละชั้น ประมาณ 300 เมตร

ทั้งลานจอดรถเงียบสงบและว่างเปล่า อาจเรียกได้ว่าทั้งชั้นที่ 14 นี้ มีเพียงผมที่เป็นสิ่งมีชีวิตเดินอยู่ในขณะนี้ ผมได้รับคำสั่งด่วนจากหัวหน้าสายงาน ให้มาเข้าเวรแทนเพื่อนยาม ที่ทำงานอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวไม่ทันได้ตั้งตัว และคืนนี้ก็เป็นคืนแรกที่ผมได้เข้าเวรแทนยามคนเก่าที่ลาป่วยกะทันหัน ผมมีหน้าที่เดินตรวจรับผิดชอบลานจอดรถ ตั้งแต่ชั้นที่ 13 ขึ้นมาตึกลานจอดรถหลังนี้มีทั้งหมด 18 ชั้น มียาม 3 คน รับผิดชอบคนละ 6 ชั้น ตึกลานจอดรถนี้อยู่หลังตึกใหญ่ที่ใช้เป็นอาคารสำนักงานราว 100 กว่าบริษัท โดยมีสะพานเชื่อมต่อเดินไปตึกหน้าได้ทุกๆ 5 ชั้น ซึ่งมันคงจะผิดกับยามเช้าจรดเย็น ที่ทั้งลานตึกคงจะเต็มไปด้วยรถและผู้คน แต่ในยามนี้ทุกสิ่งกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

เสียงรองเท้าหนังคอมแบตของผมที่เดินอยู่ในลานจอดรถ ดังก้องจนได้ยินชัดเจน ผมถอนใจยาวอย่างเบื่อหน่ายที่ต้องมาเดินเฝ้าลานจอดรถว่างเปล่านี้ จนเดินมาถึงสุดทางเดินก็เดินขึ้นทางลาดเพื่อขึ้นสู่ชั้นที่ 15 ซึ่งก็คงจะเหมือนๆ กับชั้น 13-14 ที่ผมเดินผ่านมาแล้วเมื่อผมขึ้นมาถึงชั้นที่ 15 มองไปสุดทางเดินซึ่งมืดเป็นช่วงๆ ที่แสงไฟนีออนส่องไปไม่ถึง เกือบสุดทางเดินของชั้นนี้ ผมเห็นมีไฟนีออนที่ติดเพดานมีแสงไฟดับๆ ติดๆ อยู่ดวงหนึ่ง ผมจิ๊กปากพร้อมส่ายหัวอย่างเบื่อหน่าย บ่นกับตัวเองงเบาๆ "นี่มันจะให้เรามาเดินเฝ้าอะไรวะ ตลอดทั้งตึกนี้รถก็ไม่มีสักคัน หรือกลัวโดนขโมยหลอดไฟนีออนวะนี่"

แม้จะเบื่อแต่มันก็เป็นคำสั่ง และเป็นหน้าที่อาชีพของยาม หรือ ร.ป.ภ. แบบผมนี้ ผมออกเดินส่องไฟฉายในมือ กราดแสงส่องสลับขวาทีซ้ายทีไปเรื่อยๆ แบบเซ็งๆ รอบๆ ตึกก็เป็นสวนผสมเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะตึกนี้ตั้งอยู่แถบชานเมือง ซึ่งผิดกับตึกในใจกลางกรุงเทพฯที่รอบๆ ตึกยังพอมีแสงสีให้เห็นบ้างแม้จะดึกสงัด ผิดกับตึกหลังนี้ลิบลับทั้งไกลจากตัวเมือง และยังอยู่ห่างจากทางด่วนยกระดับ ที่ทอดตัวอยู่ห่างออกไปเกือบ 2 กิโล มองเห็นยาวสุดสายตาไกลออกไปจนผมเดินตรวจมาถึงช่วงกลางลานจอดรถ จึงได้ยินเสียงดังหึ่งๆ เบาๆ เมื่อมองดูจึงเห็นผีเสื้อกลางคืนตัวหนึ่ง บินเล่นไฟนีออนอยู่เสียงปีกของมันดีดตีหลอดนีออนดังหึ่งๆ เบาๆ แต่ชัดเจนในความเงียบสงัดนี้ ผมยืนมองดูเจ้าผีเสื้อกลางคืนบินเล่นไฟอยู่เพลินๆ เสียงเครื่องวิทยุสื่อสารที่ผมถืออยู่ในมือซ้ายก็ดังขึ้น จนผมสะดุ้งสุดตัว อ่านต่อ ตอน2..

