ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ตุ๊กตานางรำ “ฮิๆฮิๆฮิๆ“ คนนี้หรือเปล่า?คนนี้หรือเปล่า?คนนี้ใช่มั้ย?


ผมไม่ได้เคร่งศาสนามากนัก แต่ด้วยหน้าที่ของลูกผู้ชาย เลยอยากจะบวชให้พ่อให้แม่ เพราะจะไปทำงาน จะได้ไม่มีภาระอะไรอีก ตอนนั้นเป็นช่วงสงกรานต์ ผมกะบวชซักประมาณ 15 วันก็พอ พอดีผมออกจากโบสถ์มา ก็บังเอิญเจอกับญาติคนหนึ่ง ซึ่งมีศักดิ์เป็น คุณตา ของผม ผมเลยเข้าไปบอกแกว่า ผมอยากจะบวชที่วัดที่ปฏิบัติจริงจัง ตาผมเลยถามกลับมาว่า...

คุณตา “ จะเอาจริงหรือเปล่า? ไปแล้วห้ามกลับมาก่อนนะ “

ซึ่งในตอนแรก ก็มีแต่ญาติค้านกัน ไม่อยากให้ไปไกลๆ เพราะเขาจะตักบาตรกันไม่ได้ แต่ด้วยความที่ผมคิดว่าตัวเองเก่ง บวกกับที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องศาสนานัก ก็เลยขึ้นรถของคุณตาไปเลย...ผมนั่งรถไปนาน 3-4 ชั่วโมง จนเห็นป้ายจังหวัด เพชรบูรณ์ ผมคิดว่าต้องพามาวัดจังหวัดนี้แน่ๆ ระหว่างทาง ตั้งแต่ป้ายวัดเข้ามา ทางยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นสวนปลูกมัน เข้าไปอีก ก็เป็นพวกป่ายาง บรรยากาศทึมๆ ทั้งๆ ที่เป็นช่วงกลางวัน ระหว่างทางเข้ามา ก็ไม่เห็นคนซักคนเดียว สุดทางป่ายาง ก็จะเป็นวัด ซึ่งเหมือนวัดร้าง เพราะไม่มีอะไรสร้างเสร็จเลยซักอย่าง ทั้งโบสถ์ และกุฏิ ซึ่งดูเหมือนตึกแถวโดนไฟไหม้ ไม่น่าจะเรียกเป็นวัดด้วยซ้ำ

ผมลงจากรถไป ก็ไม่เจอใครเลย ตาของผมเลยไปตามเจ้าอาวาสมา ซึ่งทั้งวัด มีพระเป็นเจ้าอาวาสอยู่รูปเดียว ผมมองไปรอบๆ เห็นนกแสก อยู่ทั่วไปหมด บนกิ่งไม้ บนโต๊ะ ทั้งๆ ที่นกพวกนี้จะเห็นได้ตอนกลางคืน แต่ตอนนี้แค่บ่าย 3 โมงเอง หลังจากคุณตาผมฝากฝังกับเจ้าอาวาสเรียบร้อยแล้ว ซึ่งวัดนี้เป็นวัดฝ่ายธรรมยุต จะเคร่งครัดเรื่องของใช้มาก ยืนเสมอพระผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ เจ้าอาวาสก็ให้คุณตา เอาของๆ ผมไปเก็บหมด ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ กระเป๋าตังค์ เสื้อผ้า เหลือไว้ให้แค่สบง จีวร แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ของใช้จำเป็นเท่านั้น ซึ่งตอนแรก ผมไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ด้วยที่มีอีโก้ และอยากเอาชนะ ผมเลยให้คุณตากลับ คุณตาก็ถามกลับมาอีกครั้งว่า...คุณตา “ แน่ใจนะ?... เพราะกว่าจะกลับมาอีก ก็สัปดาห์หน้าเลยนะ “ หลังจากคุณตากลับไป ผมก็พยายามจะพูดคุยกับเจ้าอาวาส ซึ่งท่านก็เป็นคนไม่ค่อยพูด ผมเลยถามท่านว่า...ผม “ หลวงพ่อ ให้ผมช่วยกวาดลานวัดมั้ยครับ? “หลวงพ่อ “ งั้นโยมไปเอาไม้กวาดมาสิ “
ด้วยวัดนี้ เป็นวัดที่ใหญ่มากๆ ผมกวาดใบไม้อยู่ 2 ชั่วโมง ไฟก็ไม่มี มีเครื่องปั่นไฟ ใช้กับที่ตัวโบสถ์ กับปั๊มน้ำเท่านั้น มองไปรอบๆ ก็นึกแปลกใจว่า ทำไมวัดนี้มันเหมือนวัดที่สร้างไม่เสร็จ?

