ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ใครอยุ่ห้องข้างล่าง! บ้านเช่าที่อเมริกา(หลอนจนขนไม่กล้าตั้ง)


สวัสดีค่ะ เรายืมล็อคอินของพี่ที่รู้จักมาเล่าประสบการณ์นะคะ...เนื่องจากเราไม่ได้เป็นสมาชิกพันทิป เราเห็นพี่เขาเคยเล่าเรื่องผีในพันทิป เลยจะให้พี่เขาเล่าแทน แต่พี่เขาให้เรามาพิมพ์เองจะดีกว่าค่ะ เราเริ่มเลยนะคะ

เรื่องที่เราจะเล่าดังต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เริ่มจากเราและเพื่อนสนิทอีกสองคนได้เข้าร่วมโครงการ Work & Travel ที่อเมริกา และเกิดเหตุการณ์ลึกลับที่เราและเพื่อนๆยังหาคำตอบไม่ได้...เรื่องๆมีอยู่ว่า เราและเพื่อนสนิทอีก 2 คน ชื่อ เหมียว และ ป่าน ได้ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ Work & Travel ไปทำงานที่อเมริกาช่วงปิดเทอม และเราได้ไปที่รัฐ Louisiana เมือง New Orleans ที่พักที่นั่นที่เรากับเพื่อนๆอยู่ เป็นที่พักที่พวกเราหาเอง เพราะทางโครงการไม่ได้บังคับว่าจะต้องอยู่ที่พักกับเอเจ่น เราเลยจองที่พักออนไลน์ก่อนเดินทาง ผ่านทางเว็บ craigslist และเราสามคนก็ได้ที่พักที่ถูกมากๆ ตกสัปดาห์ละ $70 ต่อคนต่อสัปดาห์ แชร์กันสามคน อยู่ห้องเดียวกัน มีห้องครัวเล็กๆ พร้อมกับ 1 ห้องนอน และ 1 ห้องน้ำ จะเป็นห้องแชร์กับบ้าน โดยจะมีคนอื่นๆอยู่ด้วยในหลังนั้น แต่จะแบ่งเป็นโซนใครโซนมัน ทางเราได้คุยกับแลนลอร์ด หรือป้าเจ้าของบ้าน เขาดูเฟรนลี่มากๆ และเหมือนดีใจที่เราเลือกไปอยู่กับเขา

วันเดินทางไปถึง พวกเราเรียกแทกซี่จากสนามบินไปที่พักที่นี่ และป้าเจ้าของที่พักก็มารอตามนัดที่หน้าบ้าน ให้กุญแจพวกเราเข้าไปในบ้าน เราสามคนได้ห้องชั้นบน ซึ่งบ้านนี้จะมี 2 ชั้น จากนั้นเราก็เอาของเข้าเก็บและพยายามปรับตัวกับสภาพแวดล้อมต่างๆของบ้าน เรากับเพื่อนๆจะออกไปเดินเล่นในเมือง เวลาที่ลงมาจากตัวบ้าน ห้องข้างล่างที่ป้าแลนลอร์ดบอกมีคนอื่นจะแชร์กับเราด้วย เราไม่เห็นรถคันไหนมาจอดที่นี่เลยสักคัน และห้องทุกห้องก็ปิดประตูหน้าต่างมิดชิด เหมือนห้องเราห้องเดียวที่มีคนอยุ่ในบ้านหลังนี้...ตกกลางคืน ด้วยความที่ Jetlag เรานอนไม่หลับ แต่เพื่อนเราอีกสองคนหลับตั้งแต่หัวค่ำ เราเลยเปิดทีวีดูไปพลางๆ เราได้ยินเสียงห้องข้างล่างบ้านเรา เปิดเพลง จังหวะคล้ายเพลงคนผิวสีแบบโบราณๆ แบบมีเสียงกลอง และได้ยินเสียงคนหัวเราะ เสียงไม่ได้ดังมากขนาดรบกวนเรา แต่เราแปลกใจเพราะเมื่อตอนเย็นที่กลับเข้ามา ไม่มี่วี่แววว่าจะมีรถมาจอด หรือว่าจะมีใครอยู่ห้องข้างล่างเลย เราเลยเปิดหน้าต่างออกมาชะโงกดูข้างล่างว่าเขามีอะไรกัน สรุปมืดมาก ไม่มีเงาสะท้อนว่าห้องข้างล่างเปิดไฟ และไม่มีรถจอดสักคัน มีแต่เสียงแมลงตอนกลางคืนร้องท่ามกลางโพลงหญ้าข้างล่าง

