ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

410 ห้องนี้ปลิดวิญญาณ


คนเล่าเรื่องชื่อ คุณตูน มีอาชีพเป็นคนขับรถทัวร์มีน้องคนนึงที่สนิทกันเป็นเด็กรถชื่อ คุณแม๊ก ..
คือแม๊กเนื่ยอยู่ๆก็ผอมลงจากคนร่างกายกำยำ น้ำหนักประมาน65 ซูบลงไปจนเหลือน้ำหนักแค่ 48 เท่านั้น คุณตูนเลยทักว่าคุณแม๊กว่า "ผอมลงไปมากเลยนะเพลาๆหน่อยน้ำที่กินอ่ะผอมเหลือแต่แกนแล้ว" (ขออนุญาติหยาบนิดนึงนะคะ)

คุณแม๊กจึงตอบกลับมาว่า " ไม่ใช่พี่ ช่วงนี้ผมกำลังอินเลย ช่วงนี้กลับไปที่ห้องมีน้องในหอมาเรียกทุกวันเลย "คุณตูนก็ไม่ได้สนใจอะไรหลังจากนั้นเวลาคุณแม๊กได้ไปกับคุณตูนก็จะเล่าเรื่องของผู้หญิงคนนี้ให้ฟังมาตลอด ..คุณตูนมาเอะใจก็ตรงที่ว่า ผู้หญิงคนนี้เรียกแคุณแม๊กไปมีอะไรด้วยทุกคืนเลย แต่คุณแม๊กไม่สามารถบอกประวัติผู้หญิงคนนี้ได้ชัดเจนตื่นเช้ามาก็เป็นห้องสี่เหลี่ยมๆว่างๆ ธรรมดาคุณแม๊กคิดว่าผู้หญิงคงจะแอบพี่หรือญาติๆเค้ามาก็ได้ นอกจากนี้คุณตูนยังสังเกตุว่ามือและเท้าของคุณแม๊กเป็นสีม่วงคล้ำๆเหมือนลักษณะโบราณที่เชื่อกันว่า ถ้าคนมีเคราะห์เล็บมือจะเป้นสีม่วงคล้ำๆ จนวันนึงคุณตูนต้องเข้าไปอัดจาระบีที่ใต้ท้องรถทัวร์จึงฝากสร้อยหยกรัตนามณีที่ปลุกเสกมาแล้วกับเหรียญพ่อท่านเมืองให้คุณแม๊กใส่คอไว้พอใส่ไปครึ่งชั่วโมงคุณแม๊กเริ่มมีอาการร้อนรน กระวนกระวาย หนักคอ เร่งคุณตูนว่าเมื่อไหร่จะเสร็จสักที

คุณตูนรู้สึกว่าเริ่มจะเข้าข่ายแล้ว จนมาถึงวันอาสาฬหบูชาหลังจากเวียนเทียนคุณตูนได้จุดธูปไหว้พระ หลังจากนั้นได้หันไปเห็นขวดน้ำมนต์ของอาจารย์เชื่อมจึงคิดว่าจะลองเอาให้คุณแม๊กดื่มเลยเอาลูกอมพุทธคุณและลูกตะกั่วที่อาจารย์ให้ไว้แช่ลงในน้ำมนต์ด้วยจากนั้นก็ท่องบทบูชายอดพระไตรปิฎก
วันรุ่งขึ้นคุณตูนได้เอาน้ำมนต์ไปแช่น้ำแข็งไว้แล้วออกอุบายให้คุณแม๊กช่วยไล่สายลมพอดีกับวันนั้นอากาศร้อนหลังจากเหนื่อยได้ที่คุณแม๊กก็ขอน้ำจากคุณตูนกิน คุณตูนจึงหยิบขวดน้ำมนต์ขวดนั้นให้คุณแม๊กดื่ม ผ่านไป 10 นาทีคุณแม๊กก็อ้วกออกมาเป็นน้ำขาวๆ เหมือนน้ำนมและบ่นว่า มึนหัว ปวดหัว เหมือนจะเป็นลม ตอนเย็นคุณตูนจึงได้ถามคุณแม๊กว่านับถือหลวงพ่ออะไรมากที่สุด คุณแม๊กบอกว่า นับถือหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

