ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เรื่องเล่า..จากทางหลวง (สายเอเซีย ชะอวด-พัทลุง-หาดใหญ่) PANTIP


เมื่อช่วงเดือนสิบที่ผ่านมา  ดิฉันกลับบ้านที่พัทลุง  ตามประเพณีปฏิบัติของลูกหลานชาวใต้  เพื่อไปทำบุญส่งตา-ยาย ที่บ้าน  สำหรับคนใต้  ในช่วงสารทเดือน10นั้น  ก็เหมือนวันพบญาติกลายๆ   พอเจอกัน  ได้รวมญาติกัน  ก็มีเรื่องราวให้ต้องคุยกันมากมาย   และก็รวมถึงเรื่องผีสางด้วย   เพราะเรื่องส่งตา-ยาย ก็เกี่ยวกับผีสาง  เลยไม่แคล้วที่จะวกไปคุยเรื่องนั้นกัน  ส่วนตัวของดิฉันเองนั้น   ญาติๆรู้อยู่แล้วว่าดิฉันสัมผัสอะไรแบบนั้นได้  เขาเลยไม่ค่อยมาเซ้าซี้ถามเรื่องผีกับดิฉันมากนัก 
การเล่าในครั้งนั้น  ที่ญาติๆดิฉันสนใจ  เป็นการเล่าให้ฟังจากลูกพี่ลูกน้องของดิฉัน  คือ พี่จิน  พี่แกไม่ได้เป็นคนมีสัมผัสอะไรหรอก   ออกจะแนวๆไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้มาแต่เดิมด้วยซ้ำ  แต่หลังๆ แกก็เหมือนแบ่งรับแบ่งสู้ว่ามันมีจริงๆ เพราะพี่จินแกเจอมากับตัว   พี่จินแกก็นั่งเล่าให้ฟังไม่ยาวมาก  แต่ละเรื่องก็สั้นๆนะ  แต่ก็ทำแกมึนตึ้บจนบัดนี้ ว่าที่แกเจอถ้าไม่ใช่ผีแล้วคืออะไร

พี่จิน บ้านแกอยู่ชะอวด  จ.นครศรีธรรมราช   เอาจริงๆก็ไม่ไกลจากบ้านดิฉันเท่าไหร่  เพราะแค่ข้ามคลองไป ก็เป็นดินแดนนครแล้ว   พี่จินอายุเกือบๆ30  แกทำงานอยู่ที่โรงงานแห่งนึง  ในหาดใหญ่ แกมีคู่หูคือ พี่บ่าว ก็ไปทำงานโรงงานเดียวกัน  สำคัญคือ ทั้งคู่เนี่ย  ชอบการขับมอเตอร์ไซค์มาก พี่จินขี่เวฟ  พี่บ่าวขี่ฟีโน่

พี่จินกับพี่บ่าว  เช่าห้องอยู่ที่หาดใหญ่  แต่พอวันศุกร์เลิกงานเย็น ก็จะพากันขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านที่พัทลุงเพราะหยุดเสาร์-อาทิตย์  พอเย็นวันอาทิตย์  ทั้งคู่ก็จะบึ่งมอไซค์กลับสงขลา   แล้วชอบขับไปกลับแบบนี้เย็นๆค่ำๆตลอด พี่จินก็บอกว่า  ที่ชอบขับกลางคืน  เพราะอากาศมันไม่ร้อนดี  ส่วนเรื่องยางรั่วยางแบนตัดปัญหาไปได้เลยเพราะพี่จินแกเป็นช่างเก่า   เรื่องปะยางรถ แกถนัด พอขับไปกลับตอนกลางคืนตลอด  แกกับพี่บ่าวเลยได้เจออะไรแปลกๆระหว่างการเดินทางเยอะ  ดิฉันจึงฟังแกเล่าแล้วนำมาเล่าต่อสู่กันฟังค่ะ  สถานที่คือ ทางหลวงเอเซียสายหลัก เส้น พัทลุง ลงไป หาดใหญ่ ค่ะ


เรื่องแรก...ศาลาขาวข้างทาง
พี่จินเล่าว่า  วันนั้นฝนพรำๆทั้งวัน  เป็นเย็นวันอาทิตย์  พี่จินกับพี่บ่าวก็ออกจากชะอวดตอนเกือบๆทุ่ม จะลงไปสงขลา เพื่อทำงานในวันจันทร์  ฝนไม่ได้ตกหนักนะ  แต่ตกเรื่อยๆ   พี่แกก็ขับแบบเรื่อยๆตามกันไป   ไม่รีบร้อน   เพราะถนนลื่น และรถใหญ่เยอะ   พอเลย4แยกนาโหนดไป สักพัก  ก็เข้าสู่ทางค่อนข้างเปลี่ยว  แล้วฝนเทหนักลงมา หนักชนิดที่ว่าทั้งลมทั้งความแรงของเม็ดฝน  ทำพี่จินเกิดอาการตัวรถโบกส่ายตามแรงปะทะ  จนต้องลดความเร็วลง พี่จินจำไม่ได้ว่า ตรงนั้นเขาเรียกว่าอะไร  แต่พอเลยโค้งไป จะเป็นทางตรง  แต่ไม่มีบ้านคนเลย  และเพราะพายุฝนที่ลงหนักจนรถเซ  พี่จินเลยชะลอรถ ให้พี่บ่าวขับมาจอดเทียบ 