ตอน 2 !!!
"หมายเลข 3 ตอนนี้อยู่ชั้นไหน...เปลี่ยน"ผมเป่าลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมทั้งจิ๊กปากเบาๆ อย่างหัวเสียเล็กน้อย แต่ก็พูดตอบไปว่า"ผมอยู่ที่ชั้น 15 ครับ...เปลี่ยน...มีอะไรหรือเปล่า...เปลี่ยน"เสียงเรียกมาเงียบไปสักครู่ จนผมต้องกดปุ่มถามย้ำไปอีกครั้ง เสียงหัวหน้าสายงานจึงตอบกลับมาว่า"ชั้นที่ 16 เดินผ่านไปเลยก็ได้...เปลี่ยน...ถ้าไม่มีอะไร...ไปดูชั้น 17-18 เลยก็ได้...เปลี่ยน"คำสั่งนี้ทำเอาผมฟังแปลกๆ ทำไมไม่ต้องเดินตรวจชั้นที่ 16 ก็ได้ แต่ชั้นที่ 17 กับ 18 กลับสั่งให้ผมเดินตรวจไปตามปกติ แต่ผมก็ไม่ได้พูดหรือซักถามอะไร กดปุ่มพูดรับทราบจากนั้นก็เดินต่อไปจนสุดทางเดินตึก ก็ถึงทางลาดขึ้นสู่ชั้นที่ 16 ซึ่งต้องแปลกใจที่ชั้น 16 นั้นมืดสนิท ผมกราดไฟฉายขึ้นไปดู ทั้งชั้นของลานจอดรถชั้นที่ 16 มืดสนิท เพราะตลอดเส้นทางไม่มีไฟนีออนติดให้ความสว่างอยู่เลยแม้แต่ดวงเดียว ผมยืนมองไปตามแนวยาวของลานจอดรถที่มืดมิดนั้น มองเห็นเสาที่เรียงรายไปตาม 2 ฝั่งของลานจอดรถ ไกลออกไปในความมืด มีเพียงแสงดาวที่สาดส่องเข้ามาบ้าง ที่พอช่วยให้เห็นอะไรๆ ได้เลือนราง

"มิน่า...อย่างนี้เองที่บอกว่าไม่ต้องเดินตรวจชั้นนี้ก็ได้ มันมืดเพราะไม่มีไฟอย่างนี้เอง"ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ขยับตัวจะเดินขึ้นชั้นที่ 17 ต่อไป แต่มือก็ยังส่องไฟฉายที่พุ่งเป็นลำ กราดไปตามเสาด้านขวาที่ไกลออกไปราว 5-6 ต้น ผมต้องชะงักกึก เมื่อแสงไฟฉายวาดกวาดผ่านร่างหนึ่ง ที่หลบแว่บเมื่อแสงไฟฉายกราดผ่านไป จนผมต้องขยับมือกราดแสงไฟฉายกลับไปที่เสาต้นนั้น ซึ่งร่างลึกลับนั้นหลบวูบเข้าไปผมค่อยๆ ขยับหันหน้ามองอย่างจริงจัง มองตามวงแสงไฟฉายที่จับอยู่ที่เสาต้นนั้นนิ่งไว้ และพยายามเพ่งสายตามองฝ่าความมืดไปด้วย เพราะห่างจากแสงไฟฉายออกไป ก็แทบจะไม่เห็นอะไรอีกนอกจากภาพเลือนรางเท่านั้น"ใครน่ะ...ใครอยู่ตรงนั้น...ขึ้นมาทำอะไรบนนี้...ออกมา"ผมตะโกนออกไป จนเสียงของผมสะท้อนก้องไปทั้งชั้น และค่อยๆ สืบเท้าช้าๆ เข้าไป ไม่แน่ใจว่าคนที่แอบนิ่งอยู่หลังเสาต้นนั้น จะมีอาวุธอย่างมีดกับปืนหรือเปล่า เพราะที่ตัวผมมีเพียงกระบองไม้อันเดียว ที่ห้อยติดอยู่ในปลอกหนังข้างเอวซึ่งตอนนี้ผมดึงขึ้นมาถือมันไว้ในมือขวา ส่วนมือซ้ายกลับมาถือไฟฉายแทน และนำวิทยุสื่อสารเหน็บเข้าที่เอวแบบเตรียมพร้อมผมยังคงส่องจี้ไฟฉายอยู่ตรงนั้น

