ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สยองขวัญชั้นที่ 16


ผมกราดไฟฉายในมือไปตามซอกมุมที่มืดสนิท ตามหลังเสาคอนกรีตขนาดใหญ่แบบสี่เหลี่ยม ที่เรียงรายเป็นแนวไปจนสุดตึก ของลานจอดรถชั้นที่ 14ช่วงเวลา 5 ทุ่มครึ่งแบบนี้ไม่มีรถจอดอยู่เลยสักคัน มันเหมือนตึกร้างชัดๆ มีเพียงแสงไฟจากนีออนที่ติดให้ความสว่างอยู่เป็นช่วงๆ ความยาวของลานจอดรถในแต่ละชั้น ประมาณ 300 เมตร

ทั้งลานจอดรถเงียบสงบและว่างเปล่า อาจเรียกได้ว่าทั้งชั้นที่ 14 นี้ มีเพียงผมที่เป็นสิ่งมีชีวิตเดินอยู่ในขณะนี้ ผมได้รับคำสั่งด่วนจากหัวหน้าสายงาน ให้มาเข้าเวรแทนเพื่อนยาม ที่ทำงานอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวไม่ทันได้ตั้งตัว และคืนนี้ก็เป็นคืนแรกที่ผมได้เข้าเวรแทนยามคนเก่าที่ลาป่วยกะทันหัน ผมมีหน้าที่เดินตรวจรับผิดชอบลานจอดรถ ตั้งแต่ชั้นที่ 13 ขึ้นมาตึกลานจอดรถหลังนี้มีทั้งหมด 18 ชั้น มียาม 3 คน รับผิดชอบคนละ 6 ชั้น ตึกลานจอดรถนี้อยู่หลังตึกใหญ่ที่ใช้เป็นอาคารสำนักงานราว 100 กว่าบริษัท โดยมีสะพานเชื่อมต่อเดินไปตึกหน้าได้ทุกๆ 5 ชั้น ซึ่งมันคงจะผิดกับยามเช้าจรดเย็น ที่ทั้งลานตึกคงจะเต็มไปด้วยรถและผู้คน แต่ในยามนี้ทุกสิ่งกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

เสียงรองเท้าหนังคอมแบตของผมที่เดินอยู่ในลานจอดรถ ดังก้องจนได้ยินชัดเจน ผมถอนใจยาวอย่างเบื่อหน่ายที่ต้องมาเดินเฝ้าลานจอดรถว่างเปล่านี้ จนเดินมาถึงสุดทางเดินก็เดินขึ้นทางลาดเพื่อขึ้นสู่ชั้นที่ 15 ซึ่งก็คงจะเหมือนๆ กับชั้น 13-14 ที่ผมเดินผ่านมาแล้วเมื่อผมขึ้นมาถึงชั้นที่ 15 มองไปสุดทางเดินซึ่งมืดเป็นช่วงๆ ที่แสงไฟนีออนส่องไปไม่ถึง เกือบสุดทางเดินของชั้นนี้ ผมเห็นมีไฟนีออนที่ติดเพดานมีแสงไฟดับๆ ติดๆ อยู่ดวงหนึ่ง ผมจิ๊กปากพร้อมส่ายหัวอย่างเบื่อหน่าย บ่นกับตัวเองงเบาๆ "นี่มันจะให้เรามาเดินเฝ้าอะไรวะ ตลอดทั้งตึกนี้รถก็ไม่มีสักคัน หรือกลัวโดนขโมยหลอดไฟนีออนวะนี่"

