ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

"ลบหลู่กูนักใช่มั้ย" มันตามมาจากห้องดนตรีไทย


สวัสดีครับ เรื่องที่ผมจะเล่ายืนยันว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อสมัยผมอยู่ม.ปลาย เมื่อ 10 ปีที่แล้ว โรงเรียนมัธยมของผมนั้นเป็นโรงเรียนชื่อดังของจังหวัด มีหลายสาขาทั่วประเทศ  ที่โรงเรียนของผมจะมีอาจารย์ที่เหมือนมีสัมผัสพิเศษอยู่หนึ่งคน ผมขอสมมุตินามเขาว่า อาจารย์อ่ำ นักเรียนทั่วโรงเรียนจะชอบล้ออาจารย์คนนี้ลับหลัง ว่าเพี้ยนบ้าง งมงายบ้าง แต่สิ่งที่อาจารย์พูดน่าขนลุกทุกครั้ง เช่น เขาชอบทักว่าเห็นวิญญาณในโรงเรียนบ่อยๆ เขาบอกว่าที่ตั้งโรงเรียนอยุ่ในที่ที่ไม่ดี เป็นทางผ่านของวิญญาณ รวมถึงเรื่องอาถรรพ์ตัวตายตัวแทน  ที่จะต้องมีนักเรียนหรือครูในโรงเรียนเสียชีวิตเกือบทุกปี ซึ่งก็เกิดขึ้นจริง

ล่าสุดก่อนที่จะเข้าเรื่องที่ผมจะเล่า อาจารย์อ่ำชอบเล่าให้เด็กๆในโรงเรียนฟังว่า “มีเด็กผู้หญิงมาอาศัยอยุ่กับพวกเรานะ เธอเป็นนางรำในหมู่บ้านไม่ไกลจากโรงเรียน แต่ถูกฆ่าถ่วงน้ำตายไปซะก่อน เธอตายไปสิบกว่าปีแล้ว เธอไม่มีที่ไป เลยมาขอพ่อปู่พวกเราอยู่ ถ้าใครเห็นเด็กผู้หญิงตามมุมต่างๆของโรงเรียนห้ามทักเด็ดขาดนะ อย่าหาว่าไม่เตือน” อาจารย์อ่ำชอบพูดประมาณนี้ก่อนที่จะเกิดเรื่อง ซึ่งนักเรียนหลายคนคงชินและขำๆว่าเพ้อเจ้อ แต่สำหรับคนที่กลัวผีมากๆจะไม่ตลกเลย เรื่องเกิดขึ้นตอนผมอยุ่ ม.6 ก่อนจะเข้าเรื่อง มีเหตุเกิดการณ์เกิดขึ้นดังนี้ครับ

ตอนเย็นวันศุกร์... โรงเรียนของผมจะมีกิจกรรมช่วงเย็น ผมจึงอยู่ทำกิจกรรมกับเพื่อนจนเลิกเย็นมากๆ ประมาณเกือบห้าโมงเย็น ผมกับเพื่อนๆกำลังจะเดินออกไปที่หน้าประตูรั้วโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน ผมได้ยินเสียงคนชุลมุลข้างหลัง พอผมหันไป เห็นอาจารย์สองคนพยุงเด็กผู้ชายมอต้น ในแขนมีผ้าพัน และเห็นเหมือนมีแผลตามใบหน้า และมีเลือดเปื้อนเสื้อนักเรียน เขากำลังพานักเรียนขึ้นรถ และขับออกไปอย่างไว ผมกับเพื่อนคุยกันว่าเด็กมอต้นคงซุกซนตามประสาเด็กเลยเกิดอุบัติเหตุ เลยไม่ได้คิดอะไร และผมก็กลับบ้านในเย็นวันนั้น ตอนเย็นของวันจันทร์….หลังจากหมดคาปเรียนวิชาสุดท้ายที่อาจารย์ปล่อยเร็ว ในขณะที่ผมกับเพื่อนๆนั่งตรงเกวียนหน้าตึกเรียน เพื่อรอปล่อยกลับบ้าน ผมเห็นรุ่นน้องชื่อจอม เขาเป็นรุ่นน้องผม1ปี เขาวิ่งมาที่เกวียนผมท่าทางแปลกๆ ในคอเขามีพระห้อยหลายเส้น จนเพื่อนๆผมล้อว่าจะไปบวชหรอ แต่ท่าทางจอมไม่ตลก จอมทำหน้าจริงจังมาก และบอกพวกผมว่า ”พี่ๆ เจอพวกพี่ก็ดีแล้ว พี่รุ้หรือป่าวพวกผมเกือบตายเมื่อคืนวันศุกร์ เจอผีหลอก!!!” พวกผมจากที่นั่งอยู่คนละทิศ ต้องมารวมตัวกระจุกเดียวกันตรงเกวียนที่ผมนั่ง ผมเร่งถามจอมว่าเกิดอะไรขึ้น 

เรื่องราวต่อจากนี้ไป เป็นเรื่องราวจากจอมที่เล่าให้พวกผมฟัง  ผมสรุปเรื่องราวทั้งหมดไว้ด้านล่างนี้ เริ่มเรื่องเลยนะครับ  จอมเป็นนักเรียนชั้นมอห้า อยู่ในชมรมโปงลางของโรงเรียน ทางโรงเรียนจะส่งคณะโปงลางของโรงเรียนไปออกงานของจังหวัด เพื่อนำรายได้เข้ามาในชมรมและโรงเรียนด้วย ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ทางคณะโปลงลางของโรงเรียนถูกส่งไปออกงานที่กรมทหารช่วงกลางคืน นี่เป็นครั้งแรกที่ทางโรงเรียนรับงานกลางคืน เพราะปกติจะรับงานช่วงกลางวัน หรือเสร็จช่วงเย็น แต่ครั้งนี้ทางโรงเรียนอนุมัติเพราะเป็นงานใหญ่ของทางกรมทหาร และเป็นคืนวันศุกร์ เพราะเสาร์-อาทิตย์นักเรียนจะได้พักผ่อนได้

ดังนั้นช่วงเย็นของวันศุกร์ จอมกับเพื่อนๆในคณะโปงลางกำลังจัดอุปกรณ์ในห้องดนตรีไทย พร้อมขนขึ้นรถอาจารย์เอ็ม ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำชมมาโปงลางนี้ ในขณะที่จอมกำลังจะแบกของขึ้นไป จอมเห็นเด็กมอต้นผู้ชาย ซึ่งอยู่ในชมรมโปงลางเหมือนกัน ขึ้นไปนั่งเล่นบนกลองไม้โบราณ ทันใดนั้นมีเสียงเตือนจากเพื่อนผู้หญิงในชมรมว่า “น้อง อย่าขึ้นไปนั่งบนกลองนั้นนะ อาจารย์อ่ำเคยบอกว่าของเก่าแก่ในห้องนี้มีใครคอยเฝ้าอยู่” เด็กผู้ชายคนนั้นลบหลู่กลับว่า “ไร้สาระ อาจารย์อ่ำใกล้จะบ้าแระ ผีอะไรจะมาสิงในกลอง กลัวตายล่ะ!”  พร้อมกับนั่งขย่มๆ  จอมจึงบอกเด็กผู้ชายมอต้นคนนั้นให้เลิกเล่น และลงมาช่วยขนของ เด็กมอต้นคนนั้นจึงลงมาช่วยจอมขนของ และเดินนำหน้าจอมไป แต่พอเดินไปถึงหน้าประตูห้องดนตรีไทย ซึ่งจะเป็นประตูมีบานกระจกตรงกลาง เด็กมอต้นคนนั้นอยู่ๆก็หยุดเดิน และทิ้งของทุกอย่างลงกับเพื่อน และอยู่ๆก็เอาตัวกระแทกเข้าไปที่ประตูจนกระจกแตก และเป็นแผลบาดแขนเป็นแผลลึก
ส่วนใบหน้าก็มีลอยบาดเล็กน้อย และเลือดไหลตรงแขนเยอะมาก จอมตกใจรีบตระโกนเรียกอาจารย์
อาจารย์ในละแวกนั้นจึงนำผ้าพันแขนเพื่อห้ามเลือด และรีบพาลงไปขึ้นรถเพื่อไปโรงพยาบาล
(ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ที่ผมเห็นเมื่อเย็นวันศุกร์) ส่วนประตูห้องดนตรีไทยตรงกลางที่เป็นกระจกแตกเป็นรูใหญ่มากๆ อาจารย์จึงจะให้ช่างเข้ามาซ่อมวันจันทร์ทีเดียว จึงปล่อยไว้แบบนั้น