ไม่เปลี่ยนที่ เดินชิดซ้ายให้ห่างจากด้านขวาที่เสาเป้าหมายนั้นตั้งอยู่ ผมเดินช้าๆ จนใกล้มาถึงเสาที่อยู่ตรงข้ามกับเสาต้นนั้น ผมจึงเดินหลบเสาต้นที่ตรงกับเสาต้นนั้นอ้อมพรวดออกมาส่องไฟไปที่หลังเสาต้นนั้นกลับว่างเปล่า ผมค่อยๆ ฉายกราดแสงไฟรอบๆ บริเวณนั้น แต่ก็ไม่มีสิ่งใดแม้แต่แมวสักตัว ผมเดินเข้าไปที่เสาต้นนั้นส่องไฟฉายดูให้มั่นใจ ผมถอนใจ

อย่างโล่งอกบ่นเบาๆ "ตาฝาดไปเองแหงๆ เลยเรา"และไหนๆ ก็เดินมาถึงตรงนี้แล้ว อันเป็นจุดที่เกือบจะกลางทางลานจอดรถแล้ว ก็เดินไปให้สุดเสียเลยก็แล้วกันเมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงเดินต่อไป เสียงสะท้อนจากเท้าของผมที่เดินแต่ละก้าวดังกึกๆ สะท้อนชัดเจนเพราะผมใส่แผ่นเหล็กสำหรับกันรองเท้าสึก ไว้ที่สันรองเท้าทั้ง 2 ข้างของผมแต่มีบางจังหวะที่ผมรู้สึกว่ามันแปลกไปผมเดินไป 3 ก้าว เสียงก็ควรจะดัง 3 ครั้งตามจังหวะพอดีที่ผมเดินแต่ผมกลับรู้สึกได้ยินเหมือนกับว่า เสียงย่ำเดินของผมมันดันดังเกินไปผมจึงลองเดินใหม่ โดยเดินออกไป 4 ก้าวติดๆ กัน เสียงสุดท้ายคือเสียงที่ 4 ซึ่งควรเป็นเช่นนั้น แต่นี่มันกลับมีเสียงกึกๆ เกินมาถึง 2 ครั้ง ผมใจวูบ ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว กลั้นใจค่อยๆ หันไปด้านหลัง ส่องกราดแสงไฟฉายไปที่ด้านหลังทั่วๆ แต่ทุกอย่างว่าเปล่า และเงียบสงัดจนหูแทบอื้อผมค่อยๆ ขยับตัวเองเดินถอยหลังช้าๆ อย่างไม่ไว้ใจ พอเท้าก้าวเดินออกไปได้ 2-3 ก้าว เสียงเกินนั้นคราวนี้ดังเกินมาหลายครั้งราวกับใครเอาช้อนกินข้าวที่ทำจากสแตนเลสมาตีกันถี่ๆ อ่านต่อ ตอนจบ..