แม้จะเบื่อแต่มันก็เป็นคำสั่ง และเป็นหน้าที่อาชีพของยาม หรือ ร.ป.ภ. แบบผมนี้ ผมออกเดินส่องไฟฉายในมือ กราดแสงส่องสลับขวาทีซ้ายทีไปเรื่อยๆ แบบเซ็งๆ รอบๆ ตึกก็เป็นสวนผสมเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะตึกนี้ตั้งอยู่แถบชานเมือง ซึ่งผิดกับตึกในใจกลางกรุงเทพฯที่รอบๆ ตึกยังพอมีแสงสีให้เห็นบ้างแม้จะดึกสงัด ผิดกับตึกหลังนี้ลิบลับทั้งไกลจากตัวเมือง และยังอยู่ห่างจากทางด่วนยกระดับ ที่ทอดตัวอยู่ห่างออกไปเกือบ 2 กิโล มองเห็นยาวสุดสายตาไกลออกไปจนผมเดินตรวจมาถึงช่วงกลางลานจอดรถ จึงได้ยินเสียงดังหึ่งๆ เบาๆ เมื่อมองดูจึงเห็นผีเสื้อกลางคืนตัวหนึ่ง บินเล่นไฟนีออนอยู่เสียงปีกของมันดีดตีหลอดนีออนดังหึ่งๆ เบาๆ แต่ชัดเจนในความเงียบสงัดนี้ ผมยืนมองดูเจ้าผีเสื้อกลางคืนบินเล่นไฟอยู่เพลินๆ เสียงเครื่องวิทยุสื่อสารที่ผมถืออยู่ในมือซ้ายก็ดังขึ้น จนผมสะดุ้งสุดตัว อ่านต่อ ตอน2..

ตอน 2 !!!
"หมายเลข 3 ตอนนี้อยู่ชั้นไหน...เปลี่ยน"ผมเป่าลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมทั้งจิ๊กปากเบาๆ อย่างหัวเสียเล็กน้อย แต่ก็พูดตอบไปว่า"ผมอยู่ที่ชั้น 15 ครับ...เปลี่ยน...มีอะไรหรือเปล่า...เปลี่ยน"เสียงเรียกมาเงียบไปสักครู่ จนผมต้องกดปุ่มถามย้ำไปอีกครั้ง เสียงหัวหน้าสายงานจึงตอบกลับมาว่า"ชั้นที่ 16 เดินผ่านไปเลยก็ได้...เปลี่ยน...ถ้าไม่มีอะไร...ไปดูชั้น 17-18 เลยก็ได้...เปลี่ยน"คำสั่งนี้ทำเอาผมฟังแปลกๆ ทำไมไม่ต้องเดินตรวจชั้นที่ 16 ก็ได้ แต่ชั้นที่ 17 กับ 18 กลับสั่งให้ผมเดินตรวจไปตามปกติ แต่ผมก็ไม่ได้พูดหรือซักถามอะไร กดปุ่มพูดรับทราบจากนั้นก็เดินต่อไปจนสุดทางเดินตึก ก็ถึงทางลาดขึ้นสู่ชั้นที่ 16 ซึ่งต้องแปลกใจที่ชั้น 16 นั้นมืดสนิท ผมกราดไฟฉายขึ้นไปดู ทั้งชั้นของลานจอดรถชั้นที่ 16 มืดสนิท เพราะตลอดเส้นทางไม่มีไฟนีออนติดให้ความสว่างอยู่เลยแม้แต่ดวงเดียว ผมยืนมองไปตามแนวยาวของลานจอดรถที่มืดมิดนั้น มองเห็นเสาที่เรียงรายไปตาม 2 ฝั่งของลานจอดรถ ไกลออกไปในความมืด มีเพียงแสงดาวที่สาดส่องเข้ามาบ้าง ที่พอช่วยให้เห็นอะไรๆ ได้เลือนราง