จอมกับเพื่อนๆจึงขนของขึ้นรถปกติ จึงออกเดินทางไปที่กรมทหารเพื่อไปเล่นโปงลางในคืนนั้น...หลังจากเล่นโปงลางเสร็จ ทุกคนช่วยกันขนของกลับ ในคณะโปงลางที่ไปเล่นในงานนี้มีประมาณ 20 กว่าคน หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้านเลยในคืนนั้น เพราะผู้ปกครองมารอรับที่งาน
ยกเว้นจอมและเพื่อนๆอีกประมาณ 5 คนรวมจอมเป็น 6 คน หกคนนี้แบ่งเป็น ผู้หญิง 3 คนชื่อ เดือน, กิ่ง, เบน และมีผู้ชายอีก 2 คนชื่อ ตี้, อาร์ม ที่จะต้องกลับมาโรงเรียนเพื่อนำของมาไว้ที่ห้องดนตรีไทยที่โรงเรียน และอาจารย์เอ็มจะไปส่งจอมกับเพื่อนๆที่บ้าน จอมกับเพื่อนๆอีก 5 คนขึ้นมาบนรถบัสกลับโรงเรียนก่อน ซึ่งได้ขนอุปกรณ์ทุกอย่างบนรถนี้ทั้งหมด ส่วนอาจารย์เอ็มกำลังเคลียร์เรื่องบิลกับทางเจ้าหน้าที่ และจะขับรถตามมาที่โรงเรียนทีหลัง ซึ่งให้จอมกับเพื่อนๆนำของมาขนไว้ที่ห้องดนตรีไทยก่อน เมื่ออาจารย์มาแล้วจะได้รับกลับบ้านเลย ไม่ต้องเสียเวลา

รถบัสมาจอดที่หน้ารั้วโรงเรียนตอนประมาณสี่ทุ่ม ในบริเวณโรงเรียนอยู่ออกนอกตัวเมืองของจังหวัดมา
บรรยากาศในตอนกลางคืนจึงเงียบสงัด รถบัสมาจอดที่หน้ารั้ว แต่ไม่มีใครมาเปิดประตู จอมเลยลงจากรถไป เพื่อไปเช็คหายามว่าหายไปไหน จอมชะเง้อไปที่ป้อมยามหน้ารั้วก็ไม่มีใครอยู่ แต่ไฟในป้อมเปิดทิ้งไว้ จอมมองเข้าไปในโรงเรียน บรรยากาศเงียบมาก ไฟที่เปิดก็สลัวๆอยุ่แค่บางมุม ซึ่งสลัวมากดูยังไงก็ไม่สว่าง มันมืดไปหมดด้านในโรงเรียน จอมไม่มีเบอร์ติดต่อของลุงยาม จอมจึงตระโกนขึ้นไปบนรถ
“พวกเมิงมีเบอร์ลุงยามป่าว” เสียงตอบมาว่าไม่มีใครมี จอมจึงตระโกนเรียกให้ ตี้ ลงมาจากรถ และปีนรั้วเข้าไปในโรงเรียนเป็นเพื่อน จอมกับตี้ปีนรั้วเข้ามาในโรงเรียน ในขณะที่รถบัสจอดอยู่หน้ารั้ว พร้อมกับส่องไฟให้ทั้งสองคนเดินเข้าไป จอมกับตี้เดินมาถึงหน้าตึกหนึ่ง ซึ่งจะอยู่เยื้องทางเข้าโรงเรียน จอมจะดูห้องน้ำตึกหนึ่งก่อนว่าลุงยามมาเข้าห้องน้ำที่นี่หรือป่าว พอจอมกับตี้เลี้ยวเข้ามาหน้าตึกหนึ่ง แสงไฟรถส่องมาไม่ถึงแล้ว ตอนนี้มีแต่ความมืด และมีไฟตรงมุมตึกดวงหนึ่งที่สะท้อนมาจึงพอเห็นบ้าง จอมกำลังจะเดินไปดูในห้องน้ำชั้นล่างตึกหนึ่ง ห้องน้ำจะอยู่ท้ายตึก

แต่ในระหวางที่เดินไปท้ายตึกจะต้องผ่านห้องกระจกซึ่งเป็นห้องพักบรรดาอาจารย์ แต่จอมสะดุดตาในห้องนี้ จอมเห็นแสงไฟเปิดสลัวๆในห้องพักอาจารย์ และเห็นคนยืนหันหลังอยู่ในห้องกระจกชั้นล่างตรงโต๊ะครู แต่เป็นผู้ชายชุดขาว จอมคิดว่าเป็นอาจารย์เวรแน่นอน จึงรีบวิ่งเอาหน้าไปแนบกระจกเพื่อส่องดูเพื่อความแน่ใจ ทันใดนั้น ข้างในมีแต่ความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงไฟสลัวๆเหมือนที่เห็นเมื่อกี้ และไม่มีใครยืนอยู่เลย จอมขาแข็ง หน้าชา เพราะมั่นใจว่าตาไม่ฝาดแน่นอน จอมจึงบอกตี้ทันทีว่า “เมื่อกี้เมิงเห็นไฟเปิดในห้องพักครูและเห็นคนยืนอยู่ป่ะ” ตี้เป็นคนขี้กลัวมาก จึงด่ากลับว่า “เฮ้ย ไม่ใช่เวลามาล้อเล่น” ตี้บอกจอมว่าเห็นไฟปิดมืดอยู่ตั้งแต่แรก ไม่มีแสงไฟอะไรเลย แต่จอมยืนยันว่าไม่ได้ล้อเล่น ตี้จึงกลัวมาก รีบชวนจอมกลับไปที่หน้าโรงเรียน  ทันใดนั้นจอมกับตี้ได้ยินเสียงรถมอไซค์ขับผ่านถนนในโรงเรียน  ซึ่งวิ่งออกมาจากหลังโรงเรียน ซึ่งเป็นรถของลุงยามนั้นเอง จอมกับตี้ดีใจรีบวิ่งไปที่หน้าโรงเรียน ลุงยามบอกว่า ขอโทษที่ไม่ได้มาเปิด เพราะแกลืมว่าคืนนี้พวกนักเรียนต้องกลับเอาของมาไว้ ลุงยามบอกอาจารย์เวรเตือนเมื่อกี้ว่าให้มาเปิดประตูรั้วไว้ ลุงยามไปนั่งอยู่บ้านพักหลังโรงเรียนกับอาจารย์เวร กำลังนั่งปรับทุกข์กันอยู่ ลุงเปิดประตูเสร็จ ลุงขออนุญาติกลับไปที่หลังโรงเรียน และฝากจอมล็อคประตูรั้วก่อนกลับด้วย หลังโรงเรียนอยู่ไกล ต้องขับรถไปประมาณ 1-2  กิโล ด้านหลังโรงเรียนจะมีบ้านพักอาจารย์เวร
และมีบ้านพักแม่บ้านภารโรงประมาณ 1-2 หลัง