คุณตูนเลยบอกว่า เดี๋ยวขออะไรสักอย่างนะ กลับไปคืนนี้ถ้าน้องผู้หญิงคนนั้นมาชวนแม๊กไปมีอะไรด้วยก่อนจะมีอะไรกันให้ตั้งสตินึกถึงพุทธคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บุญคุณพ่อแม่ แล้วท่องบทสวดบูชาหลวงปู่ทวด ลองสวดดูนะ คุณแม๊กก็รับปากแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป พอคืนนั้นประมานตี3 คุณแม๊กได้โทรหาคุณตูนบอกว่า พี่ตูนมาช่วยผมหน่อย มาให้เร็วเลย ผมโดนผีหลอก ผมจะแย่แล้ว แล้วสายโทรศัพท์ก็ตัดไป !! คุณตูนจึงรีบคว้าเครื่องรางของขลังของตัวเองติดมือไปชุดใหญ่ กะจะไปหาคูนแม๊กที่หอพักซึ่งคุณแม๊กพักอยู่ที่ชั้น 3 ห้อง313 จากนั้นคุณตูนได้แวะไปที่บริษัทชวนคุณเบลไปด้วย พอไปถึงที่แมนชั่นก็ไปเคาะประตูที่ห้องคุณแม๊กแล้วเรียกแต่ก็ไม่มีคนตอบ คุณตูนจึงตัดสินใจโทรหาคุณแม๊ก พอคุณแม๊กรับสาย คุณตูนก็ถามว่าคุณแม๊กอยู่ที่ไหน คุณแม๊กกตอบกลับมาอยู่ที่ห้อง คุณตูนจึงบอกว่า เนื่ยอยู่หน้าห้องเรียกไม่มีคนตอบเลย ตั้งสติแล้วคิดดีๆว่าอยู่ตรงไหน ..!

สักพักคุณแม๊กก็นึกออก บอกว่าอยู่ในห้อง 410 คุณตูนเลยหาบันไดจะขึ้นไปชั้น4ก็มีแต่บันไดไม้เก่าๆฝุ่นจับ แต่มีลูกกรงปิดทางขึ้นชั้น 4 อยู่โดยคล้องลูกกรงไว้ คุณตูนจึงโทรไปหาคนที่ดูแลแมนชั่นว่าให้มาที่แมนชั่นหน่อยเพื่อนติดอยู่ที่ชั้น 4 คนดูแลก็เถียงว่า เป็นไปไม่ได้ชั้น 4 ไม่มีคนอยู่เป็น10ปีแล้ว คุณตูนก็ขอร้องจนคนดูแลแมนชั่นยอมมาไขประตูลุกกรงให้ จากนั้นก็ไปเคาะที่ห้อง410 แล้วเรียกคุณแม๊ก ก็มีเสียงตอบคุณตูนจึงบอกให้เปิดประตู แต่คุณแม๊กบอกว่าเปิดไม่ได้ คุณตูนจึงให้คนที่ดูแลแมนชั่นลงไปเอากุญแจมาไขห้องให้ ได้กุญแจมาหนึ่งพวงประมาน 10 ดอกแต่ก็ไขไม่ออก คุณตูนจึงถามคนดูแลแมนชั่นว่า ใช่ดอกนี้รึเปล่า หยิบมาผิดรึเปล่า คนดูแลแมนชั่นจึงลงไปหยิบมาให้ใหม่เพราะคุณตูนบอกว่าถ้าเปิดไม่ออกจะถีบประตู คราวนี้ได้มาอีก 5 ดอกแต่ก็ไขไม่ได้เสียงของคุณแม๊กที่อยู่ในห้องก็เงียบไปทำให้คุณตูนยิ่งเป็นห่วง คุณตูนจึงคิดในใจว่า ขอให้ประตูมันเปิดเถอะ ถ้าไม่เปิดจะแช่งให้ไม่ได้ผุด ไม่ได้เกิด จากนั้นประตูก็เด้งเปิดออก !