"มิน่า...อย่างนี้เองที่บอกว่าไม่ต้องเดินตรวจชั้นนี้ก็ได้ มันมืดเพราะไม่มีไฟอย่างนี้เอง"ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ขยับตัวจะเดินขึ้นชั้นที่ 17 ต่อไป แต่มือก็ยังส่องไฟฉายที่พุ่งเป็นลำ กราดไปตามเสาด้านขวาที่ไกลออกไปราว 5-6 ต้น ผมต้องชะงักกึก เมื่อแสงไฟฉายวาดกวาดผ่านร่างหนึ่ง ที่หลบแว่บเมื่อแสงไฟฉายกราดผ่านไป จนผมต้องขยับมือกราดแสงไฟฉายกลับไปที่เสาต้นนั้น ซึ่งร่างลึกลับนั้นหลบวูบเข้าไปผมค่อยๆ ขยับหันหน้ามองอย่างจริงจัง มองตามวงแสงไฟฉายที่จับอยู่ที่เสาต้นนั้นนิ่งไว้ และพยายามเพ่งสายตามองฝ่าความมืดไปด้วย เพราะห่างจากแสงไฟฉายออกไป ก็แทบจะไม่เห็นอะไรอีกนอกจากภาพเลือนรางเท่านั้น"ใครน่ะ...ใครอยู่ตรงนั้น...ขึ้นมาทำอะไรบนนี้...ออกมา"ผมตะโกนออกไป จนเสียงของผมสะท้อนก้องไปทั้งชั้น และค่อยๆ สืบเท้าช้าๆ เข้าไป ไม่แน่ใจว่าคนที่แอบนิ่งอยู่หลังเสาต้นนั้น จะมีอาวุธอย่างมีดกับปืนหรือเปล่า เพราะที่ตัวผมมีเพียงกระบองไม้อันเดียว ที่ห้อยติดอยู่ในปลอกหนังข้างเอวซึ่งตอนนี้ผมดึงขึ้นมาถือมันไว้ในมือขวา ส่วนมือซ้ายกลับมาถือไฟฉายแทน และนำวิทยุสื่อสารเหน็บเข้าที่เอวแบบเตรียมพร้อมผมยังคงส่องจี้ไฟฉายอยู่ตรงนั้น

ไม่เปลี่ยนที่ เดินชิดซ้ายให้ห่างจากด้านขวาที่เสาเป้าหมายนั้นตั้งอยู่ ผมเดินช้าๆ จนใกล้มาถึงเสาที่อยู่ตรงข้ามกับเสาต้นนั้น ผมจึงเดินหลบเสาต้นที่ตรงกับเสาต้นนั้นอ้อมพรวดออกมาส่องไฟไปที่หลังเสาต้นนั้นกลับว่างเปล่า ผมค่อยๆ ฉายกราดแสงไฟรอบๆ บริเวณนั้น แต่ก็ไม่มีสิ่งใดแม้แต่แมวสักตัว ผมเดินเข้าไปที่เสาต้นนั้นส่องไฟฉายดูให้มั่นใจ ผมถอนใจ

อย่างโล่งอกบ่นเบาๆ "ตาฝาดไปเองแหงๆ เลยเรา"และไหนๆ ก็เดินมาถึงตรงนี้แล้ว อันเป็นจุดที่เกือบจะกลางทางลานจอดรถแล้ว ก็เดินไปให้สุดเสียเลยก็แล้วกันเมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงเดินต่อไป เสียงสะท้อนจากเท้าของผมที่เดินแต่ละก้าวดังกึกๆ สะท้อนชัดเจนเพราะผมใส่แผ่นเหล็กสำหรับกันรองเท้าสึก ไว้ที่สันรองเท้าทั้ง 2 ข้างของผมแต่มีบางจังหวะที่ผมรู้สึกว่ามันแปลกไปผมเดินไป 3 ก้าว เสียงก็ควรจะดัง 3 ครั้งตามจังหวะพอดีที่ผมเดินแต่ผมกลับรู้สึกได้ยินเหมือนกับว่า เสียงย่ำเดินของผมมันดันดังเกินไปผมจึงลองเดินใหม่ โดยเดินออกไป 4 ก้าวติดๆ กัน เสียงสุดท้ายคือเสียงที่ 4 ซึ่งควรเป็นเช่นนั้น แต่นี่มันกลับมีเสียงกึกๆ เกินมาถึง 2 ครั้ง ผมใจวูบ ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว กลั้นใจค่อยๆ หันไปด้านหลัง ส่องกราดแสงไฟฉายไปที่ด้านหลังทั่วๆ แต่ทุกอย่างว่าเปล่า และเงียบสงัดจนหูแทบอื้อผมค่อยๆ ขยับตัวเองเดินถอยหลังช้าๆ อย่างไม่ไว้ใจ พอเท้าก้าวเดินออกไปได้ 2-3 ก้าว เสียงเกินนั้นคราวนี้ดังเกินมาหลายครั้งราวกับใครเอาช้อนกินข้าวที่ทำจากสแตนเลสมาตีกันถี่ๆ อ่านต่อ ตอนจบ..