รถบัสได้เข้ามาในโรงเรียน เลี้ยวเข้ามาที่หน้าตึกหนึ่ง และจอดอยู่ท้ายตึก เพราะห้องดนตรีไทยอยู่ท้ายตึกหนึ่งชั้นที่สอง จอมและเพื่อนๆช่วยกันขนของและเครื่องดนตรีขึ้นไปไว้บนห้องดนตรีไทย จากนั้นรถบัสขับออกไปจากโรงเรียน เหลือแต่จอมและเพื่อนๆที่อยู่ในห้องดนตรีไทยเพื่อรออาจารย์เอ็มมารับกลับบ้าน ทุกคนนั่งอยู่ในห้องดนตรีไทย โดยเปิดไฟในห้อง และต่างคนต่างกระจายไปคนละมุม เบนกับกิ่งอยุ่อีกมุมของห้องกำลังอ่านหนังสือและคุยกัน เดือนคนเดียวนั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์อยู่หลังห้องตรงกลองไม้โบราณ ส่วนจอม อาร์ม และตี้ นั่งคุยกันตรงโต๊ะอาจารย์ในห้อง ตี้เซ้าซี้ให้จอมเล่าเรื่องที่เห็นผู้ชายยืนอยุ่ในห้องพักครูให้ทุกคนฟัง แต่จอมไม่เล่า เพราะกลัวทุกคนกลัว และบรรยากาศตอนนี้ก็วังเวงด้วย
ในขณะที่ต่างกลุ่มต่างคุยกันในห้อง จากนั้นไม่นาน อยู่ๆ เดือนที่นั่งอยู่หลังห้องคนเดียวได้พูดออกมาว่า
“พวกเมิง เงียบหน่อย เสียงใครร้องให้วะ?” ทุกคนที่ได้ยินเสียงเดือนทัก รีบมารวมตัวกันตรงหลังห้องแบบไมได้นัดหมาย “เสียงใคร ไม่เห็นได้ยินเสียงเลย” จอมบอก ถามทุกคนว่าได้ยินหรือป่าว แต่ไม่มีใครได้ยินยกเว้นเดือน “เห็นมั๊ย เมิง กูยังได้ยินเสียงอยู่เลย”

ทุกคนเงียบ ค่อยๆใช้หูฟังเสียงนั้นที่เดือนบอก แต่เสียงกลับเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงลมพัด
ทุกคนเริ่มใจไม่ดี จอมเลยถามว่า ได้ยินเสียงมาจากไหน เดือนตอบว่าเสียงดังมาจากในห้องนี้ที่เราอยู่
ทุกคนกลัวมาก เสียวสันหลังกันหมด เพราะทุกคนรู้นิสัยเดือนดี ว่าเดือนไม่มีนิสัยขี้แกล้งเลย เดือนเป็นคนตรง พูดจริง เดือนเริ่มตัวสั่น เพราะนางเริ่มรู้ว่าสิ่งที่นางได้ยิน ไม่ใช่เสียงคน เพราะไม่มีใครได้ยินนอกจากนาง จอมจึงบอกทุกคนให้ใจเย็นๆ จอมจึงโทรหาครูเอ็มว่าให้รีบมา เพราะทุกคนต้องการกลับบ้าน แต่ครูเอ็มบอกว่าเพิ่งเคลียร์กับทางงานเสร็จ อยู่ระหว่างทางแล้ว กำลังจะรีบตามเข้าไป เดือนบอกว่า “พวกเมิง เสียงเงียบไปแล้ว” ทุกคนเลยพยายามปลอบใจตัวเองคิดว่าเดือนหูแว่ว เดือนบอกว่าคอแห้ง จอมจึงกำลังจะเดินไปหยิบน้ำตรงโต๊ะอาจารย์มาให้เดือน ตอนที่จอมกำลังจะเดินไปโต๊ะอาจารย์ อยู่ๆเดือนก็พูดขึ้นเสียงดังว่า “พวกเมิง! ใครหัวเราะวะ? กูได้ยินเสียงหัวเราะ” จอมรีบคว้าน้ำ และกระโดดไปที่หลังห้องไปรวมกลุ่มกับเพื่อนอย่างไว “เฮ้ย อีกแล้วหรอ? เสียงมาจากไหน?” เพื่อนในกลุ่มถาม

เดือนบอกว่าได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะมาจากข้างนอกห้อง ทุกคนหันไปที่ข้างนอกห้อง ตรงประตูห้องดนตรีไทย มีรูกระจกแตกใหญ่มากตรงกลาง เหตุเกิดที่เด็กมอต้นเอาตัวไปชนเมื่อตอนเย็น จึงทำให้ทุกคนเห็นความมืดจากทางเดินข้างนอกห้องผ่านทางรูกระจกแตกนั่น ทันใดนั้น เดือนกรี๊ดเสียงดัง และหลับตา ตัวสั่น และตระโกนเสียงดังว่า “กูเห็นผู้หญิงเอาหัวโผล่เข้ามาจากรูกระจกนั่น ตามันโตมาก มันจ้องหน้ากูด้วย!” ทุกคนอุทานเสียงหลง “เฮ้ยยยยยย!!” และไม่กล้าที่จะหันไปมองรูกระจกใหญ่ตรงกลางประตู ทุกคนนั่งหันหลังให้ประตู และกลัวมากๆ เดือนหลับตาและตัวสั่นบอกไม่กล้าลืมตา และเดือนบอกเสียงดังว่า “กูได้ยินเสียงหัวเราะ ดังจากประตู มันเริ่มใกล้เข้ามาหาพวกเราแล้ว” เดือนได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะลอยเข้ามาจากประตู และค่อยๆดังขึ้นมาหลังห้องที่พวกเขานั่งจุกกันอยู่ เดือนไม่กล้าลืมตา
เพราะถ้าลืมตาต้องเห็นแน่ๆ เพราะสัมผัสได้ว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินเข้ามาในห้อง และเดือนรู้สึกตลอดว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังจ้องนางอยู่