พี่จิน แกเห็นศาลาข้างทางสีขาวลางๆ ในความมืดเปลี่ยว  แกเลยชวนพี่บ่าว  เข้าไปหลบพายุฝนให้เบาลงก่อนดีกว่า ก็เลยพากันขับเข้าไปจอด   พี่จินว่าศาลาหลังนั้น  ดูสวยงาม  ผิดแปลกศาลาข้างทางทั่วไป  ที่มักจะเป็นหลังคาสังกะสีเหลืองๆ  อันนี้ดูลักษณะเป็นศาลาหน้าจั่วทรงไทย สีขาวนวล  ( ใครไปสงขลาจากพัทลุงขาลง  คงเคยเห็น) แกก็พากันจอดรถ แล้วไปนั่งหลบฝนกัน  ก็นั่งสูบบุหรี่แก้หนาวกันอยู่มืดๆนั่นแหละ  รถบนถนนก็วิ่งผ่านไปมา  ก็นั่งกันอยู่2คน ก็นั่งคุยกันเบาๆนะ  ฝนก็เทกระหน่ำหนักไม่หยุดเลยตอนนั้น  ทั้งฝนทั้งลม  ก็นั่งหนาวกันไป พอผ่านไปสัก15นาทีได้  มัวแต่นั่งคุยกันเพลิน  อยู่ๆพี่บ่าวแกก็สะกิดบอกพี่จินเบาๆว่า “จินๆ นั้นใครมานั่งตอนไหนวะ”

พี่จินแกหันหลังอยู่ ก็เลยหันไปมอง  แกว่า ก็เห็นใครไม่รู้  มานั่งเงาดำตะคุ่ม  อยู่อีกมุมนึงของศาลา  ศาลามันก็กว้างพอตัว  แกว่าแกก็ชะงักนะ เพราะตกใจ  จำได้ว่าตอนเข้ามาจอด  ไม่เห็นว่ามีใครนั่งอยู่  แล้วอยู่ๆโผล่มาจากไหน  โดยที่พวกแกไม่รู้ตัว  หรือว่าเดินมา  ก็ไม่น่าใช่  ทางมันมืดแล้วเปลี่ยวมาก ไม่มีบ้านคนเลยแถวนั้น ...พี่จินแกเลยตะโกนทักไป... “ มาแต่ไหนเล่า   มานั่งด้วยกันต่ะ  สูบยาสูบแก้หนาวด้วยกันหม้าย” ก็ไม่มีเสียงตอบมา   แกสองคนก็นั่งมองไม่วางตาเหมือนกัน  แกว่าเงาที่นั่งนั้น  ดูยังไง ยังไง ก็ร่างคนชายแน่ๆ แกกับพี่บ่าวก็นั่งกระซิบกระซาบกันแหละว่า ใครวะ  มาตอนไหน   จะเข้าไปใกล้ๆก็กลัว  เพราะไม่รู้ว่าเป็นใคร แกมากันสองคนก็จริง  แต่ไม่ได้มีอาวุธอะไรติดตัว  นอกจากกุญแจล็อคล้อมอไซค์  ที่พอจะใช้ฟาดได้บ้าง

แกว่าพอลังเลว่าจะเอาไงดี  ไอ่เงาคนที่ว่า ก็เริ่มส่งเสียงนะ แบบได้ยินกันทั้งคู่เลย  เป็นเสียงร้องไห้โหยหวนเลย แกว่า  มันร้องประมาณนี้   ฮืออออออออ หึด  ฮืออออออออออออ เฮออออออ แข่งกับสายฝน   เสียงผู้ชายชัดๆเลย พี่บ่าวก็ใจกล้า  ตะโกนถามเลย “ร้องไซรหล๊าวเติ้ล  (ร้องทำไมคุณ)  มีไหรกะบอกผ๊มสองคนได้นะ” ก็ไม่ตอบนะ  ทีนี้มีรถสิบล้อคันนึง  วิ่งสาดไฟเข้ามาจอด พี่บ่าวกับพี่จินก็ละสายตาหันไปมอง  พอเข้ามาจอด คนบนรถลงมา  ก็มากันสองคน  พอพี่บ่าวหันไปมองตรงจุดที่มีคนนั่งร้องไห้เมื่อกี้ ก็ไม่มีใครแล้ว ส่วนคนสิบล้อพอเห็นพี่บ่าวกับพี่จินนั่งสูบบุหรี่  ก็เข้ามาคุยมาขอบุหรี่สูบ
(คือคนใต้จะมีความพิเศษอยู่อย่างนึงในหมู่ลูกผู้ชายคือ  ต่อให้ไม่รู้จักกัน  ถ้าแหลงใต้มาคุยมาทัก   มาขอบุหรี่นี้ มิตรภาพเกิดทันทีเลย  คุยกันได้หน้าตาเฉยเหมือนรู้จักกันแบบนั้นแหละ)