และพอเรากลับเข้ามาในห้อง เสียงเพลงและเสียงพวกคนหัวเราะหายไปแล้ว เหลือแต่ความเงียบสงัด ด้วยความที่เรากลัวผีมาก ตอนนั้นช็อคนิดๆ อาจคิดว่าเป็นเสียงทีวีที่เปิด ก็ไม่ใช่แน่นอน เพราะแน่ใจว่าเสียงที่ได้ยินมันมาจากข้างล่าง คืนนั้นเราเลยรีบนอน และก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนๆฟัง...หลังจากนั้นผ่านไปเกือบจะสัปดาห์ เราก็เทรนงานกับเพื่อนๆจนลงตัว มีเพื่อนชาวอเมริกันที่รุ้จักบ้างแล้ว ชีวิตที่นั่นก็ปกติดี แต่แปลกที่บ้านพักของเรา ไม่มีใครมาอยู่ แชร์ห้องในบ้านพวกเราเลย เคย text ไปถามแลนลอร์ด เขาบอกว่า ปกติจะมีคนมาอยู่ พอช่วง summer นี้ เขาจะกลับ hometown กัน บางคนก็ไปพักพ่อนที่อื่น ลึกๆเราไม่เชื่อ แต่ก็ตอบเขาไปว่าโอเค ในขณะที่เรากับเหมียวกำลังกลับบ้าน ส่วนป่านยังทำงานอยู่ เหมี่ยวเล่าให้เราฟังว่า

“กูฝันร้ายมากมาสองสามคืน กูฝันว่านอนอยู่กับพวกเมิงอยู่ดีๆ และได้ยินเสียงคนเอาอะไรไม่รุ้ลากพื้นจากห้องข้างล่างขึ้นมาข้างบน และประตูห้องเปิด พวกมันเข้ามาในห้อง ใส่หน้ากากสีขาวโครตน่ากลัว ตาดำใหญ่ๆ และปากเบะๆ ชุดคลุมตัวสีขาว มันเข้ามาหลายคน และเอาขวานที่มันลากมา ฟาดใส่หน้าเมิง สับหน้าเมิงกับป่านจนเละ  และพวกมันก็นิ่งละหันมามองหน้ากูทุกตัว และกูขยับตัวไม่ได้ หายใจไม่ออก มันมองกูค้างแบบนั้นสักพัก จนกูตื่นขึ้นมา หอบหายใจเหนื่อยด้วย ภาพติดตามาก แปลกที่กูฝันซ้ำๆแบบนี้มาสองสามคืนแล้ว”

เราฟังที่เพื่อนเล่าก็รู้สึกกลัว แต่คงคิดว่ามันกินมากไป เลยฝันเยอะ เลยบอกเพื่อนว่าอย่าคิดมาก และเราก็แวะไปซื้อของที่ร้านค้าละแวกนั้น ซึ่งลุงคนดำที่เป็นแคชเชียร์ เจอกันทุกวันจนเขาจำได้ และเริ่มคุยถามชีวิตพวกเราว่ามาทำอะไรที่นี่ เราเลยบอกไปว่ามาจากประเทศไทย และมาฝึกงานที่นี่ เขาถามว่าอยู่ละแวกไหน เราเลยบอกพิกัดบ้านไป ลุงเขาทำหน้าแบบตกใจว่า “Seriously? There?” ตกใจว่าทำไมเราถึงไปพักที่นั่น เรากับเหมียวมองหน้ากัน ว่ามันมีอะไรแปลกๆ พอถามลุงว่าทำไม ลุงกลับบอกว่า ให้ไปถามแลนลอร์ดของเราเอง...พอเราเดินออกมาจากร้าน เราหันไปมองลุง สายตาลุงเขามองเรากับเหมียวตลอดเวลา เราเริ่มอยากรู้ แต่ก็ไม่กล้าถามแลนลอร์ด ไม่รู้จะถามอะไร ว่าทำไมลุงในร้านค้าแปลกใจที่เรามาพักที่นี่ ซึ่งใครจะกล้าถาม เพราะเรากับแลนลอร์ดไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น และเขาคิดค่าที่พักที่ถูกมากๆให้เราขนาดนี้ เลยเกรงใจ