ตกเย็น หลวงพ่อ ก็สอนผมเรื่องบทสวดมนต์ แล้วก็สอนวิธีใช้ชีวิตแบบพระ ฯลฯ พอเสร็จ ผมกำลังจะเดินออกมา หลวงพ่อก็ถามผมขึ้นมาว่า...หลวงพ่อ “ ท่านเต้ ท่านเต้ ท่านกลัวผีหรือเปล่า? “ ทั้งๆ ที่ก็กลัวๆ อยู่ แต่ด้วยความอวดเก่ง ผมเลยตอบท่านไป
ผม “ อ้อ... ไม่กลัวหรอกครับ “
หลวงพ่อ “ เอ้อ ดีแล้ว เพราะกฎของวัด ผมนอนกับท่านเต้ไม่ได้นะ ท่านเต้ต้องนอนต่ำกว่าผม “ 
แล้วหลวงพ่อก็ชี้ไปบนเขา ที่มีไฟริบหรี่อยู่ด้านบน
หลวงพ่อ “ เดี๋ยวผมจะพาไปกุฏิท่านเต้นะ “
เราทั้งสองคน เดินฝ่าความมืดไปอีก 10 นาที แถวที่หลังศาลาที่ผมกวาดเมื่อเย็น ผมเห็นเหมือนบ้าน 2 ชั้น ข้างล่างเป็นปูน ข้างบนเป็นไม้ แล้วหลวงพ่อก็บอกให้ผมไปนอนที่ชั้น 2 แล้วท่านก็ชี้กุฏิของท่านให้ดู ห่างไปประมาณ 200 เมตร

ตอนแรก ในใจผมคิดว่า ผมอยู่ในวัด ไม่น่ามีเรื่องแบบนั้นแน่ๆ ผมขึ้นไปบนชั้น 2 แล้วไขกุญแจ รู้สึกว่าผนังไม้กุฏิทำไมทาสีแปลกๆ สีแต่ละแผ่นก็ไม่เท่ากัน ผมเอาไฟฉายส่องไล่ไปเรื่อย ผมเห็นลายกนก เขียนอยู่บนแผ่นไม้...ในใจผมค้าน
“ ต้องไม่ใช่ ต้องไม่ใช่ “
ผมเดินไปสำรวจบ้าน ห้องน้ำอยู่ด้านล่าง ผมก็กะจะไปอาบน้ำก่อน ผมเปลี่ยนโหมดของไฟฉายเป็นแบบกระจายแสงทั่วไป พอเดินลงไปที่ห้องน้ำ ผมเห็นแผ่นหินอ่อน กองอยู่ใกล้ๆ ประตูห้องน้ำเต็มไปหมด คิดว่าคงเป็นหินอ่อนที่จะเอามาทำโบสถ์ ผมก็ไม่ได้สนใจ แต่ก็เปิดประตูห้องส้วมไว้ แต่พอเป็นพระ เขาห้ามยืนฉี่ ผมเลยต้องนั่งที่โถส้วม ซึ่งโถส้วม ก็หันหน้าไปทางประตู ผมมองไปที่กองแผ่นหินอ่อนที่เห็นตอนแรก ที่จริงมันคือแผ่นหินอ่อนที่ติดรูปขาวดำของคนตาย กองอยู่เต็มไปหมด ทั้งหมดหันหน้ามาทางผม