พี่จินกับพี่บ่าว เลยได้สองบ่าวรถสิบล้อ เป็นเพื่อนคุย  พอคุยๆกัน พี่จินแกก็เล่าให้ฟังว่า  เมื่อกี้มีคนนั่งตรงนี้คนนึง (แกชี้ไปตรงมุมเสานั้นแหละ) แต่พอพวกสิบล้อเข้ามา หายไปไหนไม่รู้ ไวจริงๆ เมื่อกี้ยังนั่งร้องไห้อยู่เลย พอพวกสิบล้อได้รู้  ก็แบบ ห๊า!!  ไปๆ ไปกันเถอะโดนแล้วนั่นเติ้ล2คน  ก็ว่าจะมานั่งพักสักแปป  หาที่อื่นนั่งดีกว่า พี่จินก็งงสิ  ถามไปว่า  โดนอะไร  พวกสิบล้อก็ว่า  ศาลานี้  เคยมีสิบล้อเข้ามาจอดนอนพัก  พอตอนเช้ามีคนมาเจอคนขับโดนยิงตาย   มีแต่พวกสิบล้อลือกัน ว่าเจอผีสิบล้อที่ตาย  อยู่ศาลานี้  เขาไม่เชื่อเพราะไม่เคยเจอ  เลยจะเข้ามานั่งพัก  พอมารู้จากพี่จิน ว่าพึ่งเห็นคนมานั่งร้องไห้  พวกสิบล้อนั้นก็เลยพากันขึ้นรถขับออกไปเลย  คงเพราะกลัว

พี่จินกับพี่บ่าว พอเห็นสิบล้อสองคนรีบออกรถ ก็กลัวไปด้วย  ว่าใช่แน่ๆ  เลยรีบใส่เสื้อกันฝนแล้วรีบพากันบิดรถออกมาเลย  ทั้งๆที่ฝันยังตกหนักนั่นแหละ แกไม่กล้ารอแล้ว  เลยพากันไปนั่งศาลาถัดไปแทน   ทุกวันนี้ หากใครเดินทางขับรถไปสงขลาจากพัทลุง  สังเกตซ้ายมือดีๆ เมื่อผ่านสี่แยกนาโหนดไปแล้ว จะเจอศาลาสีขาวที่ว่าอยู่ค่ะ  เชิญไปนั่งพักกันได้ตามสะดวกเลย   แต่กลางคืนจะเปลี่ยวและมืดมากๆ  น่ากลัวที่สุด

เรื่องที่2   บางกล่ำ
บางกล่ำ  เป็น อำเภอหนึ่งของสงขลาค่ะ  ตัวอำเภออยู่ด้านใน ห่างจากถนนเอเชียค่อนข้างเยอะ   ด้านที่ถนนหลวงตัดผ่านนั้น อุดมไปด้วยความเปลี่ยวและวังเวงมากๆยามค่ำคืน  เพราะตัดผ่านไปบนเนินเขา  ที่อุดมด้วยต้นยาง และต้นไม้ ถ้ามารถยนต์ก็คงจะไม่ค่อยอินเท่าไหร่  แต่ลองขับมอเตอร์ไซค์ผ่านช่วง บางกล่ำตอนมืดๆดึกๆ ดูสักที อาจจะซึ้งใจ

พี่จินเล่าว่า   วันนั้นที่ลงไปสงขลา  แกลงไปกันดึกมากแล้ว  เพราะติดธุระ  ออกจากชะอวด ก็3ทุ่มกว่าๆ ไปกัน2คัน2คนเหมือนปกติ  หลายๆคนอาจจะสงสัย  ว่าทำไมพี่แกไม่นั่งไปด้วยกันให้รู้แล้วรู้รอด   พี่จินแกเคยบอกเอาไว้ว่า  ที่ต้องไป2คัน2คน เพราะเดินทางกลางคืน  เรื่องยางรั่วมันปะได้  แต่เผื่อเกิดฉุกเฉินรถใครเสีย  ก็จะใช้อีกคันลากไป  คือแกก็รอบคอบนะ พี่จินว่า ไปถึง4แยกคูหา  ที่ อำเภอรัตภูมิ ก็ปาเข้าไป5ทุ่มได้  อากาศเย็นสบายดี  แกก็จอดกินก๋วยเตี๋ยวที่4แยกคูหาก่อน เอาแรง  เพราะเป็นจุดสุดท้ายแล้วก่อนถึงหาดใหญ่ที่มีความเจริญ  หลังจากนั้นลงไป มันจะมืดและเปลี่ยวมาก แล้วทางหลวงช่วงบางกล่ำนั้น ขึ้นชื่อมาก เรื่องโจรขับมอเตอร์ไซค์ประกบ แล้วถีบรถ เอาปืนจี้ชิงทรัพย์  เป็นข่าวอยู่บ่อยครั้ง