อาการเดือนเริ่มแย่ลง เดือนตัวสั่น และเริ่มนั่งไม่ไหว จึงเอนตัวไปข้างหลังและนอนพิงกับกระเป๋าเป้ ทุกคนช่วยกันดูอาการของเดือน ทุกๆคนเริ่มสติแตก เหมือนจะร้องให้ จอมจึงกำลังจะโทรหาอาจารย์เอ็มอีกครั้ง แต่ในขณะนั้น จอมได้ยินเสียงรถมาจอดข้างล่าง และได้ยินเสียงประตูรถปิด แต่ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินลงจากรถ จอมดีใจตระโกนบอก“พวกเมิง อาจารย์เอ็มมาแล้ว!!!” ทุกคนสะดุ้งตกใจกับเสียงจอม
จอมจึงรีบวิ่งไปที่หน้าต่างเพื่อความอุ่นใจ ทันใดนั้น จอมแทบช็อค เพราะดูด้านล่างไม่มีแม้แต่รถมาจอดสักคัน  เป็นความว่างเปล่า ท่ามกลางความมืดสนิท ทุกคนยืนยันกับจอมว่า ไม่มีใครได้ยินเสียงรถมาจอดเลยสักคน ในตอนนั้นจอมคิดว่าเจอดีเข้าแล้ว ตั้งแต่ที่เห็นผู้ชายยืนในห้องพักครูข้างล่าง จอมรู้สึกขนลุกตั้งแต่หัวจรดเท้า ในขณะนั้น เดือนตัวสั่นขึ้นมาก เดือนยังหลับตาอยู่ ซึ่งไม่กล้าลืมตาและเดือนก็พูดขึ้นว่า “เสียงหัวเราะมันเงียบไปแล้ว มันน่าจะไปแล้ว”

เดือนค่อยๆลืมตาขึ้น เพื่อนๆเห็นเดือนลืมตาขึ้นและเดือนกรี๊ดเสียงดังทันที พร้อมกับรีบลุกขึ้น และพุ่งกระโจนตัววิ่งออกไปข้างนอกห้องดนตรีไทยอย่างไม่คิดชีวิต ทุกคนตกใจมาก และวิ่งตามเดือนออกไปข้างนอกห้องกันทุกคน เดือนเกาะอยู่ตรงระเบียงหน้าห้องดนตรีไทย ตัวสั่นไปหมดทั้งตัว และร้องให้ออกมา ทุกคนวิ่งตามไปยืนกระจุกอยู่กับเดือน ห้องดนตรีไทย ชั้นที่2ของตึกหนึ่ง อยู่ห้องท้ายสุดของตึกนี้ และด้านหน้าห้องดนตรีไทยจะเป็นทางเดินยาวไปจนสุดตึก  มีระเบียงยาวไปจนสุด สุดทางเดินของตึกนี้คือห้องของ ผอ. ซึ่งประตูจะเป็นกระจกทั้งบาน ทุกคนยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินหน้าห้องดนตรีไทย ซึ่งจอมคิดว่ายังอุ่นใจกว่าอยู่ในห้องนั้น  ทันใดนั้น เดือนกรี๊ดอีกรอบ พร้อมสายตาเดือนหันไปมองทางสุดทางเดินของตึก ที่เป็นห้อง ผอ. และเดือนรีบวิ่งลงไปข้างล่างตึก ทุกคนรีบวิ่งตามลงมาข้างล่าง จอมมองตามไปที่ห้อง ผอ. จนสุดตึก ก็ไม่เห็นมีอะไร ทุกคนวิ่งตามมาอยุ่กับเดือน เดือนร้องให้และปากสั่นเหมือนจะพูดไม่ออก ทุกคนพยายามเค้นเดือนว่าเป็นอะไร  จนเดือนเริ่มตั้งสติได้ และเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า

รอบแรกที่นอนกรี๊ดในห้องดนตรีไทย เดือนไม่ได้ยินเสียงหัวเราะแล้ว คิดว่าไปแล้ว จึงลืมตาขึ้นมา
เดือนบอกว่า ตอนลืมตาขึ้นมา เดือนเห็นเด็กผู้หญิงผมยาวยืนคร่อมตรงหัว และก้มหน้ามามองเดือน ดวงตาถลึงโตมาก เดือนจึงรีบวิ่งออกไปข้างนอกห้องแบบไม่คิดชีวิต และตอนกรี๊ดอีกรอบข้างนอกห้อง เดือนเล่าว่า ตอนนั้นไม่กล้าหันไปมองตรงห้องดนตรีไทยในฝั่งที่หนีมา เลยหันไปตรงอีกฝั่งที่เป็นห้อง ผอ. แทน  ในตอนนั้นเดือนเห็นเงาสะท้อนประตูกระจกห้องผอ. เห็นคนแก่ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ใส่ชุดขาวหลายคน ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตามทางเดินระเบียง และเห็นเด็กผู้หญิงยืนตาถลึงอยู่ข้างหลังตัวเอง!!! ทุกคนฟังแล้วแทบช็อค ขนหัวลุกมาก และกลัวมากๆ ในขณะนั้นจอมได้โทรหาอาจารย์เอ็มตลอด
จนอาจารย์เริ่มดุว่าโทรบ่อยเกิน

จนผ่านไปไม่กี่นาที อาจารย์เอ็มก็มาถึง อาจารย์ได้ขับรถเข้ามาข้างใน และจอดที่หน้าตึกตรงที่ทุกคนยืนอยุ่ เห็นทุกคนยืนทำหน้าตื่นตระหนกข้างล่างกัน ทุกคนรีบเล่าให้อาจารย์ฟังจนเสียงตีกัน อาจารย์จึงบอกให้ทุกคนหยุดเพราะฟังไม่รู้เรื่อง จอมจึงเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้อาจารย์เอ็มฟัง ด้วยความที่อาจารย์เชื่อเรื่องนี้ 100 เปอร์เซ็นต์ อาจารย์จึงบอกทุกคนว่าจะพากลับบ้านเลยตอนนี้ อาจารย์รีบเปิดประตูรถ ตอนนั้นอาจารย์มองขึ้นไปด้านบนตรงห้องดนตรีไทย และอาจารย์ตระโกนเสียงดังว่า “พวกเมิงลงมากันหมดแล้วแน่หรอ?!!!” ทุกคนตกใจมาก ยิ่งสถานการณ์ตอนนั้นมันพาไป จอมถามอาจารย์ว่า “ลงมากันหมดแล้วดิอาจารย์!! ก็พวกผมอยู่นี่ทั้งหกคน” อาจารย์เปลี่ยนสีหน้า ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น และบอกว่าต้องขึ้นไปปิดไฟนะ เปิดไว้ไม่ได้ ตอนนั้นที่ทุกคนวิ่งหนีลงมา ไม่มีใครปิดไฟ และทิ้งกระเป๋ากันไว้ข้างบนห้องหมดเลย อาจารย์จึงเดินนำไป ทุกคนเลยเดินตาม ยกเว้นเดือนที่ไม่กล้าขึ้นไป จึงนั่งรอในรถอาจารย์ข้างล่าง โดยมีกิ่งกับเบนอยุ่เป็นเพื่อน ส่วนพวกผู้ชายขึ้นไปข้างบนทั้งหมด จอมเห็นสีหน้าอาจารย์ดูไม่ค่อยสู้ดี แต่เหมือนอาจารย์ข่มความกลัวไว้ พอจอมเข้าไปในห้องดนตรี ทุกคนรีบคว้ากระเป๋าของทุกคน
รวมถึงของ เดือน กิ่ง เบน ไปด้วย และพอกดปุ่มปิดไฟในห้อง ทุกคนวิ่งลงมาข้างล่างแบบไม่คิดชีวิต
รวมถึงอาจารย์เอ็มด้วยที่วิ่งลงมาคนแรก