ผมทำธุระเสร็จ ผมก็ขึ้นไปชั้นบน ซึ่งมีพระประธานองค์ใหญ่อยู่ ยังทำให้ผมอุ่นใจได้บ้าง ส่วนชั้นบน จะมี 3 ห้อง แต่อีก 2 ห้องล็อคประตู ผมได้ห้องกลาง ผมไขกุญแจแบบเก่าที่ตัวล็อคยังเป็นหัวสิงห์อยู่เลย ผมส่องไฟไปที่พระประธาน ในใจก็คิด
“ ผีมาเลย กล้าสู้พระก็มา “
ผมไขห้องเข้าไป ก็มีเสื่อบางๆ กับหมอนสามเหลี่ยม ระหว่างที่ผมนอน หน้าต่างไม้ประกบ ก็เหมือนมีคนดึงจากข้างนอก เสียงดัง “ กึก กึก กึก “ แต่ผมคิดว่าคงเป็นลมพัดมากกว่า แต่ซักพัก กลับมีเสียงเหมือนแม่เล่นกับลูก

“ ฮิ ๆ ฮิ ๆ ฮิ ๆ “

ผมสติเริ่มแตก เตะประตู วิ่งเตลิดไปที่กุฏิหลวงพ่อ จนไปถึงหน้าประตู

ผม “ หลวงพ่อ หลวงพ่อ หลวงพ่อ “ หลวงพ่อเปิดประตูออกมา
หลวงพ่อ “ ท่านเต้ ท่านเต้ เป็นอะไร? “
ผม “ ผมเจอ ผมเจอ ผมเจอแล้ว หลวงพ่อ “
หลวงพ่อ “ เจออะไร? “
ผม “ ผมก็บอกไม่ได้ แต่มีคนทำเสียง ฮิ ๆ ฮิ ๆ ฮิ ๆ “
หลวงพ่อ “ เพ้อเจ้อมาก ผมอยู่มา 20 พรรษา ผมยังไม่เห็นเคยเจออะไรเลย ท่านมาแค่วันเดียว จะเจออะไร? “
ผม “ หลวงพ่อ ขอร้องเถอะ ผมขอนอนด้วย “
หลวงพ่อ “ ผมก็เพิ่งสอนท่านเต้ไป ว่ากฎของวัดมีอะไรบ้าง “
ผม “ ผมไม่ยอมกลับไปที่กุฏินั้นแน่ๆ ผมจะกลับ หลวงพ่อโทรบอกให้ญาติมารับผมเลย “
หลวงพ่อ “ ที่นี่ไม่มีโทรศัพท์หรอก “
ผม “ หลวงพ่อ งั้นผมขอนอนในโบสถ์ได้มั้ย? “ หลวงพ่อคิดซักอึดใจ แล้วก็เดินไปหยิบเสื่อกับหมอนมาให้ผม
หลวงพ่อ “ ได้ แต่ผมไม่เดินไปส่งหรอกนะ “
ผมเดินหอบเสื่่อหอบหมอน เดินไปที่โบสถ์ที่เปิดไฟอยู่ สภาพโบสถ์ที่ผมเห็นคือ โบสถ์ที่สร้างไม่เสร็จ มีแต่หลังคา กับพื้น ส่วนด้านกำแพง เขาเอากระจกดำมากั้นไว้ ในโบสถ์มีพระประธาน และพระน้อยใหญ่อีกหลายองค์ แต่ผมเห็นว่ายังไงก็ไม่มีใครเห็น ผมเลยปีนขึ้นไปนอนบนแท่น หน้าพระประธาน เอาหลังพิงพระประธานไว้ พอล้มตัวลงนอน ผมเห็นผู้หญิง ใส่สไบสีส้ม ตัวสีเหลืองๆ กำลังนั่งไหว้พระอยู่ ตามองไปทางซ้าย พอผมยิ่งมอง ร่างกายเธอก็เริ่มเป็นสีเขียวขึ้น ๆ จนกลายเป็นสีม่วง