เคยมีรุ่นพี่ชาวพัทลุงคนหนึ่งที่ดิฉันรู้จัก เป็นผู้หญิงทะเลาะกับแฟน  แฟนไล่ออกจากห้อง เลยน้อยใจขับรถมอเตอร์ไซค์ จากหาดใหญ่  จะกลับบ้านพ่อแม่ที่พัทลุงตอนดึกแล้ว  ไม่รู้พี่แกนึกยังไง  คงเพราะน้อยใจมาก  และไม่อยากให้แฟนตามเจอง่ายๆ ก็ไปคนเดียวทั้งที่ดึกแล้ว   พอไปถึงทางเปลี่ยวช่วงบางกล่ำ  พี่แกก็โดนโจร3คน ขี่มอเตอร์ไซค์ประกบ   เอาปืนจี้ให้จอด  พอจอด พวกโจรไม่เอาเงินนะพอเห็นเป็นหญิง  แต่พาเข้าไปในป่ายางแล้วรุมข่มขืนแล้วปล่อยไป  นี่คือความน่ากลัวของเส้นทางเส้นนี้

พี่จินกับพี่บ่าวเอง  แกก็พอรู้ข่าวคราว  เรื่องพวกโจรที่ชอบออกมาดักปล้น  แกก็เตรียมพร้อมเหมือนกัน  คือเอากุญแจล็อคล้อรถอันใหญ่ๆมาห้อยแฮนด์รถไว้   แกว่าถ้าเจอการประกบ  อย่างน้อยๆ แกจะเหวี่ยงกุญแจใส่หน้าโจรให้เสียหลัก แล้วแกจะรีบบิดหนี   นี่คือวิธีที่แกพอจะทำได้โดยไม่ต้องพกอาวุธให้เป็นการผิดกฎหมาย แกว่าตอนนั้นถนนค่อนข้างโล่ง  มีรถใหญ่วิ่งประปราย  และแต่ละคันก็ใช้ความเร็วสูง  แกก็ขับไปตามปกติ  จนมาถึงช่วงนึง  เป็นทางตรง และมืดสุดๆ  ทั้งต้นไม้ข้างทางและต้นไม้ในเกาะกลางถนน ก็ต้นสูงใหญ่มากๆ  มองเผินๆ เหมือนกำลังขับรถเข้าไปในอุโมงค์ต้นไม้  อากาศเย็นมาก  รถก็ไม่มีวิ่งตามหลัง  ก็มีแต่เสียงรถของ2คนกระหึ่ม  พอขี่ๆ พี่จินว่า พี่บ่าวที่ขับนำหน้าอยู่ก็จอดรถ   พี่จินเลยจอดตาม  ก็ถามกัน “จอดไซรล่ะ” “ใครนอนอยู่บนไหล่ทางนั้น” ....พี่บ่าวแกก็ชี้กลับไป  ตรงแถวๆเกาะกลางถนนให้พี่จินมอง  ที่ขับเลยมาแล้วสัก50เมตร  พี่จินแกมองไปตามที่พี่บ่าวชี้   ก็เห็นจริงๆ  เหมือนเป็นกองอะไรสักอย่างยับยู่ยี่ตรงโคนต้นไม้  แล้วมีเหมือนร่างคนนอนกองอยู่บนถนนตรงไหล่ทาง
พี่จินแกก็ว่า “รถใคร ชนต้นไม้ หม้ายวะ ไปแลถิ” (รถใครชนต้นไม้หรือเปล่า ไปดูหน่อย) แกสองคนก็ตั้งใจจะพากันย้อนกลับดู  เผื่อมีคนประสบอุบัติเหตุจะได้ช่วย  พอดี มีรถสิบล้อวิ่งมา  ไฟสว่างวาบมาแต่ไกลด้วยความเร็ว  พี่จินกับพี่บ่าวจะคอยให้รถผ่านไป  ว่าจะอาศัยไฟรถสิบล้อ..มองตรงเงา ที่เป็นร่างคนที่เห็นๆนั่นด้วย แกว่า พอสิบล้อวิ่งสาดไฟมาถึงตรงจุดที่เห็นเป็นเงาร่างคน  กับเหมือนซากรถยนต์ติดต้นไม้ ปุ๊บ แกว่าเงานั้นก็หายไปเฉยๆเลยพอแสงไฟกระทบ