ในคืนนั้นหลังจากป่านกลับมาจากที่ทำงาน เรากับเหมียวเล่าให้ป่านฟังเรื่องลุงร้านค้า และเหมียวเล่าเรื่องความฝันซ้ำๆให้ฟัง เราเลยตัดสินใจเล่าเรื่องเสียงที่ได้ยินคืนแรก ป่านทำหน้าช็อคและบอกกับพวกเราว่า“กูกลัวพวกเมิงคิดมาก กูเจอเหมือนกัน เมื่อสองคืนก่อน ที่กูเลิกงานกลับค่ำ กูกำลังเดินขึ้นมาบนบ้าน กูเหลือบไปมองหน้าต่างห้องข้างล่าง กูเห็นเหมือนมีคนยืนหันหลังกันหลายคน เปิดไฟสลัวๆ มองไม่ออกว่าผู้หญิงผู้ชาย กูชะงักเลย กำลังก้าวขาลงบันได และหันไปมองอีกรอบ เจอแต่ความมืดมิด ไม่มีแสงไฟ และไม่มีใครเลย กูเลยรีบวิ่งขึ้นมา แต่ไม่กล้าบอกพวกเมิง กลัวพวกเมิงกลัว และเมื่อคืนกูนอนเล่นมือถืออยุ่ตอนปิดไฟในห้องนอน หางตากูเห็นใครไม่รู้ชะโงกหน้ามามองกูตรงหน้าต่างข้างเตียง พอกูหันไปมอง เหมือนมันหลบไปหลังหน้าต่างอย่างไว กูอาจคิดว่าตาฝาด พอเล่นไปสักๆ มันโผล่มาอีก พอกูมอง มันก็หลบไปอีก กูเลยชะโงกไปดู ไม่มีใคร”

เราฟังแล้วกลัวมาก เพราะหน้าต่างชั้นสอง ไม่มีระเบียง ใครจะชะโงกหน้ามาได้ เพราะข้างล่างตรงนั้นเป็นป่ารก และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนใช้บันไดปีนขึ้นมา เพื่อนเราชะโงกไปมอง มีแต่ความว่างเปล่า เรากับเพื่อนๆพยายามตั้งสติ เพราะกลัวมาก และคงไม่มีใครกล้าอยุ่บ้านคนเดียวต่อจากนี้ไป หลังจากนั้นประมาณสองสัปดาห์ผ่านไป เวลาเราไปทำงาน และเลิกงานก่อนเพื่อนๆ หนึ่งในสามคนของพวกเราจะไม่กลับบ้านก่อนคนเดียว จะนั่งรอเพื่อนที่ร้าน จนกว่าอีกคนจะเลิกงาน และกลับพร้อมกัน จนผู้จัดการและเพื่อนร่วมงานถามว่าทำไมไม่กลับบ้านไปก่อน เราก็บอกไปว่าเหงา เพราะคิดว่าฝรั่งคงคิดว่าเรื่องผีไร้สาระ

จนผ่านไปเป็นอาทิตย์ที่สาม ที่บ้านก็ยังไม่มีเรื่องอะไรใหม่ๆเกิดขึ้น ทุกอย่างปกติจนเราคิดว่าน่าจะโอเคแล้ว วันนั้นเรากับเหมียวและป่านทำงานกะเดียวกัน เราทั้งสามเดินเข้าไปในร้าน และกำลังเขาของเก็บในล็อคเกอร์พนักงาน อยู่ๆเมเนเจอร์เดินมาถามว่า ใครเดินเข้ามาในห้องนี้กับพวกยูด้วย? พวกเราก็งงบอกมีแต่เราสามคน แต่เมเนเจอร์ยืนยันว่าเห็นคนเดินมากับเรา ใส่ชุดคลุมสีขาว และหน้ากากสีขาว with big black eyes ตาสีดำโต เหมียวฟังแล้วขนลุก เพราะเหมือนกับที่เหมียวฝันหลายคืนในอาทิตย์แรกที่มาถึง พวกเราเลยยืนยันว่าไม่มี เมเนเจอร์ก็ยืนยันว่าเห็นจริงๆ เขายังคิดว่าพนักงานคนอื่นในร้านแกล้งด้วย เราสามคนเริ่มกลับมากลัวกันอีกครั้ง