อาจารย์พาทุกคนขึ้นรถ รถอาจารย์เป็นรถกระบะ ไม่มีแคปที่นั่งหน้า ดังนั้นทุกคนจึงต้องนั่งหลังกระบะ มีแค่เดือนคนเดียวที่นั่งด้านหน้าคนขับกับอาจารย์ อาจารย์รีบขับรถออกมาอย่างไว เพื่อพ้นประตูรั้ว จอมมีหน้าที่ลงมาปิดประตูรั้ว เพราะล็อคกุญแจให้ลุงยาม ในขณะที่จอมกำลังล็อคประตูรั้ว จอมตกใจเสียงแตรรถของอาจารย์ ซึ่งอาจารย์บีบดังมากๆ  จอมจึงรีบวิ่งขึ้นท้ายกระบะ และอาจารย์รีบขับรถออกไป ในขณะที่อยู่บนรถ จอมหันไปมองหน้ารถ เห็นเดือนนั่งร้องให้อยู่ จอมเลยคุยกับทุกคนว่า “เดือนมันเป็นอะไรอีกแล้วว่ะ?” ทุกคนเลยพยายามมองไปที่เดือน เห็นเดือนหันมามองและร้องให้ และสังเกตว่าตัวสั่นเหมือนเดิม ในขณะนั้น อาร์มร้องเสียงดังว่า “ใครมาดึงผมกูวะ?!!!!!!!” ทุกคนที่นั่งหลังกระบะตกใจเสียงอาร์ม ร้องอุทานออกมากันลั่น อาร์มบอกอีกแล้ว เหมือนมีมือมากระตุกปลายผม พอหันไปไม่มีใคร สักพักกระตุกแบบเดิมแต่แรงขึ้น ทุกคนเริ่มกลัวจนตัวสั่น บวกกับอากาศหนาวตอนกลางคืนที่นั่งอยู่ท้ายกระบะ พร้อมลมกลางคืนที่พัดเย็นมาก และบรรยากาศรอบๆเป็นป่า จึงทำให้ทางนั้นเงียบ และไฟถนนส่องแบบสลัวๆ

อาร์มเริ่มจะร้องให้ ทุกคนเริ่มนั่งกระจุกกันที่เดียวกัน อาร์มรีบนั่งเอาหลังพิงตรงด้านหน้าคนขับ และนั่งหลับตา ทุกคนรีบมากระจุกที่อาร์ม ทันใดนั้นกิ่งทักว่า “พวกเมิงได้กลิ่นเหมือนธูปมั๊ยวะ!?” ตอนนั้นจอมกลัวมาก นั่งตัวสั่น เบนจึงตอบกลับว่า “ได้กลิ่น แต่ไม่ใช่กลิ่นธูปวะ เป็นกลิ่นเน่าๆ เหมือน….”  เท่านั้นแหละ ทุกคนเริ่มบอกให้หยุดพูด และเริ่มจะร้องให้กัน  เพราะในท้ายกระบะไม่มีใครได้กลิ่นเลย นอกจากกิ่งและเบนที่ได้กลิ่นกันคนละแบบ ในขณะที่ทุกคนอยู่บนรถ ทุกคนสังเกตว่า อาจารย์ขับรถเลยซอยเข้าบ้านของกิ่ง  ซึ่งบ้านกิ่งเป็นจุดแรกที่ผ่าน ที่อาจารย์จะต้องมาส่งจุดแรก แต่อาจารย์ขับเลยไป และจากนั้น รถอาจารย์ขับไปในทางเข้าตัวเมืองของจังหวัด พอทุกคนเห็นแสงสีเสียงเห็นผู้คนข้างทาง เริ่มที่จะอุ่นใจ  อาจารย์จึงไปจอดรถหน้าเซเว่นก่อนเข้าตัวเมือง และทุกคนรีบวิ่งกรูเข้าไปในเซเว่น และกระจุกอยู่ที่เดียวกัน จากนั้นอาจารย์เอ็มจึงรีบเล่าให้ฟังรัวๆว่า “ในโรงเรียนเมื่อกี๊ ที่กูทักว่า ลงมากันหมดแล้วหรือยัง กูเห็นเด็กผู้หญิง  น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกะพวกเมิง ยืนรำอยู่ตรงหน้าต่างห้องดนตรีไทย!” ทุกคนฟังแล้วขนหัวลุก และอุทาน “เฮ้ยยยย” ขออนุญาตแจ้งนะครับ อาจารย์คนนี้ชอบพูดกูพูดเมิง เป็นภาษาโบราณกับเด็กๆ เพราะเขาสนิทกับเด็กกลุ่มนี้มากครับ

อาจารย์เล่าต่อว่า  “กูเลยพาพวกเมิงรีบออกมาจากตรงนั้น แต่พวกเมิงดันไม่ปิดไฟไง อาจารย์เวรกะ-หัวกูสิ เลยทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้พวกเมิงขึ้นไปปิดไฟ” และอาจารย์เล่าต่อว่า “พอมาถึงหน้ารั้ว ที่กูบีบแตร เมื่อกี้ไอเจ้าเดือน มันตระโกนเสียงดัง บอกกูว่า – อาจารย์ มันตามมา!!!” เดือนนั่งหน้ากับอาจารย์ เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้น เดินตามมากำลังจะมาถึงตรงรั้วที่จอมกำลังล็อคประตูอยู่ จอมฟังแล้วขนลุกมาก เพราะในตอนนั้นจอมยืนอยู่ข้างล่างคนเดียว หารู้ไม่ ว่ามีใครกำลังเดินมาหาตรงนั้น อาจารย์เล่าต่อว่า “ระหว่างทางที่กำลังจะออกรถ ไอเดือนพูดเสียงดังว่า มันนั่งอยุ่หลังกระบะแล้ว นั่งข้างอาร์ม และตาถลึงจ้องมาที่เดือนตลอดเวลา” อาจารย์จึงรีบออกรถ และถามเดือนตลอดทางว่ามันยังตามมาอยุ่ไหม แต่เดือนไม่กล้าหันไป เพราะเดือนพูดอย่างเดียวว่า “มันจ้องตาหนู หนูไม่กล้ากันไปมองหน้ามัน!!”
อาจารย์กลัวมากจนทำอะไรไม่ถูก เลยขับรถพาเข้าเมือง อาจารย์บอกว่า “กูประสาทเสียขนาดนี้ ขับรถพาเข้าเมืองแม่มเลย ไม่กล้าเข้าไปส่งซอยบ้านไอกิ่งตอนนั้น ซอยก็หลอน มีวัดดูร้างๆอยู่ข้างทางด้วย”

อาจารย์ยอมรับว่าที่ขับเข้ามาในเมือง เพราะตอนนั้นกลัวมาก ทำอะไรไม่ถูก จอมเลยเล่าให้อาจารย์ฟังต่อว่า ตอนขับมา อาร์มมีคนมาดึงผม กิ่งกับเบนได้กลิ่นแปลกๆ อาจารย์เลยถามเดือนว่า ยังเห็นมันตามมาอีกไหม เดือนบอกไม่เห็นมาสักพักแล้ว ตั้งแต่เลี้ยวเข้าเมืองมา อาจารย์จึงพูดติดตลกว่า “ผีแม่มสงสัยกลัวแสงสีเสียงแน่เลยวะ พวกเมิงกลับเองละกันนะ 555 ทางเข้าบ้านแต่ละคนแม่มน่ากลัวยิ้ม”  อาจารย์ปล่อยมุข ทุกคนก็เริ่มผ่อนคลาย และเลือกซื้อของในเซเว่น คิดเงิน และขึ้นรถ อาจารย์ก็ขับวนกลับไปเพื่อไปส่งทุกคนที่บ้าน