พอรถวิ่งเลยไปแล้ว  แกพากันหันไปมองอีก  เงาที่เป็นร่างคนนอนก็ไม่มี  เงาที่เหมือนซากรถอัดก๊อปปี้ต้นไม้ ก็ไม่อยู่ หายไปแบบงงๆเลย  แกก็พากันต้องใจ ร้อง เห้ย!!! จะว่าแกสองคนตาฝาด  ก็ไม่น่าจะตาฝาดพร้อมๆกันแบบนี้  แกก็ว่า  “เอากูแล้ว” พี่จินพี่บ่าวขึ้นรถได้  ก็รีบบิดหนีจากตรงนั้นเลย แกว่าแกเอาไปเล่าให้คนที่โรงงานฟังเรื่องนี้   ก็มีคนนึงเป็นคนบางกล่ำ  พอรู้ ก็มาบอกพี่จินว่า  ไม่รู้เหรอ  ทางตรงนั้น
รถชนบ่อยจะตาย   มันมืด มันเปลี่ยว แล้วทางตรง  คนขับชอบใส่เต็มที่   คนที่เคยเจอแล้วรอดมาเล่า ก็ว่าเหยียบมาเต็มที่ ดีๆ เหมือนมีคนวิ่งตัดหน้า จนตกใจผวา  ดีไม่เสียหลัก   แกว่ารายล่าสุดที่ตาย  ไม่รู้ขับยังไง กระบะ   ชนอัดต้นไม้ จนโครงรถบิดงอ แทบจะพันกับต้นไม้ได้รอบ   ไส้ทะลักออกจากพุงทั้งยวง  แล้วร่างคนตายก็กระเด็นออกมานอนกองอยู่อีกฝั่งถนนเลย  พี่จินว่า ไม่รู้ที่แกเจอมานอนหลอกนั้น  จะใช่รายนั้นหรือเปล่า ก็ไม่รู้เหมือนกัน


เรื่องที่3....เด็กบนหลังคารถ
พี่จินเล่าอีกเหตุการณ์   แต่เป็นช่วงขาขึ้น  จากหาดใหญ่  มาชะอวด   ในวันนั้น เย็นวันศุกร์   กว่าจะได้ออกจากหาดใหญ่ก็ย่ำค่ำ   พอขับเลยโรงงานเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ๆ ที่บางกล่ำ  มันก็มืดค่ำพอดี   รถเยอะนะ  แกสองคนก็ขับเกาะกลุ่มตามหลังสิบล้อไปเรื่อยๆ  พอขับๆ แกว่า มีรถยนต์กระบะไมท์ตี้เอ๊ก เก่าๆผุๆคันนึง   โผล่มาขับแซงหน้าไป  พี่จินแกก็ตกใจ  เพราะแสงไฟจากมอเตอร์ไซค์ส่องตามหลังไป  แกเห็นมีเด็กตัวเล็กๆ2คน  นั่งอยู่บนหลังคารถ แกชะลอพี่บ่าวก็ขึ้นมาเทียบ  เพราะเป็นอันรู้กัน ถ้ามีการชะลอ แปลว่ามีอะไรจะคุย  พอขับมาเทียบ พี่จินแกก็ถาม “บ่าว เห็นไอ่ไหรบนหลังคารถคันแรกเดี๋ยวม้าย”  (บ่าว เห็นอะไรบนหลังคารถคันเมื่อกี้ไม๊) “เด็ก2คนนั่งอยู่” “เอ้อ  บ้าม้ายวะ  ปล่อยลูกปล่อยหลานมานั่งได้พรือพันนั้น”  (บ้าหรือเปล่า ปล่อยลูกหลานมานั่งได้ไงแบบนั้น) “บิดตามไปเตือนหวานิ ไม่ใช่ไซร กลัวเด็กอิร่วงรถตาย”   (บิดตามไปเตือนดีกว่า ไม่ใช่อะไร กลัวเด็กจะร่วงรถตาย)

พี่จินกับพี่บ่าวเลยพยามพยามบิดตามรถคันนั้นไป  จะไปบอกให้เอาเด็กลงจากหลังคา  แต่แกว่ายิ่งบิดก็ตามไม่ทัน เพราะรถคันนั้น พอเห็นแก2คนเร่งตามก็ยิงเร่งหนี   เหมือนจะกลัว  เพราะถนนช่วงนั้นมันเปลี่ยว  พอเข้าไปใกล้ๆ ก็ยังเห็น ว่าเด็ก2คนนั้นนั่งบนหลังคารถ  แถมหันมาส่งยิ้มให้พี่จินอีกทั้งคู่  ใส่ชุดฟูๆ  แกว่าตอนนั้นก็ตะหงิดๆละ  รถเร่งความเร็วสูงมาก  แต่เด็กนั่งชิว  อีกอย่างแกบีบแตร จะให้รถจอด  แต่ความกลัวไง  รถก็เร่งความเร็วหนีหายลับตาไปเลย