และวันถัดมา เพื่อร่วมงานก็เข้ามาทักในตอนทำงานว่า เมื่อวานเห็นพวกเราที่ท่ารถ ตอนเขาขับรถผ่าน ทำไมเห็นเหมียวแต่งตัวแปลกๆ เราเลยถามว่าแปลกยังไง เขาบอกว่า เหมียวใส่ชุดคลุมสีขาว ดูชุดเก่าๆ เขาจะทักเมื่อวาน แต่ขับรถอยู๋อีกฝั่ง เลยไม่ได้ทัก เราตกใจถามว่าจริงหรอ เขายืนยันว่าจริงๆ เราสามคนเริ่มกลัวมาก เลยตัดสินใจเล่าเรื่องแปลกๆในบ้านให้เพื่อนร่วมงานคนนั้นฟัง ตอนแรกที่ไม่กล้าเล่าเพราะเห็นเขาเป็นฝรั่ง คิดว่าไม่น่าเชื่อเรื่องผี พอเราเล่าเท่านั้น เพื่อนร่วมงานอเมริกันหลายคนมารวมที่โต๊ะเรา เลยมาฟังอย่างตั้งใจ แต่ภาษาเราไม่ได้เก่งขนาดนั้น เลยพยายามเล่าแบบพื้นฐาน ติดๆขัดๆบ้าง แต่พวกเขาเข้าใจ พวกเราฟังเสร็จ เราผิดคาดมาก พวกเรากลัวและบอก It’s so creepy น่ากลัวมาก พวกยูหาที่อยุ่อื่นเถอะ เดี๋ยวไอช่วยหาให้ พวกเราสามคนจึงตัดสินใจจะย้ายที่พัก เลยโทรหาไปแลนลอร์ด ว่าจะขอย้ายออก และขอค่ามัดจำบ้านคืน แต่เรากับเขาตกลงกันไม่ได้ จนทะเลาะกัน เขาบอกกฎคือกฎ และเขาบอกว่าเราอย่ามา bullshi* เรื่องผีไร้สาระในบ้าน เขาบอกมีคนมาอยู๋กับเขาทุกปี ทุกอย่างปกติดี เราเลยคุยกันว่าจะยอมทิ้งค่ามัดจำบ้าน

เพื่อนๆชาวอเมริกันเราหาที่พักในดาวน์ทาวน์ได้ เราไปตกลงกับแลนลอร์ดคนใหม่ สรุปเราได้ที่พักกันคนละ $115 ต่อคนต่อสัปดาห์ แต่ไม่เสียค่ารถ เพราะจากที่พักเดินไปทำงานได้ภายใน 10-15 นาที เราสามคนเลยตลงทันที และจะย้ายเข้าอีกสัปดาห์ เราสามคนโล่งมาก ยังมีเวลาอยู่ในบ้านหลังนั้นอีกประมาณ 5-6 วัน ซึ่งหลังจากที่กลับบ้านวันนั้น เหมียวบอกเรากับป่านว่า รู้สึกแปลกๆ ใจหมองๆ แบบไม่มีความสุข รู้สึกใจหายเหมือนว่ามีคนที่รักตาย เหมียวโทรกลับหาที่บ้านทุกวัน และร้องให้ว่าอยากกลับบ้าน แต่เรากับป่านพยายามปลอบเหมียวว่าเราอุตส่ามาที่นี่แล้ว ได้ที่พักใหม่น่าจะดีขึ้น วันที่สองกับสาม หลังจากนั้น เหมียวดูใจลอย ทำงานแบบผิดพลาดหลายอย่าง จนเมเนเจอร์บ่นและไล่กลับบ้าน แต่เหมียวไม่กล้ากลับ นั่งรอเรากับป่านอยู่ร้านข้างๆติดกับที่ทำงานเรา เรากับป่านเริ่มเป็นห่วงเหมียว และถามว่าเห็นอะไรแปลกๆในบ้านหรือป่าวช่วงนี้ เหมียวบอกไม่เห็น แต่รู้สึกตลอดว่านอนไม่ค่อยหลับ รู้สึกไม่อยากจะทำอะไร อยู่ๆก็จิตตก กินอะไรไม่ลง เหมือนมีเรื่องใหญ่มากเกิดขึ้นตอนนี้ แบบอารมณ์สูญเสียคนใกล้ตัวไป และจะร้องให้ตลอดเวลาเตอนเล่าให้เราฟัง เราเลยคิดกับป่านว่า อาการนี้คือโรคซึมเศร้าแน่ๆ เลยพยายามอยู่กับเหมียว พาออกไปข้างนอก เปิดหูเปิดตา