ตอนจบ !!
ในตอนนี้ผมมาหยุดเดินอยู่ตรงกึ่งกลางของลานจอดรถพอดี ทั้งหน้าหลังเป็นทางยาวที่หายเข้าไปในความมืดราวกับไม่มีทางสิ้นสุด และไม่ว่าจะคิดไปทางงด้านไหนก็รู้สึกว่ามันเหมือนจะไกลออกไปราว 10 กิโลเมตรผมรู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นในใจ และทำให้เท้าทั้ง 2 ข้างของผมนั้น นักราวกับถูกถ่วงด้วยหิน ในใจผมนั้นไม่อยากที่จะเดินเสียด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะหันเดินไปทางไหน ผมก็คิดว่ามันน่ากลัวทั้ง 2 ทาง มันเหมือนติดกับที่ถูกวางเอาไว้ เพราะลานจอดรถที่นี่เป็นทางยาวตลอด ไม่มีทางช่วงกลางให้รถขึ้นลงได้ อย่างตึกอื่นๆ ที่ผมเคยพบเห็นมาไฟนีออนที่ดับทั้งชั้นทำให้ทั้งช่วงเสาและทางวิ่งรถมืดราวขุมนรก แม้จะอยู่ถึงชั้นที่ 16 แต่ไม่มีลมพัดเข้ามาถูกตัวผมเลยแม้แต่นิดเดียว ผมรู้สึกร้อนอ้าว จนเหงื่อไหลทั้งหน้าและทั้งตัว แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่า นั่นเป็นเหงื่อที่เกิดจากความร้อนของบรรยากาศหรือว่ามันเกิดจากความกลัวของผมกันแน่ผมค่อยๆ ใช้ไฟฉายกราดไปทั่วๆ ทุกมุมที่จะผ่านไป มือขวาที่กำกระบองไม้ไว้แน่นนั้น ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนรู้สึกได้ ผมรีบหันกราดไฟฉายกลับหลัง เมื่อได้ยินเสียงผิดปกติมาจากทางด้านหลังมันเป็นเสียงเหมือนคนเอาเหล็กแหลมๆ หลายๆ อันทิ่มพื้นหรือผนังดังถี่ๆ พอผมฉายไฟไปตามทิศทางนั้นเสียงนั้นก็หยุดไปในทันที แต่พอผมขยับเดิน เสียงนั้นก็ดังตามหลังมาเรื่อยๆ มันดังก้องไปทั้งชั้น ดังเข้าไปที่ในหัวใจของผมด้วย

ผมเดินถอยหลังช้าๆ เพื่อจะดูว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นอะไร และจะดังอีกไหม ผมเดินหันหลังดูมันอยู่อย่างนี้แต่พอผมขยับขาเดินถอยหลังไป 3-4 ก้าว เสียงนั้นก็ดังตามมาติดๆ ผมหยุดกราดแสงไฟฉายไปทั่วลานทั้งกลับไปกลับมา แต่ทุกอย่างทั้งบริเวณก็ไร้วี่แววสิ่งใดแต่แว่บหนึ่งผมเห็นบางอย่างห้อยลงมาจากเพดานปูนตรงกลาง ในชั้นแรกที่ผมไม่เห็นนั้น เพราะผมมัวแต่ส่องทางพื้นราบ แต่ช่วงหนึ่งที่ขอบแสงไฟฉายกราดสูงขึ้น จึงเห็นบางอย่างห้อยลงมาผมตัวแข็งไม่กล้าแม้จะยกไฟฉายขึ้นส่อง แต่จากสายตาผมเริ่มชินกับความมืดมากขึ้น ทำให้เห็นรางๆ ว่าสิ่งที่ห้อยลงมานั้น เป็นเส้นที่พลิ้วไหวได้และดูยังไงผมก็ดูออกว่า นั่นต้องเป็นเส้นผมของคน และความยาวแบบนั้นต้องเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน แต่จะมีผู้หญิงแบบไหนที่ขึ้นไปติดอยู่บนเพดานแบบนั้นได้ผมเพ่งสายตามองขึ้นไปเห็นเป็นรูปร่างตะคุ่มๆ ในความมืดสลัวนั้น มันเหมือนร่างนั้นนอนราบคว่ำอยู่กับพื้น แต่มันเป็นพื้นบนเพดานราวกับแมงมุมยักษ์ที่เกาะเพดานอยู่ยังไงยังงั้น มีเพียงส่วนผมที่ห้อยลงมาเท่านั้นความกลัวทำให้ผมเดินถอยหลังอย่างลืมตัวไปด้านหลัง 2-3 ก้าว ส่วนสายตาของผมก็จับนิ่งอยู่ที่ร่าง ที่ติดหนึบนิ่งอยู่บนเพดานนั้นเขม็ง