ตอนนั้น ผมชาไปหมดทั้งตัว น้ำตาเริ่มไหล ผมปิดตา พลิกตัว หันหน้าเข้าหาพระประธาน แล้วก็เอามือไปแต่ที่หัวเข่าพระประธาน พักใหญ่ ผมก็หลับไปไม่รู้ตัว แต่ก่อนที่ผมจะหลับ มีกลิ่นดอกเข็มโชยมา และมีเสียง 
“ ฮิ ๆ ฮิ ๆ ฮิ ๆ “ แว่วมาตลอด
พอรุ่งเช้า หลวงพ่อท่านก็ไปตีระฆัง ผมก็สะดุ้งตื่น

ตอนสายๆ ผมก็เดินไปถามหลวงพ่อว่า..

ผม “ หลวงพ่อ ถามจริงๆ ที่นี่มีผีมั้ย? “
หลวงพ่อ “ ผมอยู่มา 20 พรรษา ไม่เห็นเคยเจออะไร ท่านเต้คิดไปเองหรือเปล่า? บรรยากาศอาจจะพาไป “

หลังจากนั้น ผมก็กวาดลานวัดไปเรื่อยๆ จนประมาณบ่าย 2 ผมก็ไปนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งปกติ ผมจะกวาดใบไม้มาที่โคนต้นไม้นี้ จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนรองเท้าที่ทำด้วยไม้เดินอยู่
“ แก๊ก แก๊ก แก๊ก “

ผมหันไปมอง เป็นผู้หญิงใส่สไบสีส้มคนเมื่อคืน เดินหายเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ ผมเลยคิดว่า สาเหตุ ต้องมาจากต้นไม้ต้นนี้แน่ๆ
ผมเอาเรื่องที่เห็น ไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อตอบว่า...

หลวงพ่อ “ เป็นไปไม่ได้ ท่านเต้คิดไปเอง ถ้าเป็นจริงๆ ก็น่าจะเป็นเทวดาที่อารักขาที่นี่มากกว่า ไม่ใช่ผีมาหลอกหรอก ไม่งั้น ผมก็ต้องเจอบ้างแล้ว “

หลวงพ่อก็ไปกวาดลานวัดต่อ แล้วก็ยังไปกองใบไม้ไว้ที่ต้นเดิม แต่ผมย้ายไปกองที่อีกต้นนึง

พอคืนที่ 2 หลวงพ่อก็สอนผมนั่งสมาธิ ซึ่งท่านนั่งอยู่ด้านหน้าของผม ความที่ผมเพิ่งหัดนั่ง ใจก็ไม่นิ่ง คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเปิดตาดู ผมแทบช็อค ผมเห็นผู้หญิงสไบสีส้มยืนอยู่ตรงกระจกกำแพง ตามองไปทางขวา แล้วก็ร้อง...
“ ฮิ ๆ ฮิ ๆ ฮิ ๆ “

ผมควบคุมสติไม่ได้ โวยวายเสียงดัง ดึงจีวรหลวงพ่อ
ผม “ หลวงพ่อ หลวงพ่อ หลวงพ่อ “
หลวงพ่อ “ ท่านเต้ ท่านเต้ เป็นอะไร? “
ผม “ หน้าต่าง หน้าต่าง “
หลวงพ่อ “ ไม่เห็นมีอะไรเลย “ คราวนี้ มีกลิ่นดอกเข็มโชยมา วนอยู่แถวจมูกผม ผมสติแตก บอกหลวงพ่อว่า...
ผม “ หลวงพ่อ ทำยังไงก็ได้ แต่ผมอยากกลับบ้านเดี๋ยวนี้ “
หลวงพ่อ “ ไม่ได้หรอก กว่าโยมเขาจะเข้ามา ก็อีกสัปดาห์นึง ถ้าอยากจะกลับบ้าน ก็เดินลงไปตามทางนั่นแหละ ที่ใช้บิณฑบาตทุกเช้าน่ะ “
ผม “หลวงพ่อ ผมกราบล่ะ ช่วยนอนเป็นเพื่อนผมในโบสถ์ได้มั้ย? ผมนอนตรงตีนหลวงพ่อก็ได้ “
หลวงพ่อแกก็ใจอ่อน ยอมมานอนเป็นเพื่อนผม 
(ตั้งแต่วันนั้น หลวงพ่อก็มานอนเป็นเพื่อนผม จนผมสึก)