และจนคืนสุดท้ายที่เราจะย้ายออก อยู่ๆเราได้ยินเสียงเหมียวตระโกนให้ตื่น เรากับป่านตื่นขึ้นมา เห็นเหมียวเอามือถือเปิดไฟฉาย และรีบส่องไปที่ปลายเตียง เราเลยรีบไปเปิดไฟ เหมียวเล่าเสียงสั่นว่า ตอนเรากับป่านนอนอยุ่ เหมียวนอนไม่หลับคืนนี้ กลิ้งไปกลิ้งมา เหมียวมองไปที่ปลายเตียง เห็นชุดคลุมใส่หน้ากากยืนนิ่งหันข้างตรงปลายเตียง แต่เหมียวมองไม่ชัดเพราะมันมืด รู้แต่ชุดคลุมกับหน้ากาก จากนั้นเหมียวหันมามองเรากับป่านเพื่อจะปลุก แต่เหมียวกลัวมาก รู้สึกตัวชา ไม่มีแรงที่จะตระโกนเป็นคำพูดออกมา พอเหมียวหันไปอีกที กลายเป็นชุดคลุมหน้ากากสองคน ยืนคนละฝั่งของปลายเตียง และเลื่อนช้าๆ สลับกันไป ซ้ายขวา เหมียวบอกมันไม่ได้ใช้เท้าเดินแน่ๆ เพราะเห็นเลื่อนสลับไปซ้ายขวา จนเหมียวรวบรวมสติ หันมาปลุกเราสองคน พอเราสองคนตื่น เหมียวรีบหยิบมือถือ เปิดไฟฉาย และส่องไปปลายเตียงทันที แต่ก็ไม่มีอะไร จนเราเปิดไฟ ทุกอย่างในห้องปกติ เรากับป่านกลัวจนขนหัวลุก พยายามปลอบเหมียวว่าอาจเป็นผลข้างเคียงที่เหมียวนอนไม่หลับ เลยเกิดภาพหลอน เพื่อให้เหมียวสบายใจ แต่เหมียวยืนยันว่าเห็นจริงๆ มีสติร้อยเปอร์เซ็นต์ และเหมือนที่เห็นในฝันเลยรูปร่าง แต่ความมืดทำให้เห็นแค่รูปร่างเท่านั้น

รุ่งเช้าพวกเรารีบขนของออกจากที่พัก โดยเรียก Uber มาและใส่กระเป๋าบนรถเพื่อไปที่พักใหม่ จากนั้นพวกเราย้ายไปที่พักใหม่แล้ว เหมียวยังคงรู้สึกเหมือนเดิม คือจิตตก และนอนไม่ค่อยหลับ แต่อาการเหมียวก็ดีขึ้นมาก คือทำงานได้ คุยปกติ แต่แค่ไม่ค่อยร่าเริง เวลาเพื่อนอเมริกันชวนปาร์ตี้พวกเราก็ชวนเหมียวไปปกติ เหมียวก็ไป แต่ไม่กินเหล้า และไม่ค่อยเฮฮากับเพื่อนๆเท่าไหร่ แต่พวกเราไม่เคยเจอเหตุการณ์ประหลาดที่ใหม่อีกเลย

เราอยู่กันมาถึงประมาณเกือบสองเดือน เกือบจะกลับไทยแล้ว เราเห็นป้าแม่บ้านของที่พักเขาเป็น Spanish เลยพูดอังกฤษไม่ค่อยดีมาก แต่สื่อสารได้ เขาอยู่ๆมาทักพวกเราอีกว่า เห็นมาหลายวันแล้ว พวกเราเดินมาและมีคนใส่หน้ากากสีขาวเดินตามมา แต่หยุดที่หน้าประตูทางเข้าตึก เขาเห็นสองถึงสามครั้ง พอหันไปมองคนใส่หน้ากากคนนั้นก็หายไปแล้ว แต่ไม่ได้ทักพวกเรา เขาแปลกใจเลยถามว่าคนนั้นคือใคร? พวกเราฟังแล้วเกิดอาการเดิมคือกลัวอีกแล้ว และเราเลยพารานอย พยายามถามเพื่อนร่วมงานในร้านทุกคน ว่าเห็นคนใส่หน้ากากตามพวกเรามาอีกหรือป่าว แต่ก็ไม่มีใครเห็นอีกแล้ว นอกจากป้าแม่บ้านในที่พักใหม่ เราเลยปรึกษาเพื่อนคนอเมริกันในร้านที่สนิทเหมือนเดิม เพราะเหมียวอาการเหมือนเดิม น่าจะเป็นสาเหตุมาจากบ้านหลังเดิม เขาเลยตัดสินใจจะพาไปที่โบสถ์ประจำของเขา เพื่อไปหาบาทหลวง แต่เราบอกเขาว่าเราเป็นพุทธ เขาบอกว่าผีที่นี่ไม่น่าจะเข้าใจในศาสนาของพวกยูหรอก เราฟังก็ขำ เพราะผีที่นั่นไม่รู้จักพระ จริงอย่างที่เขาว่า