พอพี่จินกับพี่บ่าว  ไปถึง4แยกคูหา ที่ อำเภอรัตภูมิ  แกก็พากันแวะ ปั๊ม ปตท.  จะเข้าห้องน้ำ พอเลี้ยวหัวเข้าไป  ก็เจอกระบะคันนั้นแหละ  จอดอยู่  เห็นสองผัวเมียนั่งกินอะไรอยู่ในรถ   คงซื้อจากเซเว่น
พี่จินแกว่าแกยังคาใจไง  แกก็จอดรถใกล้ๆ แล้วเดินเข้าไปถามเลย  ว่าทำไมถึงให้เด็กเล็กๆขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ สองผัวเมียก็ว่า   เด็กแต่ไหน  เขาไม่ได้มีเด็กมาด้วย  ไปเยี่ยมคนป่วยที่โรงบาลหาดใหญ่มากัน2คน ...พี่จินก็บอก  เมื่อกี้ แกอ่ะบิดรถตาม  บีบแตรใส่ด้วย   คนขับรถกระบะก็บอกจำได้  แต่แกกลัวว่าเป็นโจรเลยเร่งหนี

พอเห็นพี่จินเร่งตาม  พี่จินก็บอกว่าที่เร่งตาม  เพราะเห็นว่ามีเด็กเล็กๆ นั่งอยู่บนหลังคารถนั่นแหละ  เลยจะบอกให้เอาลง เพราะกลัวเด็กตกมาตาย  คนขับรถกระบะก็ยืนยันว่าไม่มีเด็กที่ไหนเลย  พี่จินเลยเอาพี่บ่าวมายืนยันอีกเสียง  ว่าเห็นกันสองคนเลย  เด็กหันมายิ้มให้ด้วย  ใส่ชุดฟูๆ.....สองคนผัวเมีย เขาก็มองหน้ากัน นะ คงไม่รู้เรื่องจริงๆ  อีกอย่างหากมีเด็กมาด้วยจริงๆ ก็คงเห็นตัวแล้ว พี่จินเลยลากพี่บ่าวออกมา  แล้วกระซิบคุยว่า  สงสัยสองคนนั้นเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ  ไอ่ที่เห็นนั่งมานั่น  คงไม่ใช่คนแล้วล่ะ เด็กที่ไหนมันจะนั่งได้ชิวบนหลังคารถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็วสูงขนาดนั้น  ผีแน่ๆ พี่จินว่า


เรื่องที่4....ตะเคียนเฮี้ยน
ถ้าใครนั่งรถ ขาขึ้นจากหาดใหญ่  พอเลยสี่แยกคูหา ที่อำเภอรัตภูมิ มาหน่อยนึง จะเจอโค้ง  และมีสะพานข้ามคลองเล็กๆ  ตรงจุดนั้นจะมีศาลนางตะเคียนตั้งอยู่  ใครขับผ่านมักบีบแตร แสดงความเคารพ   ในชีวิตการขับรถขึ้นลง ชะอวด-สงขลา  ของพี่จินกับพี่บ่าวเนี่ย ผ่านทีไร ก็บีบแตรเคารพทุกครั้ง พี่จินบอก แต่ครั้งนั้นพี่จินจำไม่เคยลืม  คืนนั้นแกสองคนขึ้นมาจากหาดใหญ่  ก็เป็นเวลากลางคืน  ดึกแล้วด้วย  รถไม่เยอะ พี่จินกับพี่บ่าว  ก็เลยขับเคียงกันไปเรื่อยๆ  คุยกันสัพเพเหระ  พอขับผ่านศาลนางตะเคียน ก็บีบแตรแสดงความเคารพเหมือนทุกครั้ง  จู่ๆไม่รู้พี่บ่าวคิดอะไร  เอ่ยมาว่า  “จิน....มืงว่านางตะเคียนสวยม้ายวะ”
“กูก็ใช่รู้กัน ไม่เคยเห็นทีล่ะ”  (ไม่รู้เหมือนกันไม่เคยเห็น) “กูเคยอ่านเจอในหนังสือ เขาว่านางตะเคียนสวย อยากเห็นสักครั้งจัง” “อ่ะ อย่าปากเปรตต่ะ พึ่งขับผ่านศาลมานั้น” “โอย....กลัวไหร นางตะเคียนแกไม่ตามมาหรอก  เลยเขตแกแล้ว” ...พี่จินว่า พี่บ่าวก็พูดให้ดูเป็นขำๆไป  ว่านางตะเคียนไม่หลอกข้ามเขต.... ก็คงจริง หรือยังไม่ถึงคราวไม่รู้ได้