ตอนจบ !!
ในตอนนี้ผมมาหยุดเดินอยู่ตรงกึ่งกลางของลานจอดรถพอดี ทั้งหน้าหลังเป็นทางยาวที่หายเข้าไปในความมืดราวกับไม่มีทางสิ้นสุด และไม่ว่าจะคิดไปทางงด้านไหนก็รู้สึกว่ามันเหมือนจะไกลออกไปราว 10 กิโลเมตรผมรู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นในใจ และทำให้เท้าทั้ง 2 ข้างของผมนั้น นักราวกับถูกถ่วงด้วยหิน ในใจผมนั้นไม่อยากที่จะเดินเสียด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะหันเดินไปทางไหน ผมก็คิดว่ามันน่ากลัวทั้ง 2 ทาง มันเหมือนติดกับที่ถูกวางเอาไว้ เพราะลานจอดรถที่นี่เป็นทางยาวตลอด ไม่มีทางช่วงกลางให้รถขึ้นลงได้ อย่างตึกอื่นๆ ที่ผมเคยพบเห็นมาไฟนีออนที่ดับทั้งชั้นทำให้ทั้งช่วงเสาและทางวิ่งรถมืดราวขุมนรก แม้จะอยู่ถึงชั้นที่ 16 แต่ไม่มีลมพัดเข้ามาถูกตัวผมเลยแม้แต่นิดเดียว ผมรู้สึกร้อนอ้าว จนเหงื่อไหลทั้งหน้าและทั้งตัว แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่า นั่นเป็นเหงื่อที่เกิดจากความร้อนของบรรยากาศหรือว่ามันเกิดจากความกลัวของผมกันแน่ผมค่อยๆ ใช้ไฟฉายกราดไปทั่วๆ ทุกมุมที่จะผ่านไป มือขวาที่กำกระบองไม้ไว้แน่นนั้น ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนรู้สึกได้ ผมรีบหันกราดไฟฉายกลับหลัง เมื่อได้ยินเสียงผิดปกติมาจากทางด้านหลังมันเป็นเสียงเหมือนคนเอาเหล็กแหลมๆ หลายๆ อันทิ่มพื้นหรือผนังดังถี่ๆ พอผมฉายไฟไปตามทิศทางนั้นเสียงนั้นก็หยุดไปในทันที แต่พอผมขยับเดิน เสียงนั้นก็ดังตามหลังมาเรื่อยๆ มันดังก้องไปทั้งชั้น ดังเข้าไปที่ในหัวใจของผมด้วย

