สุโขทัยซอย 3.......วีรยุทธ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจ ข้างถนน...คนเราบทจะดวงซวยก็โดนผีหลอกเอาง่ายๆ ทั้งที่อยู่ในเมืองหลวง แถมยังเป็นทางผ่านใกล้ๆ บ้าน…ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกันนะครับ งานนี้!
เรื่องนี้เกิดขึ้นเกือบสิบปีมาแล้ว…ผมขับรถออกจากบ้านที่ถนนสุโขทัย ซอย 5 บึ่งเกือบถึงบางอ้อโน่น เพื่อนรุ่นน้องมันแต่งงานครับ เพิ่งสามสิบต้นๆ ฉวยโอกาสหาเพื่อนมาจุ๋งจิ๋งแก้หนาว ผิดกับผมที่ใกล้จะถึงหลักสี่อยู่แล้วแต่ยังต้องนอนกอดหมอนคนเดียว ญาติมิตรมาร่วมงานตึมเลยครับ โต๊ะยาวเหยียดไปจนถึงริมฝั่งเจ้าพระยาโน่นแน่ะ เหล้าเบียร์ไม่อั้น อาหารบุฟเฟต์ก็แลล้วนแต่ยั่วน้ำลายซะเป็นส่วนใหญ่ ใครถูกคอกับใครก็นั่งจุ้มปุ๊กอยู่โต๊ะเดียวกัน คุยกันสนุกถูกใจอาหารกับเครื่องดื่มก็ลื่นคอเป็นธรรมดา!
พวกเราเริ่มต้นด้วยเรื่องสัพเพเหระอะไรก็ลืมเสียแล้ว จำได้เลาๆ แต่ว่ามีคนได้ยาดองสูตรใหม่ ซดวาบเข้าไปเป๊กสองเป๊ก เดี๋ยวก็เกิดพลังช้างสารหรือม้ากระทืบโรงได้ง่ายๆ ที่จำได้แม่นยำก็เรื่องข้อพิพาทกับกัมพูชา โดยเฉพาะเรื่องแม่ทัพบกขอซื้อเฮลิคอปเตอร์เพิ่มอีก 30 ลำ เพราะของเก่าชราภาพมาราว 30 ปี ยิ่งมาเกิดหล่นปุๆ ติดๆ กันถึง 3 ลำในเวลาไม่ถึงสิบวัน เล่นเอาขนหัวลุกตั้งไปตามๆ กัน เพื่อนคนหนึ่งเป็นลูกทหาร ยืนยันว่าปกติท่าน ผบ.ทบ.เป็นคนใจเย็นครับ แต่พอเจอสื่อพาดหัวว่า “อ้อน” เข้าเท่านั้นแหละตบะแตก ว้ากเพ้ยว่าคนอย่างผมไม่ต้องอ้อนใคร
หิโตปเทศสอนว่า “พึงโกรธให้สมอำนาจของตน” แต่ถ้าโกรธเกินอำนาจ แหว หวาแว้ดๆ เหมือนเห็นคนอื่นเป็นเบ๊…เดี๋ยวก็ต้องไปนั่ง “ตบยุง” อยู่ในทำเนียบจนได้! เฮ้อ… เห็นท่านให้สัมภาษณ์ทางทีวีแล้วเห็นอกเห็นใจจริงๆ ขอมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งขอตอน ฮ.ตก…อกเขาอกเรานะครับ ใครไม่เจอะเจอกับตัวเองไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บแค่ไหน แต่ก็ถูกโต้ว่าไม่เคยของบฯ ซื้อ ฮ.เลย นอกจากรถถังจากโครเอเชียราคาแพงลิบลิ่ว กับเรือดำน้ำเท่านั้น ไหนๆ ก็ไหนๆ รัฐบาลใหม่ก็น่าจะอนุมัติให้ซื้อทั้งฮ.รถถัง กับเรือดำน้ำให้ครบครัน ไว้ใจได้หรือว่าเขมรจะไม่กรีธาทัพเข้ามาโจมตีเราเมื่อไหร่ บอกแต่ว่าไม่มีเรือรบซักลำน่ะ ของจริงอาจจะมีเรือดำน้ำซุ่มซ่อนอยู่ที่ปากอ่าวก็เป็นได้!