คุณตูนจึงเอาสายสิญจ์มหาพิชัยพิชิตมารที่ใช้กันของ กันภูต ผี ปีศาจ มัดตัวคุณแม๊กและคุณตูนไว้ ในขณะที่กำลังจะลากคุณแม๊กออกมาก็มีลมหายใจเย็นๆมาพูดที่ข้างหูคุณตูนว่า นี้มันไม่ใช่เรื่องของ มึง! ถ้าเอามันไปเดี๋ยวกูจะกลับไปเอามันให้ตายเลย คุณตูนก็กลั้นใจอุ้มคุณแม๊กและลากออกไป ก็มีเสียงขึ้นมาอีกว่ามันไม่ใช่เรื่องของมึง! คุณตูนคิดว่าจะอะไรนักหนาจึงอยากเห็นหน้าขึ้นมาเลยสวดคาถาเปิดตา ก็เห็นผู้หญิงนั่งห้อยขาบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วมองคุณตูน ..!! คุณตูนจึงคิดว่าอย่าพุ่งมานะ ถ้าพุ่งมาจะเสียบด้วยปลัดขิกเสียบแน่ๆ จากนั้นก็ลากคุณแม๊กลงมา พอคุณแม๊กฟื้นก็ถามว่า สรุปเรื่องมันเป็นมายังไง
ซึ่งคุณแม๊กเล่าว่า พอผู้หญิงมาเรียกไปที่ห้องก็นึกถึงคำที่คุณตูนพูดเลยนึกถึงบุญคุณพ่อแม่แล้วท่องคาถา พอท่องจบจากผู้หญิงหน้าตาดี อายุสัก20กว่าก็กลายเป็นคนแก่หนังเหี่ยว

จึงทำให้คุณแม๊กสติแตกและโทรหาคุณตูน พอจบเรื่องคุณแม๊กก็โทรหาพ่อกับแม่แล้วก็ย้ายออกวันนั้นเลยเพราะจะไปให้หมอที่บ้านรักษา หลังจากนั้นพ่อแม่คุณแม๊กก็ได้โทรมาขอบคุณคุณตุนเพราะหมอบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้อีกอาทิตย์เดียวคุณแม๊กอาจจะตายไปแล้วเพราะผีตนนั้นดูดพลังธาตุออกไปร่างกายเลยผอมลงไป แล้วแม่คุณแม๊กก็ได้ถามว่าหอพักนั้นชื่ออะไร ใช่ชื่อนี้มั้ยซึ่งมี 4 พยางค์ คุณตูนบอกว่าไม่ใช่ หอพักนี้มีชื่อแค่ 2 พยางค์ จนผ่านไป 1-2 วันคุณตูนก็ชวนคุณเบลไปทานขนมจีนเจ้าประจำซึ่งอยุ่ใกล้ๆแมนชั่นที่เกิดเรื่อง ซึ่งได้คุยกับป้าเจ้าของร้านขนมจีนว่าเมื่อก่อนมีประวัติอะไรรึเปล่า ป้าบอกว่าไม่มี แต่สมัยก่อนไม่ได้ชื่อนี้แล้วก็บอกชื่อมาเป็นชื่อ 4 พยางค์ที่แม่คุณแม๊กเคยถาม พอกลับไปที่บริษัทคุณตูนก็โทรหาแม่คุณแม๊ก แล้วถามว่าที่บอกมาว่าหอที่ชื่อ 4 พยางค์นี้มีอะไรหรือ

แม่คุณแม๊กบอกว่า หอนี้สมัยก่อนอ่ะลุงของแม๊กเคยอยู่ที่นี้ เค้าเล่นไสยศาสตร์แล้วเกิดเลี้ยงผีผิด โดยเอาผีพรายมาทำเป็นเมียจนสุดท้ายผีพรายเนื่ยกินลุงแม๊กจนตายในแมนชั่นแห่งนี้ คุณตูนจึงถามว่า ห้องไหน แม่คุณแม๊กบอกว่าห้อง 410 คุณตูนจึงคิดว่านี้คงเป็นมรดกกรรมที่ตกทอดมาสู่คุณแม๊ก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