พี่บ่าวก็ไม่ได้เจออะไรนะ  หลังจากที่เอ่ยไปว่าอยากเจอนางตะเคียนในคืนนั้น  แต่หลังจากนั้นมาอีกสัปดาห์ แกก็ขับกลับจากหาดใหญ่ไปชะอวดอีกเหมือนปกติ  คืนนั้นพระจันทร์เกือบเต็มดวง  ข้างทางเลยไม่ได้มืดมาก พอขับๆมาถึงศาลนางตะเคียน ตรงเลยแยกคูหา  พี่บ่าวนำหน้า พี่จินขับตามหลัง
พี่จินว่า พอกำลังจะผ่าน พี่จินก็แว้บๆ ที่หางตา  เหมือนเห็นใครไม่รู้ยืนอยู่ข้างศาลนางตะเคียน
พี่จินก็แบบหันขวับไปมองเลย   แกว่า  แกเห็นเงาคนตะคุ่มยืนนิ่งๆข้างศาลแล้วเดินผลุบหายไป  พี่จินแกว่า แกก็ตกใจ  ร้อง เห้ย!! ลั่นถนน ขนลุกขนพอง รีบบิดรถแซงพี่บ่าวเลย จนพี่บ่าวแปลกใจ รีบบิดตามมาเคียงสอบถาม พี่จินก็ไม่กล้าบอก  ว่าเห็นอะไรที่ศาล  กลัวพี่บ่าวไม่สบายใจ  เลยปล่อยผ่านไป
....แต่พอวันกลับ  พี่บ่าวดันชวนพี่จิน  ให้จอดรถที่ศาลก่อน  พี่จินก็ว่า จะทำอะไร  พี่บ่าวเลยเล่าให้ฟังว่า
คืนวันที่กลับมาถึงบ้าน  แกอาบน้ำนอนไปแล้วฝัน   ฝันทั้งสองคืนที่นอนบ้านเลยว่า มีผู้หญิงหน้าตาสวยมาก  นุ่งห่มชุดสไบแดง  โจงกระเบนสีเลือด  มายืนข้างที่แกนอน  แล้วถลกโจงกระเบนขึ้นไปที่แข้ง แล้วก็เอาเท้าเหยียบมาที่คอแก    สวยก็จริง  แต่ตาดุมาก ไม่พูดอะไรด้วย  เหยียบอย่างเดียว  ในฝันพี่บ่าวก็ดิ้นหนีจนตื่น

พอคืนที่2 ก็มาอีก  ใส่ชุดเดิม  แต่มาในเวอร์ชั่น แก่มาก ผมขาวยาวถึงกลางหลัง  เนื้อหนังเหี่ยวย่น  ไม่มีความสวยเลย มาถึงได้ก็ไม่พูดอะไรเหมือนเดิม  พี่บ่าวว่ามาเดินๆรอบตัวพี่บ่าว แล้วเอาฝ่าเท้าลูบหน้าพี่บ่าวเล่นในฝัน  พี่บ่าวก็กลัว ว่าในฝันทำไมกลัวตัวเกร็งเหมือนเจอจริงๆขนาดนั้นไม่รู้....ตื่นมาเลยเอาไปเล่าให้ปู่ย่าฟัง  ว่าเจอคนนุ่งสไบแดง มาเข้าฝันสองคืนแล้ว และทำร้ายด้วยการเอาเท้าเหยียบคอและลูบหน้า   ปู่ย่าก็ว่า  เคยไปปากเสีย หรือทำอะไรใครไว้ไหม  ที่เป็นเกี่ยวกับพวกศาลข้างทาง  เพราะขับรถกันบ่อย พี่บ่าวนั่งนึกแล้ว  ก็นึกได้ว่า มีแค่เรื่องเดียว  คือเรื่องที่เอ่ย ว่าอยากเห็นนางตะเคียนที่ศาลนางตะเคียน เลยแยกคูหามา...ปู่ย่าเลยบอกว่า นั่นแหละ ไปพูดใส่ว่าอยากเจอ  เหมือนพี่บ่าวไปท้าทาย  เขาเลยมาเข้าฝันให้เห็น  ปู่ย่าก็ไล่พี่บ่าวว่าตอนกลับให้แวะไปกราบขอขมาเสีย  ไม่งั้นคงจะมาหาบ่อยๆ  เหมาะเจาะเคราะห์ร้าย จะได้เจ็บได้ตายเอา พี่บ่าวเลยมาชวนพี่จินให้แวะจอดเพื่อกราบขอขมานั่นแหละ

พอกราบขอขมาเสร็จ  ก็กลับหาดใหญ่กัน  พี่จินว่าพี่บ่าวไม่พูดอะไรเลย  เงียบตลอดทาง  พอถึงห้องพัก  พี่จินก็เลยทำลายบรรยากาศความเงียบ  ถามพี่บ่าว ว่านางตะเคียนตรงเลยแยกคูหา  ที่เห็นในฝัน  สวยแค่ไหน  หน้าตาประมาณใครได้ พี่บ่าวก็บอกว่า  คืนแรกที่มาเวอร์ชั่นสาว  สวยมาก  ผิวเนียน  งามหยดเลย  คิ้ว จมูก ปาก สมส่วน รูปร่างหาที่ติไม่ได้เลย   หน้าตาถ้าจะให้เทียบกับดารา ก็หาเทียบไม่ได้  เพราะสวยจนไม่รู้จะเอาใครมาเปรียบ   ส่วนคืนสองที่มา ก็แก่งั่ก น่ากลัว  การเดินแข็งแรง  แก่..แต่เดินตัวตรง   ไม่เหมือนคนแก่ทั่วๆไปเลย   สายตาที่แข็งกร้าวในฝัน ทำเอาพี่บ่าวหนาวสะท้านเลย แกว่าอย่างนี้