แต่เหมียวไม่ยอมไป เหมียวบอกว่ากลัว เราเลยไม่ได้พาเหมียวไปตามที่เขาแนะนำ หลังจากเข้าสุ่เดือนที่สาม เป็นช่วงที่เราเริ่มจะลาจากเพื่อนๆอเมริกันที่โน่นเพื่อจะกลับไทย เราก็ม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรอีกเลย เจอแม่บ้านที่พักใหม่ เคยถามเขาหลังๆว่าเห็นคนตามมาป่าว เขาบอกไม่เห็นแล้ว เราเลยคิดว่าปกติแล้ว เพราะเหมียวอาการเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นปกติ อีกสามคืนก่อนออกจากเมืองนี้เพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวที่รัฐอื่นก่อนกลับไทย เพื่อนคนอเมริกันพาไปกินเลี้ยงส่งที่ร้านท้ายเมือง ซึ่งอยู๋ไม่ไกลจากบ้านเก่าที่เราไปมากนัก ในขณะที่กินเลี้ยงกัน อำลากัน ร้องให้กอดกันตอนนั้น เราได้เจอพนักงานเสริ์ฟในร้าน เขาเฟรนลี่มาก ช่วงดึกๆไม่มีคน เขามานั่งดริ๊งกับพวกเราด้วย คุยไปคุยมา เพื่อนอเมริกันให้เราเล่าเรื่องบ้านผีสิงให้เด็กเสิร์ฟคนนั้นฟัง เราเลยเล่า เด็กเสริ์ฟคนนั้นทำหน้าตกใจ ถามว่าบ้านไหน เราบอกพิกัดบ้านไป นางทำหน้าตกใจมาก บอกว่า เขายังเปิดให้เข้าไปพักอีกหรอ? ถามเราว่าติดต่อมาจากไหน เราบอกว่าติดต่อผ่านเว็บ craigslist นางเลยบอกว่า นางรู้เรื่องประวัติที่บ้านนั้น และเริ่มเล่าให้พวกเราฟังว่า

บ้านหลังนั้นไม่เคยมีคนมาอยู่มาเป็นปีแล้ว มีกลุ่มเรากลุ่มแรกที่เข้าไปอยู่ในรอบปีเลย และคนที่มาอยู่จะอยุ่ไม่นาน ได้ข่าวว่ามีปัญหากับแลนลอร์ดที่นั่นทุกราย ในประวัติที่เขาเล่ากันมา ในแถบบ้านหลังนั้นสมัยก่อน เป็นชุมชนพวกลัทธิวูดู และบ้านหลังนั้นเป็นศูนย์กลางพิธี จับผู้หญิงมาบูชายัณเพื่อฆ่าในสมัยก่อน แต่ลัทธินี้โดนล้มไปตามยุคตามสมัย แต่เหตุการณ์ประหลาดในละแวกนั้นคือ บ้านพากันร้างในแถบนั้น คนอยู่ไม่นาน และเกิดเหตุสยองในบ้านพักเรา คือเขาบอกประมาณยุค 60’s มีคนมาเช่าบ้านหลังนั้นอยู่หลายปี อยู่ห้องชั้นบนชั้นเดียวกับพวกเราที่เคยอยู่ เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว และอยู่แค่ห้องเดียวด้านบนเหมือนพวกเรา และอยู่ๆผู้หญิงคนนั้นหายตัวไป ไม่ไปทำงาน ไม่ติดต่อญาติๆ ทุกคนสงสัย เลยไปดูที่บ้าน พบว่าห้องชั้นบนไม่ได้ล็อค ของอยู่ครบ แต่คนไม่อยู่ แต่พวกเขาได้กลิ่นเหม็นเน่าลอยมาจากห้องชั้นล่าง เขาเลยเปิดประตูเข้าไปที่ห้องชั้นล่าง พบศพผู้หญิงคนนั้นที่ทุกคนตามหา นอนอยู่ห้องข้างล่าง!