ในขณะที่ทุกคนอยุ่บนรถอาจารย์ อยู่ๆอาจารย์ก็ขับไปอีกทาง และขับตรงไปที่วัดตรงชานเมือง เป็นวัดที่มีพระอาจารย์จากที่วัดนี้เคยไปสอนที่โรงเรียนผมด้วย ทุกคนเลยงงว่า อ่าว อาจารย์ขับรถมาที่นี่ทำไม จอมเลยสังเกตมองที่เดือนที่นั่งหน้ากับอาจารย์ และแล้วอาการเดิมก็กลับมา คือนั่งตัวสั่นเหมือนเดิม
อาจารย์ขับเข้ามาในเขตวัด ทุกคนรีบลงมาจากรถ เดือนยืนร้องให้อยู่เหมือนเดิม  อาจารย์รีบเข้าไปหาลุงแก่ๆที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งในวัด และอาจารย์ขอพบพระ….. เป็นพระองค์ที่เคยมาโรงเรียนบ่อยๆ และท่านเหมือนจะรับรู้เรื่องลี้ลับ เห็นอาจารย์อ่ำชอบพูดบ่อยๆว่า พระท่านนี้รู้หลายเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนเรา
ในตอนนั้นอาจารย์เอ็มบอกพวกเราว่า “บาปก็บาปวะ มาปลุกพระกลางดึก คือไม่ไหวแล้ว!!” อาจารย์เล่าว่า ตอนขับรถออกมา เดือนกรี๊ดอีกครั้ง และเล่าให้อาจารย์ฟังว่า หันไปมองตรงกระบะหลัง เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นนั่งตรงข้างหน้าทุกคนที่นั่งกระบะหลัง และเอานิ้วชี้มาที่เดือน พร้อมกับถลึงตาใส่ เดือนบอกรอบนี้ไม่เหมือนรอบที่แล้ว เพราะรอบนี้ตาที่ถลึงออกมา มันโตจนเกือบจะถลนออกมานอกเบ้า!! อาจารย์จึงต้องขับมาที่วัด เป็นทางพึ่ง ณ.ตอนนั้น

พระอาจารย์ท่านนี้ลงมาเชิญให้ทุกคนขึ้นไปบนศาลา จอมเล่าว่า ท่านให้ทุกคนสวดมนต์ และท่านนำสายสิญจน์ให้ทุกคนสวม และให้ทุกคนได้น้ำมนตร์ ท่านบอกคร่าวๆว่า ไม่เป็นอะไรหรอก เขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก ท่านหันมามองหน้าเดือนและพูดกับเดือนว่า ครั้งหน้าให้ระวังนะโยม การไม่คิดหรือไม่ได้ตั้งใจ ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ใช่การลบหลู่ ทุกคนงง และพยายามถามท่านว่าท่านรู้อะไรบ้าง แต่ท่านไม่ตอบ และให้ทุกคนสงบสติอารมณ์และกลับบ้าน ทุกคนเลยคุยกับเดือนว่า เมิงไปทำอะไรมาหรือป่าววะ วันนี้ลองคิด แต่ถามเดือนยังไง เดือนก็ไม่ยอมตอบ เดือนเงียบและซึม ไม่พูด และไม่ยอมคุยกับใครเลย ตั้งแต่เข้าวัด

ตอนทุกคนลงมาข้างล่างกำลังจะขึ้นรถ ทุกคนอุ่นใจเพราะมีสายสิญจน์อยุ่กับตัวแล้วทุกคน จอมหันไปมองตรงพระอาจารย์ที่เดินลงมาส่งข้างล่าง จอมเห็นพระอาจารย์ยืนคุยคนเดียวที่หน้าศาลา พร้อมหันมามองพวกจอมที่กำลังเดินกลับไปขึ้นรถ จอมบอกเป็นภาพที่หลอนมาก เหมือนฉากในหนังผีเลย

จอมกับเพื่อนๆขึ้นรถกระบะกลับบ้านกันคืนนั้น ตลอดทางกลับบ้านไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น แต่บรรยากาศพาวังเวง เพราะยิ่งดึก ยิ่งหนาว และยิ่งเงียบ เพราะทางกลับบ้านแต่ละคนอยู่นอกเมืองกันทั้งนั้น จอมเล่าว่า ตอนไปส่งบ้านเดือน เหมือนอาจารย์จะโทรหาพ่อเดือนก่อนว่ากำลังจะถึง พอถึงบ้านเดือน พ่อเดือนมายืนรอรับหน้าบ้าน พอเดือนลงไป เดือนเดินเงียบ ไม่แม้แต่จะหันมาบอกลาเพื่อนๆ และไม่หันมามองรถเลยสักนิด ทุกคนสงสัยและคุยกันตลอดทางว่า เดือนไปทำอะไรไว้วันนี้ ไปลบหลู่อะไรมา ทำไมพระอาจารย์ถึงทักเดือนแปลกๆ และเหมือนเดือนจะรู้ตัว เพราะเดือนไม่ท้วงกลับเลย กลับเงียบนิ่งเฉยอาจารย์เริ่มขับรถส่งทุกคนเกือบครบ บ้านของจอมกับอาร์ม จะอยู่ท้ายๆ แต่บ้านจอมถึงก่อนอาร์ม ตอนทุกคนลงจากรถ บรรยากาศก็เงียบสงัดมาก ซึ่งพอเหลือแค่จอมกับอาร์ม ทั้งสองรีบขอไปนั่งเบียดตรงข้างหน้ากับอาจารย์ เพราะไม่กล้านั่งหลังกันสองคน พอถึงบ้านจอม จอมเล่าว่าลงรถอาจารย์แล้ว
จอมรีบวิ่งไปเคาะประตูบ้าน ซึ่งจอมไม่กล้าหันไปมองหลัง เพราะเหตุการณ์ที่เจอมาวันนี้ ทำให้กลัวไปหมด และคิดไปเองว่ามันตามมาหรือป่าว

จอมเคาะประตูเสียงดังมากๆ รัวๆแรงๆพร้อมตระโกนให้พ่อมาเปิด จนพ่อจอมลงมาพูดเสียงดังว่า
“รู้แล้วๆ เคาะอะไรนักหนาวะ!” พอพ่อจอมเปิดประตู จอมสิ่งขึ้นห้องนอนทันที พร้อมกับนำพระที่มีอยู่แล้วในห้องห้อยคอ และนอนบนเตียงพร้อมคลุมโปง น้ำไม่อาบ นอนสั่นทั้งคืน นี่คือเหตุการณ์ในคืนวันศุกร์ที่จบลง จอมเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้พวกผม ซึ่งพวกผมฟังอยุ่ตรงเกวียน พากันขนหัวลุก และไม่มีทางที่จอมจะโกหกได้ เพราะดูท่าทางจอมเหมือนเพิ่งฟื้นไข้ ดูสั่นๆ ดูเหมือนคนวิตกจริต เป็นเหมือนอาการคนโดนผีหลอกจริงๆ จอมเล่าต่อว่า หลังจากที่กลับมาคืนนั้น วันอาทิตย์กิ่งโทรมาหาจอม บอกว่าเดือนเข้าโรงพยาบาลเป็นไข้จับสั่น ตอนนี้อาการหนักมาก จอมเลยบอกพวกผมว่าเย็นนี้เลิกเรียนจะไปเยี่ยมเดือนกัน และเรื่องก็จบตรงนี้ครับ