อ้อ! ลาวก็เหมือนกัน อย่าทำดูถูกว่าเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล ใครจะรู้ว่าใต้แม่น้ำโขงอาจจะมีเรือดำน้ำ ติดอาวุธร้ายกาจชนิดยิงขึ้นจากใต้น้ำใส่เป้าหมายแม่นยำก็ได้ แม้หวังตั้งสงบ ต้องเตรียมรบให้พร้อมสรรพ! ขืนทำชะล่าใจเป็นทองไม่รู้ร้อน เดี๋ยวก็ต้องเห็นภาพ ชาวบ้านชายแดนกัมพูชาต้องหอบลูกจูงหลานนับหมื่นคนหนีปืนใหญ่ข้าศึกเป็นครั้งในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ได้ แม้ว่าแม่ทัพบกท่านจะรักสงบ บอกว่ารบกันไปทำไม? ชนะแล้วจะได้อะไร? มีหวังเกิดเรื่องบานปลายไม่สิ้นสุด ไม่ใช่กลัวคำขู่ฮุนเซนที่ว่าทหารเขมรคนเดียวก็สู้ทหาร ไทยได้สี่คนสบายมาก! แต่ความอดทนของคนเรามีขีดจำกัดนะครับ
เพื่อนฝูงพูดจากันเป็นเสียงเดียวว่าให้ทุ่มเทงบประมาณทางทหารเข้าไป ยิ่งซื้ออาวุธสารพัดชนิดที่โลกนี้เขาทำขายกันได้ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องตกเป็นลูกไล่ของ ฮุนเซนซะที คนปากเสียมันจะได้เลิกเย้ยด้วยปากถาก ด้วยตา ว่าคนไทยหนีตายกระเซอะกระเซิงจากแผ่นดินตัวเองก็ในยุคนี้แหละ! ผมได้แต่พยักหน้ารับส่งเดช มึนทั้งเหล้า เมาทั้งน้ำลายของไอ้พวกบ้าการเมือง กว่าจะขับรถกลับบ้านได้ก็ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้ว ข้ามสะพานกรุงธนไปเลี้ยวขวาที่สี่แยกสามเสน มุ่งหน้าไปตามถนนสุโขทัย…รถเหินลงสะพานผ่านถนนพระราม 5 สองฟากมีแต่ต้นไม้ใหญ่ เรียงรายอยู่แสงไฟเยือกเย็น รถรา กับผู้คนไม่รู้หายไปไหนหมด อาจจะเป็นเพราะสายฝนกำลังตกปรอยๆ อยู่ก็เป็นได้
แสงไฟพวยพุ่งยิ่งทำให้เห็นภาพประหลาดสุดขีดแถวซอย 3! นั่นคือ ทหารบกสองนายยืนอยู่คนละฟากถนน หันหน้ามามองผมแบบ…แทบจะในพริบตานั้นเอง ร่างสูงใหญ่ทั้งสองก็ราวจะหายตัววับมายืนอยู่ตรงหน้ารถไม่ถึงสิบเมตร “เฮ้ย! ไอ้…” ผมร้องด่าลืมตัวด้วยความตกใจ กระทืบเบรกจนหวิดยางไหม้เกิดเสียงเสียดแหลมบาดหู หยุดรถไม่ถึงฝ่ามือ ก่อนจะชนชายในเครื่องแบบที่มีขีดทองเหลืองบนบ่าทั้งสองนาย ใบหน้าขาวซีด ตาดำโตชะโงกพรวดพราดเข้ามาเหมือนจะทะลุกระจกใส่ผม
เล่นเอาผงะหน้า ร้องด่าอีกครั้งก่อนจะตบเกียร์ผางเหยียบคันเร่งพุ่งลิ่ว ทะลุร่างทั้งสองที่กลายเป็นอากาศธาตุไปบัดดล…แหม! คุยเรื่องทหารนิดเดียวโดนผีในเครื่องแบบเล่นงานหวิดช็อกตายเลยครับ!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ รักดารา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น