ผมเดินถอยหลังช้าๆ เพื่อจะดูว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นอะไร และจะดังอีกไหม ผมเดินหันหลังดูมันอยู่อย่างนี้แต่พอผมขยับขาเดินถอยหลังไป 3-4 ก้าว เสียงนั้นก็ดังตามมาติดๆ ผมหยุดกราดแสงไฟฉายไปทั่วลานทั้งกลับไปกลับมา แต่ทุกอย่างทั้งบริเวณก็ไร้วี่แววสิ่งใดแต่แว่บหนึ่งผมเห็นบางอย่างห้อยลงมาจากเพดานปูนตรงกลาง ในชั้นแรกที่ผมไม่เห็นนั้น เพราะผมมัวแต่ส่องทางพื้นราบ แต่ช่วงหนึ่งที่ขอบแสงไฟฉายกราดสูงขึ้น จึงเห็นบางอย่างห้อยลงมาผมตัวแข็งไม่กล้าแม้จะยกไฟฉายขึ้นส่อง แต่จากสายตาผมเริ่มชินกับความมืดมากขึ้น ทำให้เห็นรางๆ ว่าสิ่งที่ห้อยลงมานั้น เป็นเส้นที่พลิ้วไหวได้และดูยังไงผมก็ดูออกว่า นั่นต้องเป็นเส้นผมของคน และความยาวแบบนั้นต้องเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน แต่จะมีผู้หญิงแบบไหนที่ขึ้นไปติดอยู่บนเพดานแบบนั้นได้ผมเพ่งสายตามองขึ้นไปเห็นเป็นรูปร่างตะคุ่มๆ ในความมืดสลัวนั้น มันเหมือนร่างนั้นนอนราบคว่ำอยู่กับพื้น แต่มันเป็นพื้นบนเพดานราวกับแมงมุมยักษ์ที่เกาะเพดานอยู่ยังไงยังงั้น มีเพียงส่วนผมที่ห้อยลงมาเท่านั้นความกลัวทำให้ผมเดินถอยหลังอย่างลืมตัวไปด้านหลัง 2-3 ก้าว ส่วนสายตาของผมก็จับนิ่งอยู่ที่ร่าง ที่ติดหนึบนิ่งอยู่บนเพดานนั้นเขม็ง

และคุณพระคุณเจ้าช่วยร่างนั้นขยับคลานมากับเพดาน ราวกับคลานบนพื้นด้านล่างธรรมดาๆ ตามมาด้วยเสียงที่เหมือนเหล็กแหลมแทงพื้นหรือผนัง ก็ดังมาจากร่างบนเพดานนั่นเอง มันเป็นเสียงที่เกิดจากเล็บปลายนิ้ว ที่คงแหลมคมจิกพื้นเพดานคืบคลานมานั่นเองแต่พอผมหยุด ร่างนั้นก็หยุดด้วย และนิ่งงอยู่อย่างนั้นแต่หากว่าถ้าผมหันหลังและออกวิ่งสุดฝีเท้าล่ะ ผมไม่กล้าคิด ผมถอยหลังมาเรื่อยๆ ช้าๆ ร่างนั้นบนเพดานก็คลานตามมาช้าๆ เช่นเดียวกัน พร้อมๆ กับเสียงแก๊กๆ นั่นด้วยมันนานราวเป็นชั่วโมงหรือาจกว่านั้น จนผมถอยมาอีกไม่เกิน 2 ก้าว หลังผมจะติดผนังสุดทางลานจอดรถผมจึงหยุดและตัดสินใจเด็ดขาด ยกไฟฉายในมือขึ้นส่องไปที่ร่างบนเพดานนั้นแบบเต็มๆและภาพนั้นทำให้ผมผงะถอยหลัง ล้มลงก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น เพราะบนเพดานนั้นเป็นร่างของผู้หญิงในชุดนอนสีขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือด ใบหน้านั้นเน่าเฟะ เนื้อหนังหลุดห้อยจนเห็นกระดูกหน้าขาวบางส่วน แต่ดวงตากลับยุบหายโบ๋เข้าไปทั้งสองข้าง อ้าปากส่งกลิ่นเหม็นเน่าตลบไปทั่วและคืบคลานเข้ามาหาผม พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบๆ ก้องไปทั้งชั้นที่ 16

ผมหลับตาเมื่อเห็นใบหน้าเน่าเฟะนั้น ยื่นใกล้ลงมาที่ผม และสติของผมก็ดับวูบลงแค่นั้นด้วยความหวาดกลัวสุดขีดผมมาตื่นขึ้นที่ห้องพักยามชั้น 1A และได้รับรู้ความจริงว่า ชั้นที่ 16 นั้นเคยมีการฆ่ากันตาย โดยสามีของผู้หญิงเองพาเมียตัวเองขึ้นมาฆ่าทิ้งบนชั้นที่ 16 นี้เมื่อปีที่แล้ว หลายคนเจอดีแบบผมมาแล้วเช่นกันครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