เย็นวันนั้นพวกผมหลอนกันมาก เวลากลับบ้านหันไปมองตรงตึกหนึ่ง ห้องดนตรีไทยที่อยู่ท้ายสุด ดูน่ากลัวกว่าทุกครั้งที่มองมา สิ่งที่จอมเล่าติดตามากๆ จนเก็บไปคิด และพวกผมอยากรู้ว่าเดือนไปลบหลู่อะไรไว้ ทำไมวิญญาณเด็กผู้หญิงคนนั้นถึงได้ดูอาฆาตเดือน และที่อาจารย์อ่ำเคยเตือนว่า ถ้าเห็นเด็กผู้หญิงในโรงเรียนหามทักเด็ดขาด หรือว่าเดือนจะเคยไปทัก ซึ่งยังคงเป็นปริศนา เรื่องเล่านี้ถูกเล่าต่อๆกันทั่วโรงเรียน จึงทำให้ห้องดนตรีไทย ดังมากในช่วงนั้นครับ พวกผมจึงสืบกับจอมตลอดอยู่หลายสัปดาห์ และในที่สุดก็รู้แล้วครับ ว่าเดือนไปทำอะไรไว้

หลังจากเดือนออกจากโรงพยาบาล และดีขึ้นแล้ว จอมกับเพื่อนหาจังหวะถามเดือนว่าเกิดอะไรขึ้น
เดือนจึงเล่าว่า ในวันศุกร์ที่เกิดเหตุช่วงเที่ยงๆ หลังจากพักกลางวันเสร็จ เดือนนัดกับรุ่นน้องมอต้นไปเตรียมของในห้องดนตรีไทย เพื่อที่จะขนไปงานตอนเย็นวันนั้น เดือนได้ยินรุ่นน้องคุยกันเรื่องวิญญาณเด็กผู้หญิงในโรงเรียนที่อาจารย์อ่ำบอก ที่เป็นข่าวลือ ด้วยความที่เดือนไม่เชื่อ และคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ จึงไม่สนใจ ตอนที่เดือนเตรียมของเสร็จแล้ว เดือนเห็นพวกรุ่นน้องเล่นผีเหรียญกันท้ายห้อง และไม่ค่อยช่วยเดือนกัน มัวแต่เล่น เดือนจึงหงุดหงิด และคิดจะแกล้งพวกรุ่นน้อง เดือนจึงไปขอเล่นด้วย เดือนเล่าว่า ตลอดเวลาที่เล่น เดือนแกล้งเลื่อนเหรียญเองตลอด และเดือนสร้างเรื่องถามคำถามเป็นตุเป็นตะ ว่ากำลังคุยกับเด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่ เช่น คุณถูกฆ่าที่แม่น้ำหลังโรงเรียนใช่ไหม เดือนก็เป็นคนเลื่อนเหรียญไปที่ ใช่ คุณมาอยู่ที่โรงเรียนนี้ใช่หรือไม่ เดือนก็เลื่อนเหรียญไปที่ ใช่ และเดือนยังสร้างเรื่องหลอกเด็ก เลื่อนเหรียญไปที่ตัวอักษรรวมกัน เป็นคำว่า กูจะตามพวกไปทุกที่ และ กูจะเอาไปอยุ่ด้วย

จนพวกเด็กมอต้นกลัว และเลิกเล่น แบบวงแตก ทำให้เดือนสะใจมากที่แกล้งเด็กพวกนี้ได้สำเร็จ
เดือนเล่าว่า คาบบ่ายวันนั้น ได้กลิ่นฉุนของควันธูปแรงมาก จนถามเพื่อนๆในห้อง เพื่อนๆไม่มีใครได้กลิ่น
เดือนคิดว่าเป็นภูมิแพ้ ที่แพ้ฝุ่น เลยทำให้มีอาการนี้จึงไม่ได้คิดอะไร ตอนเย็นที่กำลังขนของไปขึ้นรถ เดือนกับเพื่อนเข้ามาในห้องดนตรีไทย เพื่อนๆในชมรมพูดกันว่า อาจารย์อ่ำเล่าว่า วิญญาณเด็กผู้หญิงคนนั้น เป็นนางรำมาก่อน เธอจึงชอบมาอยู่ในห้องนี้ มาดูนักเรียนซ้อมรำ หรือเล่นดนตรีไทย เดือนฟังและขำ เลยบอกเพื่อนในชมรมว่า  "ไร้สาระ! ผีอะไรชอบมองคนเล่นดนตรี?  งั้นผีบ้านผีเรือน ผีเจ้าที่ก็ต้องแห่กันมาดูด้วยสิ ไม่ใช่แค่ผีเด็ก" และเดือนเห็นประตูกระจกที่แตกที่เด็กมอต้นไปชน เดือนก็ยังบอกว่า
"อย่าบอกว่า นี่เป็นฝีมือผีอีกสิ?" "ผีไฮเทคมาก ทะลุกระจก ทำเด็กเลือดออก อย่างกับหนังฝรั่ง" เดือนบอกประมาณนี้ จนเพื่อนๆเตือนว่าถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่

จอมเล่าว่า รุ้เรื่องมาเท่านี้ ที่เดือนเล่าให้ฟัง และจอมเล่าเพิ่มเติมว่า ตอนเดือนพักฟื้นที่บ้าน เดือนจะต้องให้แม่มานอนด้วยตลอด เพราะยังขวัญผวาที่เห็นผี คืนแรก เดือนฝันว่า เห็นคนแก่เดินมาถือมีดเข้ามาในห้องนอน เดินมาถามเดือนตรงปลายเตียง ว่า อยากตายไหม? เดือนตอบว่า ไม่อยาก จากนั้น คนแก่เดินเลี้ยวหายไปตรงกำแพง และจากนั้นเห็นคนแก่ถือมีดคนเดิมเดินเข้ามาในห้องนอน เดินตรงมาจากข้างหน้า และถามคำถามเดิม อยากตายไหม? เดือนตอบคำถามเดิมๆว่าไม่อยาก และเดือนก็เห็นคนแก่ถือมีดคนเดิม เดินตรงมาจากข้างหน้า และถามวนแบบนี้อยุ่หลายครั้ง จนเดือนโมโห ตระโกนไปว่า กูไม่อยาก!!
เดือนบอกคนแก่หายไปทันที กลายเป็นผู้ชายตัวดำ ร่างใหญ่ ถือขวาน โผล่ออกมาจากประตู ลำตัวสูงจนติดเพดาน มองเดือนถลึงตาโต ย่ำมาด้วยความเร็ว และจะเอาขวานสับหน้า เดือนตกใจตื่นขึ้นมา แม่เดือนบอกว่า ตอนนอนอยู่ข้างๆ เมื่อกี้เดือนนอนละเมอฮัมเพลงตรงลำคอ เป็นเสียงเอื้อนๆ เหมือนเพลงไทยเดิม แม่มองเดือนอยู่นาน แต่ไม่กล้าปลุก เห็นหลับอยุ่ จนเห็นเดือนสะดุ้งตื่นขึ้นมา