และคุณพระคุณเจ้าช่วยร่างนั้นขยับคลานมากับเพดาน ราวกับคลานบนพื้นด้านล่างธรรมดาๆ ตามมาด้วยเสียงที่เหมือนเหล็กแหลมแทงพื้นหรือผนัง ก็ดังมาจากร่างบนเพดานนั่นเอง มันเป็นเสียงที่เกิดจากเล็บปลายนิ้ว ที่คงแหลมคมจิกพื้นเพดานคืบคลานมานั่นเองแต่พอผมหยุด ร่างนั้นก็หยุดด้วย และนิ่งงอยู่อย่างนั้นแต่หากว่าถ้าผมหันหลังและออกวิ่งสุดฝีเท้าล่ะ ผมไม่กล้าคิด ผมถอยหลังมาเรื่อยๆ ช้าๆ ร่างนั้นบนเพดานก็คลานตามมาช้าๆ เช่นเดียวกัน พร้อมๆ กับเสียงแก๊กๆ นั่นด้วยมันนานราวเป็นชั่วโมงหรือาจกว่านั้น จนผมถอยมาอีกไม่เกิน 2 ก้าว หลังผมจะติดผนังสุดทางลานจอดรถผมจึงหยุดและตัดสินใจเด็ดขาด ยกไฟฉายในมือขึ้นส่องไปที่ร่างบนเพดานนั้นแบบเต็มๆและภาพนั้นทำให้ผมผงะถอยหลัง ล้มลงก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น เพราะบนเพดานนั้นเป็นร่างของผู้หญิงในชุดนอนสีขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือด ใบหน้านั้นเน่าเฟะ เนื้อหนังหลุดห้อยจนเห็นกระดูกหน้าขาวบางส่วน แต่ดวงตากลับยุบหายโบ๋เข้าไปทั้งสองข้าง อ้าปากส่งกลิ่นเหม็นเน่าตลบไปทั่วและคืบคลานเข้ามาหาผม พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบๆ ก้องไปทั้งชั้นที่ 16

ผมหลับตาเมื่อเห็นใบหน้าเน่าเฟะนั้น ยื่นใกล้ลงมาที่ผม และสติของผมก็ดับวูบลงแค่นั้นด้วยความหวาดกลัวสุดขีดผมมาตื่นขึ้นที่ห้องพักยามชั้น 1A และได้รับรู้ความจริงว่า ชั้นที่ 16 นั้นเคยมีการฆ่ากันตาย โดยสามีของผู้หญิงเองพาเมียตัวเองขึ้นมาฆ่าทิ้งบนชั้นที่ 16 นี้เมื่อปีที่แล้ว หลายคนเจอดีแบบผมมาแล้วเช่นกันครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คืนบวงสรวง มหาวิทยาลัยพะเยา

เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาในหลายเรื่อง หลายวาระ แต่ละปีก็จะมีเหตุการณ์ที่แตกต่างกันออกไปบ้าง เสริมจากเรื่องที่เคยได้ยินมาบ้าง เรื่องที่เพื่อนๆ จะได้อ่านกันต่อไปนี้ ต้องขอบอกก่อนว่า “เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม” เราได้รวบรวมมา จากหลายๆ ที่ จะหลอนขนาดไหน ไปสั่นประสาทกันเลย เรื่องมีอยู่ว่า ที่มอเราจะมี 1 คืนที่ต้องเก็บของสีแดงทุกชิ้นเก็บไว้ให้มิดชิด เพราะเชื่อกันว่า คืนนั้นจะเป็นคืนที่กองทัพของพระนเรศวรออกมาเดินผ่านบริเวณหอใน รุ่นพี่ก็เล่าๆ สู่กันฟังบ้างว่าเคยเจอ บ้างก็ว่าเห็นเป็นกองทัพ บ้างก็ว่าได้ยินแต่เสียงคนเดินหลายๆ คนพอออกมาดูก็ไม่เจออะไร จริงๆแล้วเราไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้ เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องเล่าหลอกให้เด็กปี 1 กลัว แต่เมทเราบอกว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เราเลยจำเป็นต้องเก็บเสื้อผ้า เปลี่ยนผ้าปูที่นอน (เพราะเป็นสีแดง) และเก็บกล่องห่อข้าวของเราที่เป็นสีแดงมาจากหลังห้อง พอตะวันตกดินความน่ากลัวมันก็เริ่มขึ้น ปกติแล้วที่หอในจะคึกคักมาก โดยเฉพาะหน้ามินิมาร์ทและลานดาว ที่มักจะมีคู่รักมานั่งคุยกัน มีเพื่อนๆ พี่ๆ ที่มานั่งเล่น หรือคนที่ออกมาซื้อข้าวของเครื่อ...

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ...

โรงหนังผีย่านสมุทรปราการ

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงภาพยนต์แห่งนึงในจังหวัดสมุทรปราการ และเหตุการณ์นี้พึงจะเกิดขึ้นกับคุณโอ๋แบบสดๆร้อนๆ โรงหนังแห่งนี้ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสี่ถึงห้าปีที่แล้ว คนจะเยอะมาก แต่ปัจจุบันโรงหนังแห่งนี้ดูเล็กลงไปเยอะ ถ้าเทียบกับที่อื่นๆในปัจจุบัน จนตอนกลางวันแทบนับคนได้เลย แต่ด้วยความที่คุณโอ๋เป็นคนไม่ค่อยได้ดูหนังอยู่แล้ว พอดีคุณโอ๋ไปบ้านเพื่อน แล้วอยากดูหนังเรื่องนี้อยู่พอดี เพราะเพื่อนเล่าให้ฟัง คุณโอ๋จึงได้เข้าไปซื้อตั๋ว และตั้งใจว่าจะดูก่อนรอบสุดท้าย แต่มันเลยเวลามาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว เลยได้ซื้อตั๋วดูรอบสุดท้ายแทน ประมาณสี่ทุ่ม...คนน้อยมาก คุณโอ๋เลือกนั่งแถวหลังสุด ที่นั่งห้าเอ ก่อนหนังฉายคุณโอ๋ได้เดินเข้าห้องน้ำก่อน ห้องน้ำเก่าและน่ากลัวมาก ใหญ่พอสมควรแต่ไม่มีคนเลย คุณโอ๋เลือกเข้าห้องตรงกลาง พอคุณโอ๋เสร็จกิจและเปิดประตูออกมา พอจะหวังที่กำลังเปิดประตู คุณโอ๋ได้ยินเสียงกดชักโครกของห้องข้างๆ ซึ่งตอนที่คุณโอ๋เดินเข้ามา ทุกห้องจะเปิดประตูหมดและไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลย คุณโอ๋พยายามไม่ใส่ใจ และเดินออกไปซื้อขนม และกลับเข้ามานั่งที่นั่ง มีคนดูน้อยมาก แถวที่คุณโอ๋นั่งจะไม่มีคนนั่งเ...