และนี่คือเรื่องเล่าจากพี่จิน  ผู้ขับรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นล่อง หาดใหญ่-ชะอวด ตอนกลางคืนอยู่เป็นประจำ ที่พี่แกเอามาเล่าให้ญาติๆฟังค่ะ  ดิฉัน จึงเอามาเล่าต่อสู่กันฟัง  ก็มีตกหล่นไปบ้าง  เพราะจำไม่ได้ทั้งหมด  แต่โดยรวมๆก็จำได้4เรื่องนี้แหละค่ะ   ทุกวันนี้ พี่จินพี่บ่าว ก็ยังเดินทางขึ้นล่องหาดใหญ่-ชะอวด ด้วยรถมอเตอร์ไซค์อยู่เช่นเดิมค่ะ  สวัสดี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

โรงแรมหลอนรูปตัวL ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล เชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .. เพื่อนๆก็ลองเดา กันเอาน่ะครับ เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี...แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย

บ้านเก็บศพ!!ย่านบางแวก จรัญ13...เรื่องจริง!!เมื่อหนุ่มวินเข้าไปส่งของแล้วดันเจอดี

ว่ากันด้วยเรื่องสยองขวัญ... ที่หลายคนอยากรู้ ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง "เรือนหอคนตาย" ที่เป็นตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "ตีสาม" ซึ่งเป็นเรื่องราวของคู่รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และทางครอบครัวทำใจไม่ได้เลยอยากเก็บศพเอาไว้... สำหรับพล็อตเรื่องนี้ ใครหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมากนักต่อนักแล้ว บ้างก็ว่าบ้านหลังดังกล่าว ตั้งอยู่ที่เมืองเอก บ้างก็ว่าตั้งอยู่ที่พุทธมณฑล สาย 2 บ้างก็ว่าอยู่แถวสุวินทวงศ์ บ้างก็ว่าอยู่ที่แถวหนองจอก เอาเป็นว่า คงจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นหลายแห่งเลยทีเดียว แล้วแต่ละที่ก็คงสยองไม่แพ้กัน ส่วนวันนี้ก็ขอนำประสบการณ์จริง จากคุณมาร์ค ที่ได้เล่าเรื่องราวสุดสยองผ่านรายการเดอะช็อค เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา... ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกัน...โดยคุณมาร์ค ได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ตรง ๆ ที่เจอแบบจะๆ ให้ฟังว่า... ตอนนั้นตนเพิ่งเข้ามากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ มารับจ้างขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แถวพุทธมณฑล ซึ่งตนก็รับป้าแม่บ้านคนหนึ่งมาส่งยังบ้านหลังหรูอีกซอยหนึ่งเป็นประจำ รับส่งได้สักพักตนก็เลยบอกกับคุณป้าคนนั้นว่า สนใจเป็นลูกค้าประจำไหม จะได้มารับมาส่งให้ตลอด ซึ่งคุณ

เรื่องสยอง ณ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์"

ขึ้นชื่อว่า "มหาวิทยาลัย" นอกจากการศึกษาเล่าเรียนและการทำกิจกรรมที่สนุกสนานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ขาดไปเสียมิได้ นั้นคือ "เรื่องผี" อันเป็นตำนานและเรื่องขานจากรุ่นสู่รุ่น สืบทอดกันมายาวนาน บางเรื่องก็ถูกปรุงแต่งขึ้น บางเรื่องก็พอมีพยานและหลักฐานประกอบ Hatyai Focus ก็ขอนำเรื่องเล่าสยองขวัญมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน โดยมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่เราจะนำเรื่องราวมาถ่ายทอด ได้แก่ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" หรือ "ม.อ." ที่เราๆ พอจะทราบกันดีอยู่แล้ว มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของประเทศ ได้เปิดทำการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีโรงพยาบาลใหญ่ตั้งอยู่ภายในรั้วมหาวิทยาลัย ไม่แปลกที่อาจจะมีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ก็-เป็น-ได้ 1. ตำนานอาจารย์ใหญ่ มีเรื่องเล่ากันต่างๆ นานา เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์ใหญ่ (อาจารย์ใหญ่ หมายถึงศพที่นักศึกษาแพทย์ใช้ทำการเรียนการสอนเกี่ยวกับกายวิภาค) โดยศพของอาจารย์ใหญ่ถูกเก็บรักษาไว้ ณ ตึกของคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีรุ่นพี่เคยเล่าว่า ในสมัยก่อนบริเวณตึกแห่งนี้ ไม่มีนักศึกษาคนไหนกล้าที่จะ