แต่ในคืนที่ 3 ในช่วงสวดมนต์ ราบรื่นดี จิตใจผมสงบมาก แต่พอช่วงนั่งสมาธิ มาเป็นเสียงคนหลายคนทั้งผู้หญิงผู้ชาย กระซิบใกล้ๆ หูผม...

“ คนนี้หรือเปล่า? คนนี้หรือเปล่า? คนนี้ใช่มั้ย? “

ผมแอบหรี่ๆ ตามอง ผมเห็นผู้หญิงสวมสไบสีส้มอีกแล้ว แต่คราวนี้ เหมือนแขนเขาจะหักเป็นสีม่วง และวันนี้ หน้าเธอแลดูบู้บี้ มองมาที่หน้าของผม แล้วร้อง...
“ ฮิ ๆ ฮิ ๆ ฮิ ๆ “

ผมเริ่มร้องไห้ แล้วเรียก....
ผม “ หลวงพ่อ หลวงพ่อ “ แล้วเล่าสิ่งที่เห็นให้หลวงพ่อฟัง
หลวงพ่อ “ ท่านเต้ อาจจะเคยไปทำอะไรผิดมานะ “

หลวงพ่อเลยสอนให้ผมปลงอาบัติ และสวดมนต์ ยิ่งสวด กลิ่นดอกเข็มยิ่งแรง ผมนั่งกอดเข่าร้องไห้
และผมเจอแบบนี้ทุกวัน ยันวันสึก!!!! มาถึงวันที่ 10 ผมเริ่มชินกับสิ่งที่เห็น แต่ผมสังเกตว่า ทำไมผู้หญิงคนที่มา ยิ่งผ่านวัน สภาพเธอยิ่งเละกว่าเดิม ผมก็ปิดตา สวดมนต์ต่อไป พอมาถึงวันที่สึก ผมก็ยังต้องเป็นทิด และยังต้องอยู่ที่วัด คราวนี้ หลวงพ่อไม่ต้องนอนกับผม แล้วผมก็ไม่มีผ้าเหลืองคุ้มกันตัวเองอีกต่อไปแล้วด้วย แต่ตกกลางคืน ผมก็ยังปีนไปนอนหน้าพระพุทธรูปเหมือนเดิม

ตอนที่ยังบวชเป็นพระ เขามีข้อห้ามว่า ห้ามตัด ห้ามเผา แต่ตอนนี้เป็นทิดแล้ว ผมก็เอาใบไม้ที่กวาดกองพะเนินเทินทึก ทยอยเผาไปเรื่อย เพราะเยอะมาก พอผมตักไปเผาเรื่อยๆ จนถึงโคนต้นไม้ ผมก็เจอกับ ”ตุ๊กตานางรำ” ใส่สไบสีส้ม ขาหัก แขนหัก ชฎาหัก หน้าเละ ผมเลยคิดได้ว่า ต้นไม้ต้นนี้ ชอบมีชาวบ้านเอาตุ๊กตามาวางไว้ตามร่องไม้ที่พอวางได้ แต่ตุ๊กตาตัวนี้ คงหล่นลงมา แล้วผมก็กวาดใบไม้มากองทับไว้ และที่สำคัญ กองใบไม้หนามาก ผมเลยต้องกระทืบ ๆ ๆ เพื่อให้กองใบไม้มันยุบลง ผมทำแบบนี้อยู่ทุกวันๆ แล้วผมยังเจอซาก กุมาร ตุ๊กตาตายาย ฯลฯ ผมเหยียบแตกหมด
ผมเดินไปถามหลวงพ่อ เอาตุ๊กตานางรำไปให้ท่านดู