เขาบอกสภาพศพคือเอาหัวกระแทกกลับผนังห้อง เพราะมีรอยเลือดตรงผนังห้อง กระแทกจนสมองไหล และศพอืดนอนเละมาหลายวัน! เขาเล่าว่า ตำรวจพยายามหาคนร้าย แต่งงว่าคนร้ายฆ่าทำไม และข้าวของก็ไม่ได้หาย และทำไมถึงฆ่า แต่คนในละแวกนั้นบอกกันว่า เป็นวิญญาณหรือซาตานเกี่ยวกับพิธีบูชายัณที่เอาชีวิตผู้หญิงคนนั้นไป เราฟังแล้วช๊อคมาก รุ้สึกเชื่อทุกคำที่เขาเล่า และรุ้สึกโชคดีที่ตัดสินใจย้ายออกมา เราเลยถามเขาว่ารู้จักแลนลอร์ดบ้านหลังนั้นหรือป่าว เด็กเสริฟ์ตอบกลับมาว่ารู้จัก แต่ไม่ค่อยได้คุยเท่าไหร่ เขาเป็นลูกหลานของคนดูแลที่พักในละแวกนั้นที่รับช่วงต่อ แต่เขาก็มีธุรกิจอื่นๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะเปิดที่พักนี้ให้คนอื่นๆเช่าอีก เรากลับมาคิดกันว่า มีเหมียวคนเดียวที่เห็นหน้ากากนั่นในฝัน และจะโดนหนักอยู่คนเดียว หรือว่าเหมียวคือคนที่พวกวิญญาณลัทธินั้นเลือก?! เราคุยกันและกลัวกันมากๆ

หลังจากคืนนั้นผ่านไป พวกเราก็ไปเที่ยวรัฐอื่นปกติแบบไม่ได้คิดอะไร และก็กลับไทยมาโดยสวัสดิภาพ
จนผ่านมาประมาณ 3 เดือนกว่าๆ อันนี้เราไม่รู้นะว่ามันใช่หรือป่าว เรากับเหมียวและป่าน อยู่หอพักที่มหาลัยด้วยกันทั้งสามคนอยู่แล้ว คืนนั้นเหมียวกับป่านทำกิจกรรมมืด และเราเลิกก่อน เลยว่าจะตามไปเจอร้านข้าวข้างล่างตอนเสร็จกิจกรรม เหมียวกับป่านเสร็จนานแล้วและรอเราอยู่ร้านข้าว แต่เราติดซีรี่ย์ดูเพลินเลยช้า บอกพวกนางว่ากำลังจะลงไปแล้วจริงๆ แต่พวกนางบอกไม่เชื่อ เพิ่งปิดคอมละสิ เราเลยถ่ายรูปตอนปิดไฟ กำลังปิดประตูห้องให้ดูว่าเนี่ย ลงไปแล้วจริงๆ และส่งรูปไปทางไลน์ ตอนเราลงไปถึง เมียวกับป่านทำหน้าตกใจ บอกดูในรูปที่เมิงส่งมาดิ เราเลยลองสังเกตดู ตรงระเบียง!

เราซูมเข้าไป เป็นเงาหน้ากากสีขาว เหมียวบอกเราเสียงสั่นว่า แบบนี้เลยที่เห็นในฝัน!!!!! เราสามคนรีบวิ่งขึ้นห้อง และเปิดไปดู ไม่มีอะไรตรงระเบียง ถ่ายรูปซ้ำที่เดิมก็ไม่มีรูปหน้ากากแบบเดิมอีกแล้ว เราเอารูปนี้ให้เพื่อนคนอื่นๆดู ทุกคนยืนยันว่าเป็นแสงเฉยๆที่กระทบเลยเกิดรูปร่าง เราก็คิดว่าเป็นแสงที่ทำให้เกิดรูปร่างนี้ พยายามบอกเหมียว แต่เหมียวยืนยันว่าหน้ากากแบบนี้เลยที่เห็นในความฝัน! แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่เราก็ไม่เคยเจออะไรอีกเลย แต่เรายังแปลกใจกับรูป ว่าถ้าเป็นแสงสะท้อนจริงๆ ทำไมถึงบังเอิญเหมือนกับหน้ากากที่เหมียวเห็นในความฝันตอนนั้น!...เรื่องมีอยู่เท่านี้ ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ

ขอบคุณและเข้าไปดูรูปได้ที่ https://pantip.com/topic/37154589

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

คืนบวงสรวง มหาวิทยาลัยพะเยา

เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาในหลายเรื่อง หลายวาระ แต่ละปีก็จะมีเหตุการณ์ที่แตกต่างกันออกไปบ้าง เสริมจากเรื่องที่เคยได้ยินมาบ้าง เรื่องที่เพื่อนๆ จะได้อ่านกันต่อไปนี้ ต้องขอบอกก่อนว่า “เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม” เราได้รวบรวมมา จากหลายๆ ที่ จะหลอนขนาดไหน ไปสั่นประสาทกันเลย เรื่องมีอยู่ว่า ที่มอเราจะมี 1 คืนที่ต้องเก็บของสีแดงทุกชิ้นเก็บไว้ให้มิดชิด เพราะเชื่อกันว่า คืนนั้นจะเป็นคืนที่กองทัพของพระนเรศวรออกมาเดินผ่านบริเวณหอใน รุ่นพี่ก็เล่าๆ สู่กันฟังบ้างว่าเคยเจอ บ้างก็ว่าเห็นเป็นกองทัพ บ้างก็ว่าได้ยินแต่เสียงคนเดินหลายๆ คนพอออกมาดูก็ไม่เจออะไร จริงๆแล้วเราไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้ เพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องเล่าหลอกให้เด็กปี 1 กลัว แต่เมทเราบอกว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ เราเลยจำเป็นต้องเก็บเสื้อผ้า เปลี่ยนผ้าปูที่นอน (เพราะเป็นสีแดง) และเก็บกล่องห่อข้าวของเราที่เป็นสีแดงมาจากหลังห้อง พอตะวันตกดินความน่ากลัวมันก็เริ่มขึ้น ปกติแล้วที่หอในจะคึกคักมาก โดยเฉพาะหน้ามินิมาร์ทและลานดาว ที่มักจะมีคู่รักมานั่งคุยกัน มีเพื่อนๆ พี่ๆ ที่มานั่งเล่น หรือคนที่ออกมาซื้อข้าวของเครื่อ...

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ...

โรงหนังผีย่านสมุทรปราการ

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นที่โรงภาพยนต์แห่งนึงในจังหวัดสมุทรปราการ และเหตุการณ์นี้พึงจะเกิดขึ้นกับคุณโอ๋แบบสดๆร้อนๆ โรงหนังแห่งนี้ ถ้าย้อนกลับไปเมื่อสี่ถึงห้าปีที่แล้ว คนจะเยอะมาก แต่ปัจจุบันโรงหนังแห่งนี้ดูเล็กลงไปเยอะ ถ้าเทียบกับที่อื่นๆในปัจจุบัน จนตอนกลางวันแทบนับคนได้เลย แต่ด้วยความที่คุณโอ๋เป็นคนไม่ค่อยได้ดูหนังอยู่แล้ว พอดีคุณโอ๋ไปบ้านเพื่อน แล้วอยากดูหนังเรื่องนี้อยู่พอดี เพราะเพื่อนเล่าให้ฟัง คุณโอ๋จึงได้เข้าไปซื้อตั๋ว และตั้งใจว่าจะดูก่อนรอบสุดท้าย แต่มันเลยเวลามาประมาณครึ่งชั่วโมงแล้ว เลยได้ซื้อตั๋วดูรอบสุดท้ายแทน ประมาณสี่ทุ่ม...คนน้อยมาก คุณโอ๋เลือกนั่งแถวหลังสุด ที่นั่งห้าเอ ก่อนหนังฉายคุณโอ๋ได้เดินเข้าห้องน้ำก่อน ห้องน้ำเก่าและน่ากลัวมาก ใหญ่พอสมควรแต่ไม่มีคนเลย คุณโอ๋เลือกเข้าห้องตรงกลาง พอคุณโอ๋เสร็จกิจและเปิดประตูออกมา พอจะหวังที่กำลังเปิดประตู คุณโอ๋ได้ยินเสียงกดชักโครกของห้องข้างๆ ซึ่งตอนที่คุณโอ๋เดินเข้ามา ทุกห้องจะเปิดประตูหมดและไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเลย คุณโอ๋พยายามไม่ใส่ใจ และเดินออกไปซื้อขนม และกลับเข้ามานั่งที่นั่ง มีคนดูน้อยมาก แถวที่คุณโอ๋นั่งจะไม่มีคนนั่งเ...