เดือนเล่าต่อว่า คืนที่สอง นอนอยู่ตอนปิดไฟ เดือนตื่นมาตอนดึก แต่คืนนั้นไม่ได้ฝันอะไร แม่เดือนก็นอนอยุ่ข้างๆ เดือนลืมตาเห็น ผู้ชายผมสั้น ยืนหันข้างอยู่ที่ปลายเท้าตรงเตียง ตรงฝั่งซ้าย แต่เดือนเห็นไม่ชัด แต่ดูออกว่าชุดสีขาวทั้งตัว ผมสั้นออกแนวทรงที่คนสมัยนี้ไม่ตัดกัน และมองไม่เห็นหน้า เดือนตกใจมาก เพราะว่าพ่อของเดือนไม่ได้ไว้ผมทรงนั้น รูปร่างก็ไม่ใช่แบบนั้น เดือนพยายามสะกิดแม่ จากนั้นผู้ชายคนนี้ก็ค่อยเลื่อนไปทางขวาช้าๆ และอยู่ๆก็มีผู้ชายคนนี้โผล่มาจากฝั่งขวา กลายเป็นผู้ชายสองตน ที่รุปร่างทุกอย่างเหมือนกันเป๊ะๆ เลื่อนสวนทางกันช้าๆตรงปลายเตียง แต่เดือนมั่นใจว่าไม่ได้เดินแน่นอน แต่เหมือนเขาลอยอยุ่ และเลื่อนไปมาทั้งสองตน เดือนรีบสะกิดแม่ เพราะตอนนั้นอาการเดิมกลับมา คือกลัวมาก และเริ่มสั่น แม่เดือนตื่นมา เดือนเอาหน้ามุดตรงหมอน นอนคว่ำ บอกแม่ให้เปิดไฟให้หน่อย
พอแม่เดือนเปิดไฟ เดือนหันไปมอง ไม่มีอะไรอยุ่ในห้อง เดือนเล่าให้แม่และพ่อฟัง ทุกคนยืนยันว่าในบ้านไม่มีใครเข้ามา จากนั้น แม่ของเดือนเห็นท่าไม่ดี จึงพาไปทำบุญ และไปหาท่านอาจารย์คนหนึ่ง ท่านทักเดือนว่า ช่วงนี้เดือนดวงตกอยุ่แล้ว และยิ่งไปลบหลู่อะไรมา ทำให้เจอวิญญาณ พอเดือนเห็นวิญญาณ และจิตหลุด พอจิตหลุดและยิ่งทำให้ดวงตกเข้าไปอีก จนทำให้เป็นใบเบิกทาง ให้เจ้ากรรมนายเวรตามมาถึงในตอนนี้ เดือนจึงต้องทำบุญครั้งใหญ่ และไปปฏิบัติธรรม ต่อชะตา อะไรประมาณนี้

บทสรุปคือ ผมเห็นเดือนล่าสุด ก็ตอนจะจบมอหก เธอก็ยังปกติดี แต่ทุกครั้งที่ทักเธอ พวกเราจะไม่กล้าคุยเรื่องนี้กับเธอ จะอาศัยผ่านการเล่าของจอมเป็นหลัก ส่วนเรื่องวิญญาณเด็กผู้หญิงคนนั้น พวกผมไม่เคยเจอครับ เป็นเพียงเรื่องเล่าที่ยังเล่าต่อๆกันมาจนถึงทุกวันนี้ จบแล้วครับ ขอบคุณที่ติดตามครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คืนบวงสรวง มหาวิทยาลัยพะเยา

เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาในหลายเรื่อง หลายวาระ แต่ละปีก็จะมีเหตุการณ์ที่แตกต่างกันออกไปบ้าง เสริมจากเรื่องที่เคยได้ยินมาบ้าง เรื่องที่เพื่อนๆ จะได้อ่านกันต่อไปนี้ ต้องขอบอกก่อนว่า “เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม” เราได้รวบรวมมา จากหลายๆ ที่ จะหลอนขนาดไหน ไปสั่นประสาทกันเลย เรื่องมีอยู่ว่า ที่มอเราจะมี 1 คืนที่ต้องเก็บของสีแดงทุกชิ้นเก็บไว้ให้มิดชิด เพราะเชื่อกันว่า คืนนั้นจะเป็นคืนที่กองทัพของพระนเรศวรออกมาเดินผ่านบริเวณหอใน รุ่นพี่ก็เล่าๆ สู่กันฟังบ้างว่าเคยเจอ บ้างก็ว่าเห็นเป็นกองทัพ บ้างก็ว่าได้ยินแต่เสียงคนเดินหลายๆ คนพอออกมาดูก็ไม่เจออะไร จริงๆแล้วเราไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้ เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องเล่าหลอกให้เด็กปี 1 กลัว แต่เมทเราบอกว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เราเลยจำเป็นต้องเก็บเสื้อผ้า เปลี่ยนผ้าปูที่นอน (เพราะเป็นสีแดง) และเก็บกล่องห่อข้าวของเราที่เป็นสีแดงมาจากหลังห้อง พอตะวันตกดินความน่ากลัวมันก็เริ่มขึ้น ปกติแล้วที่หอในจะคึกคักมาก โดยเฉพาะหน้ามินิมาร์ทและลานดาว ที่มักจะมีคู่รักมานั่งคุยกัน มีเพื่อนๆ พี่ๆ ที่มานั่งเล่น หรือคนที่ออกมาซื้อข้าวของเครื่อ...

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ...

โรงหนังผีย่านสมุทรปราการ

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงภาพยนต์แห่งนึงในจังหวัดสมุทรปราการ และเหตุการณ์นี้พึงจะเกิดขึ้นกับคุณโอ๋แบบสดๆร้อนๆ โรงหนังแห่งนี้ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสี่ถึงห้าปีที่แล้ว คนจะเยอะมาก แต่ปัจจุบันโรงหนังแห่งนี้ดูเล็กลงไปเยอะ ถ้าเทียบกับที่อื่นๆในปัจจุบัน จนตอนกลางวันแทบนับคนได้เลย แต่ด้วยความที่คุณโอ๋เป็นคนไม่ค่อยได้ดูหนังอยู่แล้ว พอดีคุณโอ๋ไปบ้านเพื่อน แล้วอยากดูหนังเรื่องนี้อยู่พอดี เพราะเพื่อนเล่าให้ฟัง คุณโอ๋จึงได้เข้าไปซื้อตั๋ว และตั้งใจว่าจะดูก่อนรอบสุดท้าย แต่มันเลยเวลามาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว เลยได้ซื้อตั๋วดูรอบสุดท้ายแทน ประมาณสี่ทุ่ม...คนน้อยมาก คุณโอ๋เลือกนั่งแถวหลังสุด ที่นั่งห้าเอ ก่อนหนังฉายคุณโอ๋ได้เดินเข้าห้องน้ำก่อน ห้องน้ำเก่าและน่ากลัวมาก ใหญ่พอสมควรแต่ไม่มีคนเลย คุณโอ๋เลือกเข้าห้องตรงกลาง พอคุณโอ๋เสร็จกิจและเปิดประตูออกมา พอจะหวังที่กำลังเปิดประตู คุณโอ๋ได้ยินเสียงกดชักโครกของห้องข้างๆ ซึ่งตอนที่คุณโอ๋เดินเข้ามา ทุกห้องจะเปิดประตูหมดและไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลย คุณโอ๋พยายามไม่ใส่ใจ และเดินออกไปซื้อขนม และกลับเข้ามานั่งที่นั่ง มีคนดูน้อยมาก แถวที่คุณโอ๋นั่งจะไม่มีคนนั่งเ...