ผม “ หลวงพ่อ นี่อะไรครับ? “
หลวงพ่อ “ ว่าแล้ว นึกว่าลูกคนงานเอาไปเล่น “

ผมสำนึกได้เลยว่า “คืนนี้ ต้องโดนแน่ๆ “ ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมเลยพยายามเอากาวต่อแขนขาให้ตุ๊กตา แล้วเอาไปให้หลวงพ่อ หลวงพ่อ “ เอามาทำไม? ผมไม่ใช่หมอผี ท่านก็ขอขมาไป เรื่องแบบนี้ มันไม่ใช่กิจของสงฆ์ “ ผมก็เอาตุ๊กตาไปวางไว้ที่ต้นไม้เหมือนเดิม ผมไปหาแฟนที่ชลบุรี ตั้งแต่ผมกลับมา จะมีคน 2 คนผัวเมีย มายืนอยู่ที่หน้าบ้านผมตอนกลางคืนทุกวัน ยืนทีประมาณ 3-4 ชั่วโมงไม่ไปไหน ผมก็จะตะโกนไปว่า...

ผม “ มายืนทำอะไร? โจรหรือเปล่า? เดี๋ยวโทรเรียกตำรวจนะ “ เขาตอบว่า...
ผู้ชาย “ ผมมารอ... “
ผม “ มารออะไร? “
ผู้ชาย “ ผมมารอ... “
ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร ก็เดินเข้าบ้านมา แต่ก็ยังสงสัยว่า “มารออะไร?” ผมนั่งดูบอลต่อจนถึงตี 2 ทั้งสองคนก็ยังยืนอยู่ ผมตะโกนถามไปอีก
ผม “ มายืนทำอะไร? ยังไม่ไปอีก เดี๋ยวกูโทรเรียกตำรวจนะโว้ย “
ผู้ชาย “ ผมสองคน มารอ..... “ ผมเริ่มนึกว่า ไม่เป็นโจน ก็ผี

หลังจากนั้น ไม่ว่าผมจะไปที่ไหน ผมจะเจอผู้ชายคนนี้ หรือไม่ก็ผู้หญิง ที่ลานจอดรถเสมอ เห็นอยู่ไกลๆ ตอนแรก ผมก็ยังทำปากเก่ง ตะโกนไปว่า...

ผม “ จะเอาอะไร? ไม่ทำบุญให้หรอก “
หลังจากนั้น ผมก็เห็นบ่อย จนผมเริ่มแน่ใจแล้วว่า สองผัวเมียนี้ ไม่ใช่คนแน่ ๆ ผมเห็นอยู่แบบนี้อยู่ 2-3 เดือน ถึงจะหายไป จากที่เป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ผมเริ่มห้อยพระ ใส่แหวนพระ แล้วเริ่มไปทำบุญ 9 วัด เพราะผมไม่รู้ว่า ผมไปทำอะไรกับเขาไว้

ต่อมา ผมก็กลับไปที่วัดนี้อีก แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว เพราะได้ข่าวว่า หลวงพ่อ เดินทางไปอินเดีย พอกลับมา ก็ไปจำวัดอยู่ที่สัตหีบ ทำให้วัดนี้ เลยกลายเป็นวัดร้างไป ผมก็เดินไปดูกุฏิที่ผมเคยมานอน ข้างฝาแต่ละอัน ก็เห็นเป็นฝาโลงศพชัดเจน และไม่น่าที่จะมีคนมาอยู่ด้วยซ้ำ ส่วนต้นไม้ต้นนั้นก็ไม่มีอยู่แล้ว เพราะเขาโค่นเทปูนทำเป็นถนนไปแล้ว

ถ่ายทอดโดย เด็กหลังวัด
Cr. The Shock

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